เรื่องที่ ๒ รู้จักคบเพื่อน มีชัยไปกว่าครึ่ง (ช่วงที่ ๓ ชีวิตต้องคิด...ชีวิตมหาวิทยาลัย
วันหนึ่งหลังจากที่ผมเรียนจบมาได้ประมาณ ๖ ปี
แลัว ผมก็เริ่มสังเกตพบว่า เพื่อนๆ ฃองผมที่เรียน
จบมาด้วยกัน บางคนก็ไปได้ดี มีหน้าที่การงาน
ก้าวหน้า ขณะที่บางคนมีแววว่าจะเอาดีไม่ได้ ตั้งแต่
ยังเรียนอยู่ แล้วก็จริงอย่างคิด วันนี้ยังตั้งหลักไม่ได้
แถมยังเป็นหนี้สินลันพันตัวเสียอีก ทำให้ผมอดห่วง
อนาคตของพวกเขาไม่ได้ แลัวก็ให้หวนมานึกถึง
น้องๆที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยตอนนี้ว่า ถ้าเรียนจบไปแลัว จะเป็นอย่างไรกันบ้างด้วยเหตุนี้ ผมจึงด้องทบทวนอดีตที่ฝานมาว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน บางคนไปได้ดี แต่บางคนกลับไม่ได้ดี
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนอยากเป็นคนดีกันทั้งนั้น แต่บางทีไม่รู้ว่า"ดีคืออะไร"ก็เลยทำให้ทำไม่ถูกดี ไม่ถึงดี ไม่พอดี
ผมตั้งหลักเรื่องนี้ด้วยการย้อนคิดกลับไปตอนสมัยเริ่มมาเรียนปี๑ ตอนแรกๆ ก็จะเป็นช่วงของการทำความรู้จักกันให้ทั่วถึงก่อน คือหากลุ่มที่มีอัธยาศัยเหมาะกับตัวเอง แต่พอผ่านช่วงรับน้องไปแล้ว พวกเราก็จะเริ่มแยกเป็นกลุ่มๆตามอัธยาศัย
พวกที่สนใจการเรียนก็ไปกลุ่มการเรียน พวกที่สนใจกีฬาก็ไปเล่นกีฬา พวกที่สนใจเรื่องการทำกิจกรรมก็ไปทำกิจกรรม พวกที่สนใจอบายมุขก็แยกสาขากันไปตามอบายมุขประเภทต่างๆ ซึ่งจากการเริ่มด้นตรงจุดนี้ ก็จะกลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันไปจนกระทั่งเรียนจบปี๔
แต่ข้อสังเกตก็คือ ไม่ว่าจะเป็นประ๓ทกลุ่มไหนก็ตาม ถ้ากลุ่มไหนมีห้วโจกนำกินเหล้าเป็นบ้าเป็นหลังแล้ว พอพวกนิจบไป มักจะมีปัญหาการเงินบ่อยมาก แถมบางทีก็ติดหนี้ติดสินอีกด้วย
ส่วนพวกที่เอาแต่เรียนอย่างเดียว ก็เจอปัญหาเหมือนกัน คือทำงานเป็นทีมไม่เป็นก็เลยทำให้การตัดสินใจอะไรลงไป มักจะมีผลกระทบให้ต้องตามแก้กันบ่อยๆ เพราะไม่เคยทำกิจกรรมมาก่อน
ส่วนพวกที่ทำได้ดีทั้งการเรียนและกิจกรรม อบายมุขก็ไม่ยุ่งพวกนี้จะจบมาเป็น นักบริหารที่ดี เพราะฝึกช้อมการทำงานเป็นทีมมามากพอ เลยทำให้พอจะมีประสบการณ์ในการบริหารคน บริหารงาน บริหารเวลา ให้หน้าที่การงานก้าวหน้าไว
และตรงนี้เอง ที่กลายมาเป็นคำตอบว่า หัวใจสำคัญที่สุดของการเรียนมหาวิทยาลัยก็คือ การรู้จักเลือกคบเพื่อนให้เป็น
ทำอย่างไรจะคบเพื่อนเป็น
ผมพยายามตามหาหลักการเลือกคบคน ตรงนี้มานานแล้วก็มาพบหลักในพระพุทธศาสนาตรงมงคลชีวิตที่ ๑ ไม่คบคนพาล โดยเพื่อนชั่วจะมีความประพฤติ เข้าข่ายดังนี้ คือ
๑.เพื่อนชั่วชอบรกนำในทางที่ผิด เช่น ชักชวนกันไปเที่ยว ดื่มสุรา เล่นการพนันซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เราเสียเงิน เสียทองโดยใช่เหตุ ทำ ใหัมีนิสัยการใข้เงินที่ไม่ดี เก็บเงินไม่อยู่ และอาจไปติดนิสัยไม่ดีอื่นๆ มาอีกด้วย
๒.เพื่อนชั่วไม่ชอบระเบียบวินัย ชอบฝ่าฝืนตั้งแต่กฎหมายของบ้านเมือง ชอบทำผิดศีลธรรม ชอบแหวกกฎเกณฑ์ขององค์กรหน่วยงาน หรีอกติกาของสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่
๓เพื่อนชั่วชอบแต่สิ่งผิด ล้าให้เลือกระหว่างรอดูความสำเร็จ กับรอดูความพินาศเสียหาย
