ทนุ มานะไชยรักษ์
1 ในผู้ทำบุญ ทองท่วมหัว
เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา คุณทนุ มานะไชยรักษ์ เคยเป็น ลูกหนี้แบงก์จำนวนมหาศาล เพราะถูกคุกคามจากภัยทางธุรกิจ แต่อยู่ๆ ก็มารวยท่ามกลาง IMF เป็นประธานบริหาร หจก.ชัยพฤกษ์ เสาเข็มและปั้นจั่น อีกทั้งยังนั่งเก้าอี้ประธานบริษัทเพชรธานี คอนกรีต จำกัด จนถึงทุกวันนี้อย่างเต็มภาคภูมิ
เดิมผมทำธุรกิจเล็กๆ เกี่ยวกับเสาเข็มไม้ แต่หลังจากที่รัฐบาลประกาศปิดป่า ก็หันมามองธุรกิจเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง โดยเริ่มจากที่ไม่เป็นอะไรเลย แตก็ศึกษามาเรื่อยๆ จนขยายเพิ่มมาทำ เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงและพื้นสำเร็จรูป และมีปั้นจั่นบริการตอกเสาเข็มครบวงจร ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจดีมาก ผลิตไม่ทันจำหน่าย จึงได้ขยาย โรงงานเพิ่มขึ้นอีก ๒ โรงงาน คือ กรุงเทพผลิตภัณฑ์ คอนกรีต และเพชรธานีคอนกรีต ซึ่งการขยายธุรกิจพรวดพราดพร้อมๆ กัน ผลกระทบที่ตามมา คือวัตถุดิบมีไม่พอที่จะป้อนให้โรงงานผลิต ผมจึงตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตวัตถุดิบเองอีกแห่ง คือ บริษัท บางกอกสตีลไวร์ จำกัด ผลิตลวด PC WIRE ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่นำมาทำเสาเข็มคอนกรีต อัดแรงของผมเอง เพราะช่วงนั้น ลวด PC WIRE ขาดตลาดมากๆเนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และด้านการก่อสร้างในช่วงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ บูมจนส่งผลให้ผู้ผลิตลวด PC WIRE ผลิตไม่ทันต่อความต้องการของตลาดเนื่องจากมีผู้ผลิตเพียงไม่กี่ราย ส่งผลให้ผู้ผลิตแต่ละรายมีรายรับจากการขายลวดจำนวนมหาศาล
มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้เขาตัดสินใจจะมาเป็นน้องใหม่ในวงการลวด ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เป็นมวยอะไรเลย
ตอนเริ่มเปิดบริษัท ผมกู้เงินมาลงทุนกว่า ๓๖๕ ล้านบาท ทำให้ยักษ์ใหญ่ในวงการลวด PC WIRE ทั้งหมดหันมาจับมือกันทุ่มทุนโรงงานละ ๔๐๐ กว่าล้านบาท รุมจัดการกับผมคนเดียว แค่ไม่รุม..