บวช...ชีวิตเป็นสุข
ทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่สุด คือ ทรัพยากรมนุษย์ หากสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แต่ละบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รู้จักรับผิดชอบตนเอง สังคมโลก มีชีวิตที่สวยงาม ไม่คิดร้ายทำลายตัวเองและผู้อื่น ( โลกนี้ก็จะน่าอยู่เหมือนชะลอสวรรค์มาแดนดิน )
การพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพในช่างเวลาสั้นๆ เพียง 1 เดือน หรือ สามเดือน ไม่มีวิธีใดจะได้ผลสูงสุดเท่ากับการ “บวช” โดยเฉพาะเยาวชนผู้เป็นอนาคตของชาติ เป็นแก้วตาดวงใจของแม่
การบวช ได้มีโอกาส ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิได้เต็มที่เต็มเวลา ได้สร้างเกราะแก้วปกป้องชีวิต สร้างภูมิคุ้มกันจากสิ่งเลวร้าย ภัยจากอบายมุขสิ่งเสพติดต่างๆ ช่วยให้พ่อแม่คลายความกังวลต่ออนาคตของลูกรัก ไม่ว่าลูกจะก้าวเดินไปทิศทางไหน ทำให้พ่อแม่มีความเชื่อมั่นว่า ลูกรักยังเป็นคนดีอย่างแน่นอน
โครงการบรรพชาสามาเณร มัธยมปลาย ต้นแบบสู่ AEC รับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 26 มีนาคม พ.ศ2557 สอบถามได้ที่ 02-831-2134 หรือ www.dmc.tv.com
เยาวชนจะได้ฝึกความอดทน กล่อมเกลาจิตใจ ให้รู้จักรับผิดชอบ รู้จักชั่วดี เชื่อในผลของบุญบาปได้ฝึกอุปนิสัยผ่าน กิจกรรม 5 ห้องชีวิต เนรมิตนิสัย อย่างต่อเนื่องทุกวัน ก่อให้เกิดนิสัยดีตามมา ถึง 5 ประการ ที่เป็นหลักชัยของชีวิต
หนึ่ง รักความสะอาด บุคคลใดก็ตามที่แต่งกายสะอาดสุภาพ ไม่ปล่อยให้ห้องนอน ห้องทำงานสกปรกรกรุงรัง กายก็สะอาดเว้นจากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เลวร้าย ปกครองตนด้วยศีล เหมือนเป็นธรรมบูญของชีวิต ทำให้เป็นผู้มีความองอาจสง่างาม เทวดาคอยลงปักรักษาให้แคล้วคลาดจากภัยอันตราย
สอง มีระเบียบ วินัย ความมีระเบียบวินัยจักบังเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนหล่อหลอมเป็นหมู่คณะ เพราะมองเห็นภาพได้ชัดเจน แค่เพียงรับประทานอาหาร ฉันภัตตาหารในแต่ละมื้อเสร็จ แล้วล้างถ้วยชามให้สะอาด วางคว่ำเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ มองแล้วสบายตาสบายใจ น่าหยิบมาใช้ใหม่ในคราวต่อไป ต่างกับทิ้งภาชนะถ้วยชาม ค้างคืนไว้ หรือวางไว้สะเปะสะปะ กลิ่นเน่าบูดรบกวนจมูกหูตา มองแล้วเกิดอารมณ์ขุ่นมัวเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ความประณีต งดงาม ห่างหายไปจากชีวิต
สาม ความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อพาตัวเข้ามาบวชก็จะถูกฝึกฝนให้มีวินัยอ่อนน้อมถ่อมตน ผ่านการเคารพกราบไหว้ พระรัตนตรัย ผ่านมุมมองที่รู้จักเคารพในคุณงามความดีในตัวของผู้อื่น บางคนมีคุณความดีที่รู้จักพูดจาจริงใจไพเราะ ไม่พูดห้วนห้าวหยาบกระด้าง บางคนตื่นเช้า ตื่นนอนได้ตรงเวลา ไม่ต้องให้ใครมาปลุก
เราจะมองเห็นคุณงามความดีในตัวของผู้อื่น เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ และมีโอกาสฝึกสมาธิจนใจใสเป็นกลางๆ ใจที่ใสดีงาม ย่อมจับดีผู้อื่นได้ง่าย แล้วพร้อมที่จะมานำฝึกฝนพัฒนาตนเองทันที ต่างกับใจที่ขุ่นมัวมองเห็นแต่ข้อบกพร่องคนอื่น เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด การรักษาศีลและเจริญภาวนาจึงจำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้เป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
สี่ ความเป็นคนตรงต่อเวลา การฝึกฝนอบรมตนอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ จะรู้สึกเกรงใจผู้อื่น รู้จักแบ่งเวลาให้เหมาะสมและตรงต่อเวลา เช่นอยู่ที่บ้านเราอาจจะตื่นตอนไหนอาบน้ำเวลาไหนก็ได้ แต่เมื่อพาตนเข้ามาบวชไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณรก็จะมีกิจวัตรของพระคือ เช้าต้องสวดมนต์ นั่งสมาธิพร้อมกันในเวลาที่กำหนดไว้ ทุกคนต้องปรับตัว ปรับเวลา ไม่ให้หมู่คณะต้องรอหรือทำให้เสียระเบียบวินัย คนตรงต่อเวลาย่อมมีฤทธิ์เป็นที่เคารพเกรงใจของผู้อื่น ประเทศใด ชาติใดที่มีประชาชนพลเมืองมีระเบียบวินัยเคารพกติกาของสังคมและตรงต่อเวลา ย่อมทำให้เจริญก้าวไกลทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เพียงแค่ซื้อขายส่งสินค้าตรงเวลาที่ตกลงกันไว้ สินค้าได้คุณภาพมาตรฐานก็สร้างเครดิตชื่อเสียงให้กับประเทศยิ่งกว่าสิทธิสัญญาซื้อขายที่เป็นลายลักษ์อักษร
ห้า ความมีจิตตั้งมั่นจากการนั่งสมาธิ เยาวชนที่เข้าอบรมในโครงการบรรพชาสามเณร ย่อมได้มีโอกาสทำสมาธิพร้อมกันอย่างเต็มที่และต่อเนื่องทุกวัน จิตใจก็ได้รับการขัดเกลาให้เบาบางจากกิเลสด้วยสมาธิ จนจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ไหลไปตามกระแสกิเลส กระแสโลก แม้ยังไม่หมดกิเลส แต่ก็รู้ทันกิเลสรู้แก่ใจตนเองว่า ตราบที่ใจเป็นสมาธิใจ ย่อมมีฤทธิ์เหนือกิเลส กิเลสจูงใจเราให้ทำความชั่วไม่ได้อีก .
บทสารคดี รัตนวนาลี
28/02/2557