|
ตัณฑุลนาฬิชาดก |
|
|
:: สาเหตุที่ตรัสชาดก :: |
.....ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ครั้งนั้น พระทัพพ
มัลลบุตร ซึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ และเป็นที่รักของสงฆ์ทั้งหลาย ได้รับหน้าที่เป็นพระภัตตุทเทสก์์ คือทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลหอฉันโรงทานทุกๆ วัน
.....ในมหาวิหารนี้ มีพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งบวชเมื่อแก่ชื่อ อุทายีี เป็นผู้มีนิสัยติดในรสอาหาร และมักจะเอะอะโวยวายเมื่อได้รับอาหารไม่ถูกปาก ท่านจึงขอทำหน้าที่เป็นภัตตุทเทศก์เอง
ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระอุทายีก็แบ่งสรรปันส่วนอาหารสงฆ์ในหอฉันโรงทานตามอำเภอใจ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมแต่อย่างใด ทำความเดือดร้อนให้หมู่สงฆ์ทั้งมหาวิหาร พระภิกษุทั้งหลายจึงขอให้ท่านออกจากหน้าที่นี้ และช่วยกันนำท่านออกจากหอฉันโรงทานไป แต่ท่านก็พยามยามขัดขืน ทำให้เกิดเสียงอึงคะนึงขึ้น
.....พระบรมศาสดาประทับอยู่ด้วยในหอฉันโรงทาน จึงตรัสเรียกพระอานนท์มาซักถาม ทรงทราบโดยตลอดแล้ว จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ พระอานนท์จึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเล่า ดังนี้
.....๑. ในการทำงาน ให้ถือเอาความถูกต้องตามหลักการประโยชน์ และความเหมาะสมเป็นเกณฑ์ ไม่ถือเอาแต่ความถูกใจมิฉะนั้นจะขาดความยุติธรรม แล้วกฎหมู่จะเหนือกฎหมาย เพราะถึงจะทำดีเพียงใด ก็ย่อมไม่ถูกใจคนพาลเป็นธรรมดา
.....๒. เมื่อจะมอบหมายงานให้ผู้ใด ถ้าใครรับปากง่ายเกินไปอย่าได้ใช้เลย
.....๓. เวลาจะทำงานใหญ่ มีผลประโยชน์มาก ผู้ที่มีความซื่อสัตย์ มักจะถูกคนพาลโจมตีให้ท้อใจ หนักใจเสมอๆ เพราะไปขัดผลประโยชน์ของเขา ดังนั้น
๑. ผู้ใดจะทำงานใหญ่ จะต้องฝึกใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดินไว้เสียก่อน
๒. ผู้บังคับบัญชา และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายก็ต้องหมั่นให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานด้วย |