ผมก็แย่พออยู่แล้ว เพราะเป็นผู้ผลิตน้องใหม่ ลูกค้าก็ยังไม่มี ประสบการณ์ก็น้อย หนี้สินก็ท่วมท้นไปหมด แต่เพราะพวกเขากลัวผมจะเข้ามาเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดในอนาคต เขาจึงรวมตัวกันใช้วิธีดัมพ์ราคาเหล็กจากต้นทุนจริงๆ กิโลกรัมละ ๒๙ บาท ลงมาขายเพียงกิโลกรัมละ ๑๓ บาท คือพวกเขาฮั้วกัน ยอมขายแบบขาดทุน บีบให้ผมขายไม่ได้ เรียกว่าฉีกแบงก์แข่งกันเลย โดยคิดว่าเป็นวิธีเดียวที่จะใช้เขี่ยคู่แข่งให้ล่มสลายไปจากวงการนี้ได้ในพริบตา
ตอนนั้นผมเครียดมากจะถอนตัวก็ไม่ได้ เพราะทุนที่ลงไปกู้เขามาทั้งนั้น จะเอาเงินที่ไหนไป คืนธนาคาร ต้องยืมเงินญาติรอบตัว ๓ ล้านบ้าง ๕ ล้านบ้าง ๑๐ ล้านบ้าง ยืมคนรอบตัวจนหมดแต่เหมือนยืมเงินมาฉีกทิ้ง ผมกัดฟันสู้ทำงานแบบไม่ได้พัก แต่กลับแย่ลงเรื่อยๆ ผมเครียดจนนอนไม่หลับ น้ำหนักลด ความทุกข์และปัญหาที่กดดันเข้ามาในแต่ละวันทำให้แทบจะเป็นโรคประสาท ส่วนภรรยาผมก็เอาแต่ร้องไห้ ชีวิตช่วงนั้นมันเป็นอะไรที่แย่มาก จนต้องวางแผนกับภรรยาว่า..เราคงต้องหนีแล้ว แต่หนีไปต่างประเทศไม่ได้ เพราะเงินเราไม่มีเลย ต้องหนีไปต่างจังหวัดไกลๆ ที่ไม่มีใครรู้จักเราและใช้ชีวิตเงียบๆ เพราะเราตามใช้หนี้เขาไม่ไหว ซึ่งตอนนั้นก็มีคนมาชวนให้ไปนั่งสมาธิ เพราะ เขาเห็นผมเครียดมาก แต่ผมไม่ไปหรอก คนกลุ้มจะตายอยู่แล้วจะให้ไปนั่งสมาธิ ใครจะไปนั่งได้ แถม เงินก็ไม่มี ผมมองไม่ออกว่าหากไปนั่งแล้วเงินมันจะมาจากทางไหน แต่เขาชวนผมอยู่หลายครั้งมากๆจนสุดท้ายจึงยอมไป โดยคิดใหม่ว่าอย่างน้อยเผื่อจะช่วยลดอาการเครียดลงสักหน่อยก็ยังดีระหว่างที่ไปนั่งสมาธิที่สวนบัว จ.เชียงใหม่ ๑ สัปดาห์นั้น หลวงพี่สุธัมโมท่านเข้ามาทักผมว่า ผมเป็นอะไร ทำไมถึงดูเครียดมาก ดูไม่สดชื่นเลย ผมก็ได้ปรับทุกข์อย่างพรั่งพรูออกมาให้ท่านฟังว่า ครั้งนี้..แย่แล้ว บ้าน ที่ดิน โรงงาน บริษัท กำลังจะหายวับไปกับตา เจ้าหนี้รอบตัวรอบด้านเต็มไปหมด ผมเตรียมตัวจะหนีแล้ว
ท่านจึงบอกผมว่า ไม่มีอะไรที่จะช่วยผมได้ นอกจากบุญในตัวผมเอง ดังนั้นเรื่องนี้ต้องให้บุญช่วย และบุญที่จะช่วยได้ต้องเป็นบุญที่ใหญ่ที่มีกำลังส่งพอ ท่านจึงบอกให้ผมเป็นประธานทองทำบุญหล่อ หลวงปู่วัดปากน้ำทอง คำองค์แรก (พ.ศ.๒๕๓๗) ให้ ทำทองท่วมหัว คือเอาทองแท่งมาเรียงต่อๆ กันให้สูง ๒ เมตร รวมน้ำหนักประมาณ ๓ กิโลกรัมกว่า ตอนนั้นราคาก็ประมาณ ๑ ล้าน ๒ แสนกว่าบาท ซึ่งเมื่อ ๑๔ ปีที่แล้วถือว่าเยอะมาก ตอนนั้นบอกตรงๆ ผมไม่มีเงินเลย ถ้าจะทำบุญนี้ก็ต้องไปขอยืมเงินเพิ่มอีก หนี้เก่าก็ท่วมหัวอยู่แล้ว จะสร้างหนี้เพิ่มโดยการไปยืมเขามาทำบุญก็ใช่เรื่องอยู่
