สังฆานุภาพ

วันที่ 21 กย. พ.ศ.2558

 

สังฆานุภาพ


หลวงปู่มีแต่คาถา "หยุด"
            อานุภาพ ความศักดิ์สิทธิ์ หรืออภินิหารของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่ง ที่เราได้ยินได้ฟังกันมาตั้งแต่ครั้ง สมัยพุทธกาลจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มิอาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ประกอบเหตุเอาไว้ อานุภาพของหลวงปู่วัดปากน้ำก็เช่นเดียวกัน ย่อมเป็นที่เชื่อได้ว่า ล้วนเกิดขึ้นจากสัมมาปฏิบัติที่ท่านบำเพ็ญมาดีแล้วทั้งในอดีตและในภพชาตินี้คุณสุธรรม จันทร์กลัด ได้บันทึกไว้ว่า วันหนึ่งตนเข้าไปพบหลวงปู่วัดปากน้ำท่านกำลังฉันเพลอยู่ที่ศาลาไม้หลังเก่า ได้เข้าไปกราบและขอของดีหรือน้ำมนต์จากท่าน อย่างที่เคยขอจากพระองค์อื่นๆหลวงปู่บอกว่า "วัดปากน้ำไม่มีคาถา ไม่มีน้ำมนต์ มีแต่หยุดในหยุด เอ็งจะเอาเปลือกหรือเอาแก่น"คำพูดของหลวงปู่ดังกล่าวทำให้เราประจักษ์ได้ว่า อานุภาพของหลวงปู่เกิดขึ้นจากการฝึกเจริญสมาธิภาวนาจนใจบริสุทธิ์ หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกาย มิได้เกิดขึ้นลอยๆ โดยปราศจากการประกอบเหตุรักษาโรคภัยไข้เจ็บความตอนหนึ่งจากหนังสือ "หลวงพ่อ ดวัดปากน้ำ" มีว่า "พระเทพสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธัมโม)เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ท่านเคยไปอยู่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านเล่าว่า เวลาบ่ายสองโมงจะมีญาติโยมมาหาหลวงปู่วัดปากน้ำกันมาก ใครมีทุกข์ร้อนให้เขียน ชื่อ นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด และโรคที่เป็นใส่บาตรไว้ หลวงปู่จะนำแผ่นกระดาษนี้ไปให้คนที่ทำวิชชา นั่งสมาธิรักษา"
วิธีการแก้โรคนั้น หลวงปู่จะสั่งให้ค้นกรรมที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บของแต่ละคนด้วย โดยค้นหาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใดทำกรรมอะไรไว้ แล้วไปแก้ที่เหตุ หลวงปู่จึงเปรียบเสมือนนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ฉลาดรอบรู้ในเรื่องโรคทุกชนิด ทราบสาเหตุโรค การบำบัดและวิธีดับโรค ทั้งสามารถ

            ทราบประวัติคนไข้อย่างถูกต้อง สมบูรณ์ ทั้งที่ตัวคนไข้เองก็ยังไม่ทราบด้วยช้ำ ถ้าเรื่องนั้นเป็นอดีตกาล นานข้ามภพข้ามชาติ ด้วยเหตุนี้หลวงปู่ท่านจึงสามารถแก้โรคได้ถูกต้องรวดเร็วและที่มีผู้มาให้หลวงปู่แก้ไขทุกข์กันมากนั้น เพราะท่านให้นำคนป่วยหนัก 2 รายมารักษาคนหนึ่งเป็นวัณโรค คนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน ใน สมัยนั้นโรคทั้ง 2 ชนิดนี้ไม่มีใครรักษาได้ หลวงปู่ฝึกให้ 2 คนนี้นั่งสมาธิเจริญภาวนา ขณะเดียวกันท่านก็แก้โรคให้ด้วยวิชชาธรรมกาย ในที่สุดคนป่วยทั้ง 2 ก็หายจากโรคร้าย
และยังบรรลุวิชชาธรรมกายอีกด้วย กิตติศัพท์เรื่องหลวงปู่วัดปากน้ำรักษาโรคร้ายจึงขจรขจายไปอย่างรวดเร็วทำให้มีคนมาหาท่านกันมากทุกวัน

 

