สุปปารกชาดก ว่าด้วยทะเล ๖ ประการ (ล.๖๐,น.๑๐๔, มมร.)
พวกลูกเรือประมาณ ๗๐๐ คนพากันขึ้นเรือนั้นไป พวกนั้นทั้งหมดพากันกลัวต่อมรณภัย ต่างเปล่งเสียง โอดครวญไห้ประดังเป็นเสียงเดียวกัน เหมือนฝูงสัตว์ ที่กําลังหมกไหม้อยู่ในอเวจีนรกฉะนั้น
พระมหาสัตว์ดําริว่า‘เว้นเราเสียแล้ว คนอื่นที่จะชื่อว่าสามารถทําความปลอดภัย ให้แก่พวกนี้ไม่มีเลย เราต้องตั้งสัตย์กระทําความปลอดภัยให้แก่พวกเขา.’ เรียกพวกนั้นมา กล่าวว่า “พ่อทั้งหลาย พวกเธอจงให้เราอาบน้ำด้วย น้ําหอมให้นุ่งผ้าใหม่ เตรียมถาดน้ำวางไว้ที่แอกเรือโดยเร็วเถิด. “พ่อค้าเหล่านั้นพากันทําตามนั้น.
มหาสัตว์ถือถาดเต็มด้วยน้ำ ด้วยมือทั้งสองข้างยืนที่แอกเรือ เมื่อกระทําสัจกิริยา จึงกล่าวคาถาที่สุดว่า“ตั้งแต่ข้าพเจ้าระลึกถึงตนได้ถึง ความเป็นผู้รู้เดียงสาข้าพเจ้า ไม่เคยรู้สึกแกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้สักตัวเดียวเลย. ด้วยสัจจวาจานี้ขอเรือจงกลับได้โดยสวัสดี.”ก็พระโพธิสัตว์ได้กระทําสัจกิริยาด้วยอํานาจแห่งศีล๕ อย่างนี้ว่า “สิ่งของผู้อื่นกําหนดแม้เพียงเส้นหญ้า ก็ไม่เคยหยิบฉวยเลย. ภรรยาของผู้อื่น ก็ไม่เคยมองดูด้วยอํานาจความโลภ. คําพูดเท็จก็ไม่เคยพูด. น้ําเมาก็ไม่เคยดื่มแม้แต่จะหยดด้วยยอดหญ้า.”ครั้นกระทําสัจกิริยาแล้ว ก็รดน้ําในถาดที่เต็มลงที่แอกเรือ เรืออันแล่นไปผิดทิศทางตลอด ๔ เดือน ก็บ่ายหัวกลับได้ไปถึงทาภรุกัจฉะเ พียงวันเดียวเท่านั้นด้วยอานุภาพแห่งสัจจะ ประหนึ่งท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล ครั้นถึงแล้วยังแล่นไปบนบกได้ประมาณ ๘ อุสภะ๒ หยุดที่ประตูเรือนของนายเรือพอดี.
ทรงประชุมชาดกว่า
บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนสุปปารกบัณฑิต ได้มาเป็น พระตถาคตเจ้า