อชาตศัตรูราชกุมารทรงกระทาปิตุฆาต

วันที่ 22 ตค. พ.ศ.2558

อชาตศัตรูราชกุมารทรงกระทาปิตุฆาต


           พระเทวทัตได้หมั่นไปเฝ้าอชาตศัตรูราชกุมาร แล้วถวายคำแนะนำยุยงเนืองๆ ว่าสมัยก่อนคนเราอายุยืน แต่สมัยนี้คนอายุสั้น ด้วยเหตุนี้อชาตศัตรูราชกุมารอาจจะสิ้นพระชนม์เสียก่อนที่จะได้ขึ้นครองราชย์ก็ได้ ดังนั้นพระองค์จึงน่าจะปลงพระชนม์พระราชบิดา แล้วยึดครองราชสมบัติเสียส่วนตนเองก็จะปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วปกครองสงฆ์แทนเสียเองด้วยเหตุที่อชาตศัตรูราชกุมารทรงหลงเลื่อมใสพระเทวทัตอย่างสุดพระทัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทรงสำคัญผิดว่า พระเทวทัตคงจะรู้ความจริงว่าพระองค์จะอายุสั้น จึงทรงเชื่อและคิดทำตามคำยุยงนั้น


            วันหนึ่งทรงเห็นช่องสบโอกาสจึงเหน็บกริชแนบพระอุระ มุ่งเข้าไปปลงพระชนม์พระราชบิดาอย่างไรก็ดี แม้จะเชื่อถือพระเทวทัตมากมายเพียงไรก็ตาม แต่ด้วยความผูกพันเกรงกลัวในฐานะพระโอรสที่ทรงมีต่อพระราชบิดา อชาตศัตรูราชกุมารก็ไม่อาจสะกดความหวาดหวั่นสะดุ้งกลัวไว้ได้ ทรงส่ออาการเป็นพิรุธ ครั้นเมื่อถูกเหล่ามหาอำมาตย์จับได้ อชาตศัตรูราชกุมารจึงทรงสารภาพความจริงว่าทรงประสงค์จะปลงพระชนม์พระราชบิดาเพื่อราชสมบัติ ตามคำแนะนำของพระเทวทัตมหาอำมาตย์เหล่านั้นมีความเห็นแตกแยกออกเป็น 3 พวก คือ พวกที่หนึ่งเห็นว่า ควรปลงพระชนม์อชาตศัตรูราชกุมาร และฆ่าพระเทวทัตกับพระลูกศิษย์ทั้งหมดเสีย พวกที่สองเห็นว่า ไม่ควรฆ่าพระผู้ไม่มีส่วนร่วมกระทำผิด ควรฆ่าเฉพาะพระเทวทัต และปลงพระชนม์อชาตศัตรูราชกุมารก็พอส่วนพวกที่สามเห็นว่า ควรกราบทูลเรื่องทั้งหมดนี้ให้พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ และขอให้อยู่ในพระราชวินิจฉัยของพระองค์เอง ผลปรากฏว่า พวกที่สามเป็นฝ่ายชนะ จึงพากันนำอชาตศัตรูราชกุมารเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พร้อมทั้งกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ

 

            พระเจ้าพิมพิสารแทนที่จะทรงพิโรธโกรธแค้น กลับทรงสละราชบัลลังก์ให้แก่พระราชโอรสด้วยความเต็มพระทัยยิ่ง แล้วทรงมีรับสั่งให้ถอดยศมหาอำมาตย์พวกแรก ทรงให้ลดตำแหน่งมหาอำมาตย์พวกที่สอง และทรงเลื่อนตำแหน่ง พร้อมทั้งปูนบำเหน็จรางวัลให้มหาอำมาตย์พวกที่สามตามลำดับ อชาตศัตรูราชกุมารจึงขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระเจ้าอชาตศัตรูตั้งแต่นั้นมาการปฏิบัติของพระเจ้าพิมพิสารต่อมหาอำมาตย์ทั้ง 3 พวกนั้น ย่อมจะก่อให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจแก่มหาอำมาตย์พวกที่ 1 และ 2 อย่างแน่นอน ทั้งนี้ย่อมหมายความว่า ความแตกสามัคคีและความอาฆาตพยาบาท ระหว่างหมู่มหาอำมาตย์แห่งกรุงราชคฤห์กับพระราชาองค์ใหม่ ได้ฟักตัวขึ้นอย่างเงียบๆรอเวลาที่จะปะทุขึ้นมาเท่านั้นแม้พระเจ้าอชาตศัตรูจะเป็นพระราชาผู้มีอำนาจเต็มที่แล้ว เรื่องก็ยังไม่ยุติเพียงเท่านั้น เพราะพระเทวทัตยังปลุกปันพระองค์ให้ทรงหวาดระแวงพระราชบิดาต่อไปอีกว่า หากปล่อยพระเจ้าพิมพิสารไว้ ก็จะเป็นอันตรายต่อการครองราชบัลลังก์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงสั่งให้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร ด้วยการทรมานอย่างสุดแสนโหดร้ายทารุณ