เอาชนะไสยเวท
            นาย สมจิตร ฉ่ำรัศมี เล่าว่า ตอนนั้นบวชเป็นสามเณรอายุ 18 ปี มีผู้พาคนทรงคนหนึ่งมาหาหลวงปู่คนทรงนั้นมีสมบัติอยู่ใต้ถุนบ้าน มีผู้ปองร้ายจะทำให้คนทรงนี้ตาย เพื่อจะขุดเอาสมบัติ หลวงปู่บอกสามเณรที่อยู่ใกล้ๆ ให้นั่งสมาธิ คราวนี้มีตุ๊กตาหุ่นขึ้ผึ้งบินมาเลย พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง ร่างทรงร้องวี้ดหลวงปู่ก็ออกจากกุฏิไปเอาแก้วอย่างหนามาครอบไอ้ตัวหุ่นไว้ แต่มันยังวิ่งได้ จะวิ่งเข้าไปหาคนทรงเราก็กันตัวเขาเอาไว้ จนกระทั่งมันหมดวิชา ละลายกลายเป็นอากาศธาตุไปหมด คนทำตัวหุ่นนี้เป็นแขกที่มีวิชาร้ายกาจ เขาจ้างหลายหมื่นให้ตามฆ่าคนทรงคนนี้ พอเสร็จเรียบร้อยคนทรงก็เข้ามากราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่ได้ช่วยชีวิตไว้

 

หน้าเป็นทอง
            หลวงพ่อวัดลำพระยาท่านเล่าไว้ว่า เมื่อ สมัยที่ท่านยังเป็นเด็กวัด ท่านมีหน้าที่ช่วยหลวงปู่รับแขกวันหนึ่งมีพระธุดงค์ 3 รูป มาขอเรียนวิชาไสยศาสตร์จากหลวงปู่ และขอร้องให้หลวงปู่แสดงวิชาให้ดูหลวงปู่ปันตุ๊กตาดินเหนียว 2 ตัว วางไว้ห่างๆ กัน หลวงปู่มองดูเฉยๆ ไม่ได้เสก ไม่ได้เป่า ตุ๊กตาก็วิ่งมาชนกัน จากนั้นหลวงปู่ก็ให้เอาตอกมาจากโรงครัว เอามาจักตอกเป็นวัวธนู ชั่วนาทีเดียว วัวธนูนั้นก็ขยับทำท่าจะบิน หลวงปู่บอกว่าถ้าเป่าพรวดเดียวก็บินไปทันที พระธุดงค์ทั้ง 3 รูป คงเคยเห็นมาบ้างแล้วจึงไม่ตื่นเต้นอะไรนักต่อจากนั้นหลวงปู่ก็เอาผ้าอาบน้ำฝนมา ท่านมองดูผ้านั้นสักหนึ่งนาที แล้วเอาผ้านั้นลูบขึ้นบน
ใบหน้า พอเอาผ้าออก ใบหน้าของท่านก็เป็น สีทองสุกปลั่ง สวยงาม เหมือนเอาทองคำไปหล่ออย่างนั้นสักครู่ก็เอาผ้าลูบลง หน้าทองนั้นก็หายไป เท่านั้นเอง พระธุดงค์ทั้ง 3 รูป ก็ก้มลงกราบขอเรียนวิชา แต่หลวงปู่ไม่สอน เพราะว่าไม่ใช่วิชาของพระพุทธเจ้า เรียนแล้วก็ไปนิพพานไม่ได้ ท่านเองทิ้งวิชาเหล่านี้ไปหมดแล้ว ท่านบอกว่าสู้เรียน "สัมมา อะระหัง" ไม่ได้ ไปมรรคผลนิพพานได้

 