และที่สำคัญ หากผมทุ่มทำบุญไปแล้ว ธุรกิจมันไม่ฟื้นล่ะ จะทำอย่างไร จึงได้ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ ๑ คืน และก็มาปิ๊งขึ้นว่า เออ..! หากไม่ฟื้น..ก็ไม่ฟื้น เพราะยังไงก็ตั้งใจจะหนีอยู่แล้ว แต่ก่อนหนีได้ทำบุญใหญ่กับหลวงปู่ก็ยังดี อีกทั้งเราติดหนี้ตั้งหลายล้าน เพิ่มขึ้น อีกสักล้าน ก็ไม่ต่างกันเท่าไร จากความคิดนี้เอง.. จึงทำให้ผมตัดสินใจเป็นประธานทอง โดยการไปหาเงินมาซื้อทองคำ ๙๙.๙๙ % หนักกว่า ๓ กิโลกรัม มาถวายเพื่อหล่อหลวงปู่ โดยอธิษฐานขอหลวงปู่ ให้ผมพ้นวิกฤต ตรงนี้ผมอยากจะชี้แจงเพิ่มเติม เพราะเดี๋ยวมาฟังผมแล้วจะพากันไปยืมเงินมาทำบุญกันใหญ่ จุดนี้หลวงพ่อเคยห้ามไว้ว่าอย่าไป ยืมเงินใครมาทำบุญ เพราะมันไม่ถูกหลักวิชชา จะทำให้เราเป็นกังวล แต่ผมแอบทำเพราะผม ตกอยู่ในสภาวะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ผมจึงทำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าอยากจะได้บุญมาก ให้ทำเต็มกำลัง ของเราและชวนผู้อื่นจะดีกว่า
จากการตัดสินใจในวันนั้น จึงทำให้ผมมีวันนี้ หลังจากได้ทำบุญเสร็จบริษัทเสาเข็มของผมก็มีรายได้ เข้ามากขึ้น ลูกหนี้ยอมเอาเงินมาจ่าย คือ ขายของดี เก็บเงินได้เงินเริ่มทยอยเข้ามาให้หมุนเรื่อยๆ ทำให้ ผมเริ่มหายใจคล่องขึ้น จนเวลาผ่านไป ๑ เดือน วันมหัศจรรย์ก็มาถึงผม คือ ยักษ์ใหญ่วงการลวด PC WIRE โทรเข้ามาขอพบและ ยอมมาคุยตกลงราคาของลวดในท้องตลาดใหม่ เพราะเขาเองก็ไม่ไหวแล้ว ที่ยอมขายขาดทุนจนแบงก์ที่ฉีกไปใกล้จะหมด จึงยอมขึ้นราคาลวดเข้าสู่ภาวะปกติ และยอมรับให้ผม เกิดในวงการนี้ได้ ตอนนั้นผมดีใจมาก จากหนี้ท่วมหัว พอได้ทำบุญทองท่วมหัว ทุกอย่างก็ดีขึ้นหมด เงินทอง เข้าบริษัทอย่างรวดเร็ว จนผมสามารถปลดหนี้ได้หมดภายในระยะเวลาไม่ถึง ๒ ปี
ผมไม่รู้จะกราบขอบพระคุณหลวงปู่อย่างไร ที่บุญที่ทำกับท่านช่วยให้ผมมีวันนี้ เหมือนที่หลวงปู่ เคยพูดไว้เมื่อตอนท่านมีชีวิตอยู่ว่า ใครทำบุญกับท่าน แม้ท่านตายไปแล้วก็ได้บุญเหมือนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และนับตั้งแต่บุญใหญ่ ในครั้งนั้น ทำให้ผมสามารถเป็น ประธานรองในการทำบุญใหญ่ได้เรื่อยมาทุกครั้ง จนถึงปัจจุบัน