สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์

วันที่ 11 พย. พ.ศ.2558

สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์


"สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์" นี้มีศัพท์บัญญัติในพระพุทธศาสนาว่า "ปาฏิโมกขสังวรศีล"


แยกคำศัพท์ออกมาพิจารณาได้ 3 คำ คือ
คำที่ 1 "ปาฏิโมกข์" แปลว่า ยังผู้รักษาให้พ้นทุกข์
คำที่ 2 "สังวร" แปลว่า ความสำรวม การระวังปิดกั้นบาปอกุศล
คำที่ 3 "ศีล" คำนี้มีคำแปลได้หลายอย่าง เช่น เจตนาในการงดเว้นบาปทั้งปวง ข้อปฏิบัติสำหรับควบคุมกาย วาจา ให้ตั้งอยู่ในความดีงาม ความประพฤติที่ดีทางกาย วาจา เป็นต้น แม้จะมีคำแปลแตกต่างกันก็ตาม แต่โดยความหมายแล้วเหมือนกัน คือสนับสนุนให้คนประพฤติกุศลกรรม

 

            ดังนั้น "ปาฏิโมกขสังวรศีล" จึงหมายถึง "เจตนาในการสำรวมระวังตนให้ประพฤติดีงามทาง
กายและวาจา เพื่อตนจะได้พ้นทุกข์"


วิธีปฏิบัติ "ปาฏิโมกขสังวรศีล" นั้น อาจแยกอธิบายเพื่อให้เข้าใจง่ายเป็น 3 หัวข้อ ดังนี้
1) ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร
2) มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย
3) มาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
1) ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร ในหัวข้อนี้มีคำศัพท์ที่ต้องแยกพิจารณาอยู่ 2 คำ คือ มรรยาทกับ โคจร
         คำว่า "มรรยาท" บางทีก็เขียน "มารยาท" แต่ในตำราพระพุทธศาสนา มักนิยมใช้คำว่า "อาจาระ"อาจาระนั้นแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ อาจาระที่ดี กับ อาจาระที่ไม่ดี
        อาจาระที่ดี คือ การไม่ล่วงละเมิดทางกายและทางวาจา นั่นคือการสำรวมระวังในศีลทั้งมวล มีความเคารพยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และภิกษุผู้มีพรรษามากกว่า ถึงพร้อมด้วยหิริโอตตัปปะ นุ่งห่มเรียบร้อย มีอากัปกิริยาท่าทางที่สงบสำรวมงดงาม ดูแล้วน่าเลื่อมใสสำรวมอินทรีย์ รู้จักประมาณในการบริโภค มีความเพียร ประกอบด้วยสติและสัมปชัญญะ เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะอาจาระที่ไม่ดี คือ การล่วงละเมิดทางกายหรือทางวาจา หรือทั้งทางกายและทางวาจา พระภิกษุที่มีอาจาระไม่ดีย่อมเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาอาชีวะ เช่น การพูดประจบสอพลอ หรือให้สิ่งของเพื่อให้เขารักหรือประจบสอพลอด้วยการขออุ้มเด็กเล่น การพูดหยอกล้อทีเล่นทีจริง หรือการอาสารับใช้ทำกิจให้ฆราวาสโดยหวังอามิสรางวัลจากเขา อาจาระที่ไม่ดีนั้นถือว่าเป็นการประพฤติทุศีลด้วยประการทั้งปวงนอกจากนี้ อาจาระที่ไม่ดีของพระภิกษุ ยังรวมถึงกิริยาอันไม่ สมควรต่างๆ เช่น การไม่ทำความเคารพพระเถระหรือพระภิกษุผู้มีพรรษาสูงกว่า การยืนหรือนั่งเบียดเสียดในที่ชุมนุมสงฆ์ การนั่งเบียด นั่งบังหน้านั่งคลุมศีรษะ บังหน้าพระเถระในที่ประชุม การแกว่งแขนขณะที่พูดกับพระเถระ การ สวมรองเท้าเดินจงกรมอยู่กับพระเถระที่กำลังเดินจงกรมโดยไม่ สวมรองเท้า การแย่งชิงขึ้นหน้าพระเถระขณะเดินตามทางหรือเดินเข้าประตู การกีดกันอาสนะภิกษุใหม่ หรือเบียดเสียดเพื่อกีดกันพระภิกษุใหม่
ภิกษุบางรูป เมื่ออยู่ท่ามกลางสงฆ์ไม่แสดงอาการนอบน้อมต่อพระเถระ เมื่อจะแสดงความคิดเห็นของตนก็ไม่ขออนุญาตพระเถระผู้เป็นประธานในที่ประชุมเสียก่อน ในกรณีที่ไปสู่บ้านฆราวาสก็ฉวยโอกาสเข้าไปดูตามห้องต่างๆ เมื่อพบเด็กก็ลูบคลำศีรษะ เมื่อพบหญิงก็เข้าไป สนทนาซักถามถึงเรื่องภัตตาหารว่าเธอจะจัดถวายสิ่งใดให้บ้าง ความประพฤติดังกล่าวแล้วนี้ล้วนเป็นตัวอย่างของอาจาระที่ไม่ดีทั้งสิ้นในทางกลับกัน พระภิกษุที่มีความเคารพอ่อนน้อมต่อพระเถระ นุ่งห่มสละสลวย เรียบร้อยสำรวมระวังกิริยาในขณะที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา มีอิริยาบถเสงี่ยมงาม มีสายตาทอดลงต่ำ ไม่เหลียวซ้ายแลขวาหรือแสดงอาการหลุกหลิกลุกลี้ลุกลน มีความปรารถนาน้อย มีความหนักแน่น อดทน จะกล่าววาจาใดก็เปียมไปด้วยความสำรวม และเมตตาธรรม เหล่านี้คือตัวอย่างของอาจาระที่ดีอีกคำหนึ่งก็คือ "โคจร" ซึ่งหมายถึง บุคคลหรือสถานที่ซึ่งพระภิกษุควรไปมาหาสู่ หรือสิ่งที่พระภิกษุควรเข้าไปเกี่ยวข้อง พระภิกษุที่ตั้งอยู่ในโคจรย่อมไปมาหาสู่เฉพาะที่ที่ควรไปเท่านั้น เช่นสถานที่
หรือบุคคลที่อำนวยประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าหรือการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุโดยตรง


โคจรแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ1 ได้แก่
(1) โคจรที่ควรเข้าไปอาศัย
(2) โคจรที่ควรรักษา
(3) โคจรที่ควรใส่ใจ


(1) โคจรที่ควรเข้าไปอาศัย หมายถึง กัลยาณมิตรที่พร้อมบริบูรณ์ด้วยกถาวัตถุ 10 ประการได้แก่
1. อัปปิจฉกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย ไม่มักมาก ไม่อยากเด่นอยากดัง
2.สันตุฏฐิกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสันโดษ ไม่ชอบฟุ้งเฟ้อ
3. ปวิเวกกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความสงัดกายใจ
4. อสังสัคคกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ไม่คลุกคลีด้วยหมู่
5. วิริยารัมภกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้มุ่งมั่นทำความเพียร
6. สีลกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล
7.สมาธิกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำจิตมั่น
8. ปัญญากถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา
9. วิมุตติกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์
10. วิมุตติญาณทัสนกถา คือ ถ้อยคำที่ชักนำให้สนใจและเข้าใจเรื่องความรู้ความเห็นในภาวะที่หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์บุคคลที่บริบูรณ์พร้อมด้วยกถาวัตถุ 10 ประการนี้ ถือว่าเป็นโคจร เป็นผู้ที่พระภิกษุควรเข้า
ไปหา เข้าไปอาศัย เพื่อซักถามปัญหาข้อสงสัยต่างๆ


(2) โคจรที่ควรรักษา หมายถึง มรรยาทหรืออาจาระที่ดีงามของพระภิกษุ เช่น การเดินอย่างสงบเสงี่ยมสายตาทอดต่ำลงไม่เหลียวซ้ายแลขวาดูหญิงดูชาย หรือสิ่งต่างๆ หรือแหงนดูเบื้องบน หรือก้มหน้าดูข้างล่าง จนปราศจากความสำรวม เหล่านี้คือโคจรที่ควรรักษาของพระภิกษุ


(3) โคจรที่ควรใส่ใจ หมายถึงสติปัฏฐาน 4 คือ
1. กายานุปัสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นกายในกาย คือ กายต่างๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์นี้ นับตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน จนกระทั่งถึงกายธรรมระดับต่างๆ
2. เวทนานุปัสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้ง สติตามเห็นเวทนาในเวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ของกายต่างๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์นี้
3. จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นจิตในจิต คือ ดวงจิตของกายต่างๆ ที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์
4. ธัมมานุปัสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การตั้งสติตามเห็นธรรมในธรรม คือ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายต่างๆ ตั้งแต่กายมนุษย์จนถึงกายธรรม


ตรงกันข้ามกับโคจร คือ อโคจร
            "อโคจร" หมายถึง บุคคลและสถานที่ซึ่งพระภิกษุไม่ควรไปมาหาสู่ มี 6 อย่าง คือ หญิงแพศยา(โสเภณี) หญิงหม้ายสาวเทื้อ (สาวแก่) ภิกษุณี บัณเฑาะก์ (กะเทย) และร้านสุราในสภาพสังคมปัจจุบัน อโคจรนั้นมีอยู่มากมายเกินกว่า 6 อย่างดังกล่าว เช่น โรงมหรสพสถานเริงรมย์ต่างๆ และศูนย์การค้าต่าง ๆ เป็นต้น พระภิกษุที่ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร ย่อมไม่ไปสู่ที่อโคจร เพราะละอายใจและกลัวเสียชื่อเสียง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวเปรียบพระภิกษุผู้เที่ยวไปในอโคจรว่า "เหมือนโคที่เที่ยวไปในถิ่นเสือและราช สีห์ หรือเหมือนเต่าปลาอันเที่ยวไปในเขตที่ดักของชาวประมง เป็นต้น"อย่างไรก็ตามสำหรับอโคจร ถ้าเขาเชื้อเชิญนิมนต์ด้วยกิจอันสมควร พระภิกษุก็สามารถไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักบวชได้ แต่จะต้องไม่ไปด้วยเรื่องอื่น นอกจากกิจนิมนต์ เช่น ไม่ไปสนทนาปราศรัยอย่างสามัญชนทั่วไป เพราะอาจจะถูกเข้าใจว่ามีความประพฤติผิดไปจากพระธรรมวินัย เป็นพระภิกษุที่น่ารังเกียจพระภิกษุที่มีอาจาระดีและตั้งอยู่ในโคจร ดังได้พรรณนามาแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า "ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร"


2) มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย
"โทษ" ในที่นี้หมายถึง ความชั่วหรือความผิด ขึ้นชื่อว่าโทษแล้ว แม้จะมีเพียงน้อยนิดเท่าใดก็ย่อมเป็นโทษอยู่นั่นเอง ไม่มีทางจะเป็นคุณไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น โทษภัยแม้เพียงเล็กน้อย ยังสามารถเป็นเชื้อแพร่กระจาย ทำให้เกิดโทษภัยลุกลามกว้างขวางใหญ่โตออกไปอีกด้วย อุปมาเหมือนลูกไฟ แม้เล็กนิดเดียวหากกระเด็นไปถูกวัตถุไวไฟเข้าก็อาจจะเผาบ้านเมืองได้พระภิกษุที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก็เพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐ ดังนั้นจึงต้องพยายามละเว้นความชั่วทุกอย่าง ด้วยการระมัดระวังมิให้ประพฤติผิดศีลอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเมื่อใดเกิดประพฤติผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยโดยมิได้เจตนาก็จะต้องตระหนักว่านั่นคือตนได้ก่อบาปอกุศลขึ้นแล้ว จำเป็นที่จะต้องระมัดระวัง แก้ไข ปรับปรุง หรือหลีกเลี่ยงการปฏิบัติเพื่อที่จะไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้นอีกในภายหน้าทั้งจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นความผิดอยู่นั่นเองถึงแม้จะมีโทษเพียงเล็กน้อย ก็ยังเป็นโทษอยู่นั่นเอง ไม่มีทางจะเป็นคุณไปได้เลย หากพระภิกษุตั้งอยู่ในความประมาท มองข้ามภัยของโทษแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะประสบความหายนะได้ ขึ้นชื่อว่าอสรพิษแล้วไม่ว่าจะตัวเล็กแค่ไหน ก็มีอันตรายไม่แพ้ตัวใหญ่ ด้วยเหตุนี้พระภิกษุจึงต้องฝึกตนให้เป็นผู้ "มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย"


3) สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
            " สมาทาน" หมายถึง การรับเอาเป็นข้อปฏิบัติ "สิกขาบท" หมายถึงศีลแต่ละข้อๆ พระภิกษุในพระพุทธศาสนา เมื่อสำเร็จญัตติจตุตถกรรม1 ในท่ามกลางสงฆ์ ได้รับความยินยอมจากพระภิกษุทั้งปวงในองค์ประชุมสงฆ์ในพิธีอุปสมบท ให้มีภาวะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมถือว่าได้ มาทาน ศีลสิกขาบทน้อยใหญ่ไว้ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้วทันที ไม่ต้องมีการสมาทานกันอีก


         ดังนั้น พระภิกษุจึงจำเป็นต้องศึกษาเจตนารมณ์ หรือจุดมุ่งหมายของสิกขาบทแต่ละข้อๆ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งต้องจำได้ขึ้นใจ เพื่อให้สามารถปฏิบัติสิกขาบทแต่ละข้อๆได้โดยบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่มีผิดพลาด จึงจะได้ชื่อว่า "ส มาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย"พระภิกษุผู้มีการปฏิบัติพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย และสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดังได้พรรณนามาแล้วนี้ ย่อมได้ชื่อว่า "สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์"ให้เป็นผู้มีความเคารพรักในศีล ดังที่ทรงให้โอวาทไว้ว่า


"... นางนกต้อยติวิด รักษาฟองนิดฉันใด แลทราย ย่อมรักษาขนหางมารดา ย่อมรักษาบุตรยอดรัก คนเอกจักษุ ย่อมรักษานัยน์ตาข้างเดียวไว้ฉันใด เธอทั้งหลายจงรักษาศีลให้เหมือนอย่างนั้น จงเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก
มีความเคารพจงดีทุกเมื่อเถิด"


             ดังนั้น พระภิกษุที่มีปณิธานย่อมจะยังพระปาฏิโมกข์ให้บริสุทธิ์หมดจด แม้จะต้อง ละชีวิตก็่จะไม่ยอมล่วงละเมิดศีล ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้หรือบริบูรณ์พร้อมด้วย "ปาฏิโมกขสังวรศีล"มีสิ่งที่น่าพิจารณาอยู่อย่างหนึ่ง คือ การสำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์ของพระภิกษุจะประสบความสำเร็จได้ ก็ด้วยศรัทธาของพระภิกษุเอง ไม่มีใครบังคับได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงกำชับพระภิกษุสงฆ์

-----------------------------------------------

SB 304 ชีวิตสมณะ

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015944520632426 Mins