คนพาลชอบเห็นความพินาศเสียหายของผู้อื่นมากกว่า เมื่อตัวเองทำผิด ก็ภูมิใจ ลำพองใจว่าตนเก่งกล้าสามารถกว่าคนอื่น
๔.เพื่อนชั่่วชอบทำสิงที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง คือ ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ดูเผินๆ
เหมีอนหวังดี แต่ไม่นานนัก ความเดีอดร้อนก็เกิดขึ้นมา จากการยุ่งไม่เข้าเรื่องของเขา
๕.เพื่อนชั่วแม้พูดจาดีๆ ด้วยก็โกรธ วินิจฉัยของคนพาลไม่ค่อยคงเส้นคงวาเท่าไร
บางทีเพื่อนฝูงยิ้มให้ เขาก็ว่ายิ้มเยาะ เห็นเขาหัวเราะ ก็หาว่าเย้ยตัวเอง
ใครก็ตามที่มีลักษณะอย่างนี้ ไม่น่าคบ เพราะจะเป็นต้นทางให้นิสัยไม่ดีอีกหลายๆอย่างตามมา
เพื่อนแบบไหนที่เป็นคนดีน่าคบ ก็เพื่อนที่มีความประพฤติตรงข้ามกับ ๕ ข้อของเพื่อนชั่วนั่นแหละ เพราะคนจะทำดีไต้นั้น เขาต้องควบคุมตัวเองไม่ให้หลงใหล ไปกับความชั่วได้ดีมากๆ ทีเดียว ซึ่งเขาจะต้องมีความรู้ คือ รู้ถูก-ผิด รู้ดี-ชั่ว รู้บุญ-บาป รู้ควร-ไม่ควร โดยที่เขาอาจจะไม่มีปริญญาเลยก็ได้
จากหลักการตรงนี้ เมื่อเรานำมาพิจารณาเพื่อนฝูง ที่เราคบหาอยู่ก็จะพบว่า บางคนก็มี ๕ ข้อครบถ้วน แต่บางคนก็มีไม่ครบ รวมทั้งตัวเราเอง บางวันก็มีครบ แต่บางวันก็ไม่ครบ แล้วตรงนี้จะทำอย่างไร คำตอบก็คือ เราต้องเป็นต้นแบบที่ดีให้เพื่อนก่อน แล้วชักชวนให้เขาเลิกพฤติกรรมของคนพาลใหได้ ถ้าเตือนแล้วบอกแล้วอย่างถนอมนี้าใจ เขาไม่เชื่อ ก็ต้องให้ครูบาอาจารย์มาช่วยเตือน ถ้าเขาไม่ฟังก็ต้องปล่อยไปเพราะเราทำดีที่สุดแล้ว
เมื่อเราคบคนดีเป็นเพื่อน เราก็จะได้รับถ่ายทอดนิสัยที่ดีๆ เช่นขยันทำงาน รักการค้นคว้าพัฒนาความรู้ความสามารถ อดทนต่ออุปสรรคทำ ให้เรามีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ง่ายขึ้นทั้งด้านการงานและชีวิตส่วนต้ว
ถ้าเริ่มต้นมองคนด้วยแบบนี้ เราก็จะไม่ดูถูกคน และจะมองหาความดีของคนอื่นแทนแล้ว ในที่สุดก็จะมองออกว่าใครเป็นคนดีน่าคบ ใครที่พอจะช่วยปรับปรุงแก้ไขได้ ใครที่ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม
ตรงนี้เองที่จะเป็นพื้นฐานการคบคนต่อไปในอนาคต คือเมื่อเรียนจบต้องไปทำงาน ก็จะรู้จักเลือกเจ้านายที่ดี พอขึ้นมาเป็นหัวหน้างานก็จะรู้จักคัดเลือกลูกน้องที่ดี และถ้าวันหนึ่งจะแต่งงานมีครอบครัว ก็จะรู้จักเลือกคู่ชีวิตที่ดี และแม้ที่สุดถ้าต้องเป็นพ่อคนแม่คนก็จะเป็นพ่อแม่ที่ดี
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หากใครสำรวจตัวเองแล้ว พบว่าเราได้พลาดไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับบัณฑิตเข้าแล้ว ก็ต้องรีบแก้ไขนะครับ แล้วเราก็ต้องรู้ตัวเองว่า บัณฑิตเขาจะเป็นตัตรูกับความเห็นผิดของเราเท่านั้น เมื่อเรากลับมาทำสิ่งที่ถูกต้อง บัณฑิตย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองแต่กลับจะเป็นมิตรแท้ให้แก่เรา เพราะนักปราชญ์ราชบัณฑิต เขาถือคติว่า มีศัตรูที่เป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรที่เป็นคนพาล
สุดท้ายนี้ ผมหวังว่า หลักการ ๕ ข้อที่นำมาจากพระพุทธศาสนานี้ จะช่วยให้น้องๆ ใช้กลั่นกรองการคบเพื่อน ที่จะร่วมคบหาสมาคมได้อย่างง่ายๆ นะครับ เราจะได้มีเพื่อนดีๆช่วยกันค้ำ ช่วยกันผลัก ช่วยกันด้นให้ชีวิตกัาวหน้า ประสบความสำเร็จทั้งการเรียนและหน้าที่การงานไปด้วยกันครับ