            ครั้งนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงสั่งให้ขังพระราชบิดาไว้ในห้องแล้วรมควันสั่งห้ามส่งพระกระยาหารและห้ามเยี่ยมโดยเด็ดขาด แต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารเป็นโสดาบันบุคคล ดังนั้นแม้จะขาดพระกระยาหาร ทั้งยังถูกรมด้วยควันไฟ ก็ยังสามารถดำรงพระชนมชีพอยู่ได้ โดยอาศัยปีติสุขอันเกิดจากมรรคผลด้วยวิธีเดินจงกรม มิหนำซ้ำพระวรกายยังเปล่งปลั่งยิ่งขึ้นอีกด้วยเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบเรื่อง จึงรับสั่งให้ช่างตัดผมเอามีดโกนกรีดฝ่าพระบาททั้งสองข้างของพระเจ้าพิมพิสาร เอาน้ำมันผสมเกลือทา แล้วย่างด้วยถ่านไม้ตะเคียนที่กำลังคุแดงอีกต่อหนึ่งพระเจ้าพิมพิสารทรงเกิดทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ไม่นานนักก็สวรรคตกล่าวกันว่า ในภพชาติหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารเคยทรงลบหลู่ดูหมิ่นพระรัตนตรัย ด้วยการทรงฉลองพระบาทเข้าไปยังลานพระเจดีย์ และเอาพระบาทที่เปรอะเปอนเหยียบเสื่อกกที่เขาปูไว้สำหรับนั่งฟังธรรม บาปกรรมในครั้งนั้นรวมกับผลกรรมที่ทรงเคยก่อเวรปาณาติบาตจากการศึกสงครามในอดีต ได้ตามมาสนองพระองค์ในที่สุด


           ในวันที่พระเจ้าพิมพิสารสวรรคตนั้น พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติ เมื่อได้ทรงทราบข่าวการประสูติของพระโอรสจากอำมาตย์ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงบังเกิดความรักพระโอรสอย่างลึกซึ้ง ทั้งทรงตระหนักในพระทัยว่า พระราชบิดาของพระองค์ก็คงทรงมีความรักต่อพระองค์ ไม่แตกต่างกับที่พระองค์ทรงมีต่อพระโอรสพระเจ้าอชาตศัตรูทรงสำนึกในทันทีว่า พระองค์ได้ทำความผิดอย่างใหญ่หลวง จึงมีรับสั่งให้ปล่อยพระราชบิดา แต่อำมาตย์ได้ถวายรายงานว่า พระเจ้าพิมพิสารสวรรคตเสียแล้ว ข่าวนี้ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทุกข์โทมนัสอย่างสุดซึ้ง ถึงกับทรงกันแสงคร่ำครวญ น้ำพระเนตรไหลนองพระพักตร์ ขณะเสด็จไปเฝ้าพระราชมารดา


            หลังจากพระเจ้าพิมพิสารสวรรคตแล้ว พระนางเวเทหิพระมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นขนิษฐภคินีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงรู้สึกอดสูเกินกว่าจะอยู่ร่วมกับพระราชโอรสอกตัญู จึงเสด็จกลับไปประทับอย่างถาวร ณ กรุงสาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล ต่อมาไม่นานก็สวรรคตด้วยความตรอมพระทัยเมื่อพระญาติและพระสหายของพระเจ้าพิมพิสาร ได้ทราบเรื่องความโหดร้ายทารุณและอกตัญูของพระเจ้าอชาตศัตรู ต่างก็พากันเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลถึงกับทรงกรีฑาทัพบุกยึดหมู่บ้านกาลิกคามของแคว้นมคธส่วนพระเจ้าจัณฑปัชโชติแห่งแคว้นอวันตี ซึ่งเป็นแคว้นมหาอำนาจด้านตะวันตก ก็ทรงเตรียมทัพบุกมคธเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าอำมาตย์ราชบริพารยังแตกความสามัคคีกันอีกด้วย พระเจ้าอชาตศัตรูจึงต้องผจญศึกทั้งจากภายในและภายนอกราชอาณาจักรนับแต่วันที่ปลงพระชนม์พระราชบิดา ครั้งใดที่พระเจ้าอชาตศัตรูหลับพระเนตรลงด้วยตั้งพระทัยว่าจะบรรทม ก็ต้องทรงสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดระแวงภัยทุกครั้ง พระองค์จึงไม่อาจบรรทมหลับได้เลย ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน ได้แต่ประทับนั่งเพื่อบรรเทาความง่วงเท่านั้น

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0090130011240641 Mins