พ่อแม่จ๋า...อย่าให้หนูเป็นลูกทีวี

วันที่ 22 พค. พ.ศ.2560

พ่อแม่จ๋า...อย่าให้หนูเป็นลูกทีวี

หลักการสร้างความสุขในครอบครัว , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , พ่อแม่จ๋า...อย่าให้หนูเป็นลูกทีวี

      ปัญหาน่าเป็นห่วงของคนเป็นพ่อแม่ในยุคนี้ก็คือ ไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับลูกมากนัก เพราะเวลาส่วนใหญ่ของพ่อแม่ต้องหมดไปกับการทำมาหาเลี้ยงครอบครัวทางออกของพ่อแม่ก็คือ การแก้ปัญหาด้วยการฝึกให้ลูกดูโทรทัศน์ฆ่าเวลา หรือจะพูดว่า "ปล่อยให้โทรทัศน์เลี้ยงลูกก็คงไม่ผิด"

  จากการแก้ปัญหาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ดังกล่าว ก็เป็นผลให้พ่อแม่ต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปในทางก้าวร้าวของลูก มีการใช้คำพูดหยาบคายทะลึ่งลามกเกินเด็ก เป็นต้น โดยพ่อแม่เองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร

         กว่าจะรู้ว่า มีสาเหตุมาจากการปล่อยให้เด็ก ซึ่งยังไม่รู้ว่า อะไรถูก-ผิด ดี-ชั่ว บุญ-บาป ควร-ไม่ควรทำ ดูรายการโทรทัศน์ที่ไม่เหมาะสม เด็กก็รับเอาพฤติกรรมไม่ดีเข้ามาเป็นนิสัยเสียแล้ว พ่อกับแม่ก็เลยต้องมาแอบนั่งน้ำตาตก กลุ้มอกกลุ้มใจ และเริ่มรู้สึกว่าการที่เราเหนื่อยยากลำบากลำบนหาเงินทองมาให้ลูกได้สุขสบายทางวัตถุ ช่างไม่คุ้มค่ากับการเสียลูกดี ๆ ไปคนหนึ่งเสียเลย

        ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางการแก้ไข  หรือป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในครอบครัวของเรา พ่อแม่จึงควรมีหลักพิจารณาดังนี้

        ประการที่ 1 พ่อแม่ควรตระหนักในใจไว้เสมอว่า ถ้าไม่แบ่งเวลาให้ลูกบ้าง ลูกจะต้องมีวินิจฉัยเสียแน่ ๆ เพราะรายการโทรทัศน์ส่วนใหญ่จะเน้นไปในเรื่องเพศเสียมาก เด็กดูแล้วย่อมหมกมุ่นในกาม เพราะคิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือความถูกต้องเหมาะ ม

       ประการที่ 2 พ่อแม่ควรคัดรายการโทรทัศน์ที่ประเทืองปัญญาให้ลูกดู โดยแบ่งเวลาดูให้ชัดเจน ยิ่งตั้งเป็นระเบียบวินัยประจำบ้านได้ยิ่งดี แต่อย่างไรก็ตาม การจะให้ลูกดูโทรทัศน์แล้วไม่ติดนิสัยเสีย ๆ จากรายการต่าง ๆ นั้น มีหลักการ 3 ประการคือ

       1. ต้องไม่ทำให้เสียงาน พ่อแม่ต้องไม่ปล่อยให้ลูกดูทีวีตามอำเภอใจ   โดยแบ่งเวลาไว้สำหรับการทำการบ้าน ทบทวนบทเรียน อ่านตำราหรือช่วยงานบ้าน พ่อแม่ควรจัดเวลาให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ดูทีวีจนดึก เพราะจะทำให้ลูกพักผ่อนไม่เพียงพอ และยังก่อให้เกิดนิสัยไม่ดีต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ชอบตื่นสาย เจ้ามารยา โกหกเก่ง เป็นต้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อลูกพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือทำการบ้านไม่สำเร็จ ลูกจะไม่อยากไปโรงเรียน เลยหาทางโกหกพ่อแม่ว่า ไม่ บายบ้าง ปวดท้องบ้าง ปวดหัวบ้าง พ่อแม่รู้ไม่ทัน ลูกก็ยิ่งจะได้ใจหาอุบายต่าง ๆ นานามาโกหกพ่อแม่ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน

        2. ต้องไม่ทำให้เสียศีลธรรม เรื่องที่ให้ลูกดู ต้องไม่เป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรม ไร้สาระเช่น เรื่องเกี่ยวกับการจองเวรล้างแค้น ตื่นเต้นน่ากลัว ยั่วยุอารมณ์ทางเพศ เป็นต้น

          3. ต้องส่งเสริมศีลธรรม พ่อแม่ควรเป็นผู้เลือกกำหนดให้ลูกดูในเรื่องที่ส่งเสริมคุณธรรมและประเทืองปัญญา เช่น เรื่องเกี่ยวกับการเสียสละ ความเมตตากรุณา ความกตัญู เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาการ ความรู้ด้านศิลปวันธรรม เป็นต้น เพราะจะทำให้เด็กรู้จักประเทศชาติของตนเอง เผ่าพันธุ์ของตนเองชัดเจนขึ้น และจะเป็นพื้นฐานให้เด็กมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในอนาคต

        แต่การที่ลูกจะเชื่อฟังคำสอนนั้น พ่อแม่ต้องทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีของลูกก่อนลูกจึงจะเชื่อฟังคำสอน ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่ยังติดโทรทัศน์งอมแงม ก็คงจะห้ามลูกไม่ให้ติดโทรทัศน์ได้ยาก ดังนั้น ระหว่างนิสัยของลูกรักกับรายการโทรทัศน์สุดโปรด พ่อแม่ก็ควรจะเลือกการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้แก่ลูกเป็นอันดับแรก

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 001 หลักการสร้างความสุขในครอบครัว
หนังสือเรียน หลักสูตร Pre-Degree

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0016446153322856 Mins