พื้นฐานชีวิตของมนุษย์

วันที่ 25 สค. พ.ศ.2559

พื้นฐานชีวิตของมนุษย์

พื้นฐานชีวิตของมนุษย์ , ความรู้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนา , กลุ่มวิชาความรู้ทั่วไปทางพระพุทธศาสนา , DOU , พระพุทธศาสนา , วัดพระธรรมกาย , เรียนพระพุทธศาสนา , หนังสือเรียน DOU

     หากนักศึกษาลองทบทวนชีวิตตนเองและชาวโลกดูจะพบความจริงหลายอย่างที่ตรงกันคือวันแรกที่เราและคนทั้งหลายลืมตามาดูโลก เราเห็นหน้าแม่พ่อและญาติ ๆ นับจากวันนั้นพ่อแม่ได้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเรามา ให้ดื่มนม ให้คลาน เดิน และพูด เราก็ค่อย ๆ ทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างที่คนอื่นเขาทำกัน

    เมื่อโตขึ้นพ่อแม่ก็ส่งเราไปเรียนหนังสือ ครูได้สอนให้อ่านเขียนจนเราจบหลักสูตรการศึกษาในระดับต่าง ๆ จากนั้นก็หางานทำ หาสามี หาภรรยามาเป็นคู่ชีวิต ไม่นานแต่ละคนก็มีลูกเป็นของตัวเอง เมื่อมีลูกแล้วก็ได้อบรมเลี้ยงดูตามแบบอย่างที่พ่อแม่ได้เลี้ยงตนมา ถึงตอนนี้พ่อแม่ของบางคนก็เริ่มทยอยลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว บางท่านก็เป็นไม้ที่ใกล้ฝังเต็มที แม้ตัวเราเองก็ต้องตายเหมือนกัน ลูกน้อยของเราและของใคร ๆ ในโลกก็หนีไม่พ้น

    ในระหว่างที่แต่ละคนมีชีวิตอยู่ต่างก็ได้ประสบสิ่งต่าง ๆ มากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เป็นเหตุให้ดีใจ เสียใจเป็นสุข เป็นทุกข์ เครียด กลัวสับสน เมื่อเครียดมาก กลัวมาก ทุกข์มากก็รนหาที่พึ่ง บางคนก็พึ่งเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เจ้าป่าเจ้าเขา ผีสางนางไม้ต่าง ๆ หลายคนเห็นอะไรแปลก ๆ เข้าหน่อยก็ไปกราบไปไหว้กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ 2 หัว วัว 5 ขา ต้นไม้ประหลาด ๆ ฯลฯ บางคนดีหน่อยก็หาที่พึ่งทางศาสนา มนุษย์ทุกคนพยายามต่อสู้กับปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจนกว่าจะลาลับจากโลกไป นี้คือวัฏจักรชีวิตของคนในโลกอันแสนจะวุ่นวายใบนี้

      มีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องชีวิตของมนุษย์ไว้น่าสนใจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตโดยรวมของคนในโลกนี้ได้เป็นอย่างดี

      ท่านแรกตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เราได้แต่ทำตาม ๆ กันไป ทำอย่างรีบเร่งโดยไม่มีโอกาสหยุดคิดแข่งกันเรียน แข่งกันทำงาน แข่งกันหาเงิน พอมีเงินก็รีบแต่งงาน รีบมีลูกให้ทันใช้ แต่ไม่รีบแก่ รีบเจ็บป่วยหรือรีบตาย ไม่ทันฉุกคิดว่าเราต้องแก่ ต้องป่วย และอีกไม่นานนับจากวันนี้ ก็จะไม่มีเราบนโลกนี้อีกต่อไปแล้วชีวิตคนคนหนึ่งเร่งรีบเสียจนกระทั่งไม่มีโอกาสหยุดเพื่อถามตัวเองเลยหรือว่า ชีวิตนี้มีอะไรที่มากไปกว่าการหาเงิน การมีครอบครัว ทำชั่วบ้าง ดีบ้าง หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป การที่เราวิ่งเป็นเหมือนหนูถีบจักร เพียงเพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนทำกัน มันถูกต้องพอเพียงและเป็นเส้นทางที่จะพาเราไปสู่ความสุข ความ บายกาย ความสบายใจอย่างที่ใฝ่ฝันไขว่คว้าได้จริงหรือ

    อีกท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตไว้ว่า รู้สึกเสมอว่า ชีวิตทุกคนบนโลกใบนี้เหมือนมีคนคอยกลั่นแกล้งอดแทรกปัญหามาให้อยู่ตลอดเวลา เหมือนมีตัวอะไรสักตัวหนึ่ง กลัวว่าจะเกิดสันติสุขกับชาวโลก จึงคอยจัดปัญหามาให้ จัดให้เรื่องเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แต่ไม่ขาดส่ง เศรษฐกิจ ปากท้อง ปัญหาจากรัก โลภ โกรธ หลง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฯลฯ ลับหน้ากันมาให้บริการ บางจังหวะไปตรงกับช่วงโปรโมชั่น มากันพร้อมหน้าทั้งโขยง ทำเอาชีวิตอับปางไปก็เยอะ

       มนุษย์ทั้งหลายบนโลก ไม่ว่าผิวพรรณ เชื้อชาติ ภาษา ต่างกันแค่ไหน กลับต้องมาว่ายชนกันอยู่ในอ่างแห่งปัญหานี้อย่างเมามึน คนรักกันอยู่ดี ๆ ก็ไม่รักษารักไว้ให้ดี เห็นเป็นรักเก่าอยากมีรักใหม่วิ่งไขว่คว้า หาสิ่งที่คิดว่าสดชื่นกว่าอยู่ร่ำไปสุดท้ายของเก่าก็รักษาไว้ไม่ได้ ของใหม่ก็เป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนหมามองเห็นชิ้นเนื้อในน้ำ

       มีชื่อเสียงก็ไม่พอใจ อยากประสบความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไขว่คว้าหาการยอมรับไม่สิ้นสุดใครโกง ใครหักหลัง ใครมาทำให้เจ็บ ก็เก็บความโกรธแค้นไว้ในใจ นับเดือน นับปี ก็มีจิตใจที่ขุ่นมัวทุกครั้งที่ได้เห็นที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขา บางครั้งโลภอยากได้ อยากมีของที่ไม่เคยได้ ไม่เคยมี ใช้จ่ายเงินไปกับขยะต่าง ๆ ที่ทันสมัยแต่ไม่เหมาะกับตนเอง และทุกวันนี้มันก็กองเป็นอนุสรณ์แห่งความโง่อยู่ในห้องเก็บของ

      ปัญหามา ปัญญามี พอปัญหามาแต่ละที ปัญญาที่มีอยู่ก็อพยพหนีไปเสียซะเฉย ๆ ทิ้งไว้แต่ปัญหาล้วน ๆ น่าแปลกใจไหมที่ปัญหาของคนเราคล้าย ๆ กัน ถ้าเป็นหนังก็พล็อตเดิม แต่เปลี่ยนผู้แสดงเครื่องแต่งกายสถานที่แค่นั้น ตราบเท่าที่โลกยังได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ ความทุกข์ก็เหมือนแสงแดดที่แผดเผาให้เราร้อน เพราะเราไม่อาจอยู่ในร่มเงาได้ตลอดเวลา

      ผู้รู้ท่านสอนไว้ว่าพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ทุกคนคือ เกิดมาพร้อมกับอวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต เมื่อแต่ละคนไม่รู้ เมื่อเกิดมาแล้วเห็นคนที่เกิดมาก่อนทำอย่างไรก็ดำเนินชีวิตตาม ๆ กันไป โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกหรือผิด มาตระหนักก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาจากการกระทำของตนและคนอื่นตามมา บางครั้งก็มีภัยอันตรายเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ว่า ทำไมเราต้องเจอกับสิ่งนี้ ทำไมต้องเป็นเรา ทำไมต้องเป็นพ่อแม่พี่น้องของเรา ปัญหาต่าง ๆ ที่ชาวโลกเจอนี้ก่อให้เกิดความทุกข์และความกลัวอันเป็นสิ่งกระตุ้นให้คนแสวงหาสรณะคือที่พึ่ง แล้วอะไรคือที่พึ่งที่ช่วยให้พ้นจากปัญหา ความกลัว และความทุกข์ที่ประสบอยู่ได้สัตว์เดรัจฉานที่ไม่ประกอบดังที่ชาวโลกมักจุดธูปไหว้เพื่อขอหวยหรือ ไม่น่าจะใช่ เพราะตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอด จะมาช่วยเราได้อย่างไรกัน หรือจะเป็นหมอดูที่มักอ้างว่า ดูดวงให้ใครต่อใครร่ำรวยมานักต่อนักแล้ว ก็ไม่น่าจะใช่ หากเป็นจริงทำไมหมอดูไม่ดูดวงให้ตัวเองแล้วทำให้ตนร่ำรวยบ้าง ทำไม

     ยังต้องมานั่งหาเงินจากกระเป๋าคนจนที่หวังโชคช่วยอยู่ข้างถนน พวกเจ้าทรงต่าง ๆ ก็ล้วนแต่ต้องปากกัดตีนต่อสู้กับความระทมทุกข์ทั้งสิ้น ยังไม่เห็นใครพ้นทุกข์จริงสักคน คนเหล่านี้จะเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้อย่างไรกันแล้วอะไรคือที่พึ่งที่แท้จริง

      ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า พระรัตนตรัยคือ สรณะอันเกษม เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันเป็นเหตุให้พ้นจากปัญหาความกลัว และความทุกข์ได้ พระรัตนตรัยเป็นคำสอนหลักของพระพุทธศาสนา เป็นแก่นของพระพุทธศาสนาพระรัตนตรัยเปรียบประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยปกป้องแสงแดดคือความทุกข์ได้ แต่ทว่าจะเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่เป็นสิ่งที่นักศึกษาและชาวโลกทั้งหลายต้องมาพิสูจน์โดยการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนด้วยตนเอง การบังคับให้เชื่ออย่างงมงาย ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา พระธรรมคุณที่ว่า "เอหิปัสิโก เชิญมาพิสูจน์เถิด" เป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้เป็นอย่างดี

 

 


หนังสือ GB 101 ความรู้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนา
กลุ่มวิชาความรู้ทั่วไปทางพระพุทธศาสนา

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0010936816533407 Mins