ผลไม้โตเร็ว
            ศิษย์ของหลวงปู่ผู้หนึ่งได้เล่าประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตของเธอให้แก่นางกิมซุ้ย แซ่ลี้และนายทนุ มานะไชยรักษ์ ฟังว่า สมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ตนเองได้พายเรือมาทำบุญที่วัดปากน้ำเป็นประจำติดต่อกันมานานถึง 30 ปี จนกระทั่งคุ้นเคยกับหลวงปู่มากอยู่มาวันหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ. 2480 เจ้าของที่ดินที่เธอเช่าทำสวนอยู่นั้น ขอยกเลิกการเช่า และ
ให้ครอบครัวของเธอเตรียมย้ายออก เธอและสามีจึงได้เตรียมซื้อที่ไว้แปลงหนึ่งจำนวน 4 ไร่เศษ อยู่ที่ซอยสวนผัก บางขุนนนท์ ครั้งนั้นเธอมีเงินอยู่ 3,000 บาทเศษ ยังขาดอยู่ประมาณ 13,000 บาท จึงได้เอ่ยปากขอยืมเงินหลวงปู่ ท่านตอบว่า "อาตมาจะไปเอาเงินมาจากไหน" เธอเข้าใจว่าหลวงปู่ไม่ยอมช่วยจึงผลุนผลันกลับไปที่ท่าเรือ หลวงปู่ท่านหัวเราะแล้วเดินไปส่ง พร้อมกับบอกให้เธอกลับไปรดน้ำต้นฝรั่งที่ปลูกไว้ในสวน แล้วจะมีเงินพอซื้อที่ เมื่อกลับถึงบ้านเธอเองก็ไม่เชื่อว่าคำพูดของหลวงปู่จะเป็นจริง แต่ก็คิดจะลองดูเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรแล้ว เธอได้ลองรดน้ำต้นฝรั่งไป 6 ต้น จากที่มีต้นฝรั่งเต็มพื้นที่5 ไร่เศษรุ่งขึ้นตอนเช้าเธอถึงกับตะลึง เพราะฝรั่ง 6 ต้นนั้นออกผลเต็มไปหมด และล้วนแล้วแต่ผลโตๆทั้งสิ้น เธอจึงเรียกลูกชายและสามีไปช่วยกันเก็บไปขายส่วนตนเองนั้นก็ไปรดน้ำฝรั่งจนหมดทั้งสวนต้นฝรั่งทุกต้นก็ออกผลโตๆ เต็มไปหมด ครั้งนั้นเธอเล่าว่าสามีและลูกเดินแบกตะกร้าฝรั่งจนเท้าบวมและเมื่อนำไปขายในตลาด ใครเห็นก็อยากซื้อ ในเวลาเพียงไม่กี่วันเธอก็ขายฝรั่งได้เงินมากพอไปซื้อที่แปลงใหม่ และยังมีเงินเหลืออีกด้วยเมื่อซื้อที่ได้แล้วปัญหาใหม่ก็มีอีก คือ เธอต้องการปลูกบ้าน แต่เงินที่เหลืออยู่เล็กน้อยนั้นไม่เพียงพอ เธอจึงเอ่ยปากขอยืมเงินหลวงปู่อีก คราวนี้หลวงปู่ให้เธอไปรดน้ำผักที่หลังบ้าน พอกลับถึงบ้านในตอนเย็นก็เริ่มลงมือรดน้ำผักกาดขาวแปลงเล็กๆ ซึ่งเธอไม่ค่อยได้ดูแล ทันทีที่เธอรดน้ำลงไป ผักนั้นก็โตขึ้นมาในบัดดล เธอตกใจและประหลาดใจมาก รีบร้องเรียกให้สามีและลูกชายมาดูสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในที่สุดเธอก็ขายผักได้เงินมาปลูกบ้านได้สำเร็จ

 

ญาณทัสนะ
            หลวงปู่ท่านมีญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในอดีตและอนาคต ท่านกล้าพูดและกล้าบอกสิ่งที่ท่านรู้เห็น กล้าพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับตัวท่านเองลูกศิษย์ เกี่ยวกับวัดปากน้ำ เกี่ยวกับประเทศชาติ หรือแม้แต่เกี่ยวกับโลกก่อนที่ท่านจะมรณภาพ 5 ปี ท่านเรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งในวัดและนอกวัดเป็นกรณีพิเศษที่ศาลาการเปรียญ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าท่านจะถึงกาลมรณภาพในอีก 5 ปีข้างหน้า กิจการใดที่ท่านได้ดำเนินไว้แล้ว ขอให้ช่วยกันทำกิจการนั้นๆ อย่าทอดทิ้ง ท่านได้ชี้แจงโครงการพันาวัดปากน้ำให้คณะศิษย์ช่วยกันดำเนินต่อไปให้สำเร็จท่านเคยพยากรณ์่พระธรรมดิลก (ปุ่น ปุณณสิริ) วัดพระเชตุพนฯ ไว้ว่า จะได้เป็นใหญ่ในหมู่สงฆ์หลังจากหลวงปู่มรณภาพไป 13 ปี คือพ.ศ. 2515 ท่านก็ได้รับการ ถาปนาให้เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มเด็จพระสังฆราช ( สมเด็จป๋า) ทุกคนก็ได้ประจักษ์แจ้งว่าคำพยากรณ์ของหลวงปู่ไม่เคยพลาดสมเด็จพระสังฆราชได้เสด็จมาถวายเครื่องสักการบูชาแด่หลวงปู่ที่วัดปากน้ำ เมื่อวันที่ 8สิงหาคม พ.ศ. 2515หลังจากที่ทำพิธีถวายเครื่องสักการะแล้ว ท่านได้ประทานโอวาทว่า "ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะมาถวายสักการะหลวงพ่อ ด้วยความตั้งใจของหลวงพ่อได้เคยพูดไว้อย่างไร และความตั้งใจของหลวงพ่อนั้นก็ปรากฏ
ตามที่หลวงพ่อได้พยากรณ์ ซึ่งขณะนี้ก็ได้เป็นพระผู้ใหญ่สูงสุดในคณะสงฆ์ สมความปรารถนาของหลวงพ่อแล้ว จึงได้นำสักการะมาถวายหลวงพ่อเป็นกรณีพิเศษ แปลกกว่าปีก่อนๆ นั้น"นอกจากพยากรณ์ สมเด็จพระสังฆราช หรือที่มักเรียกกันว่า สมเด็จป๋าแล้ว ยังพยากรณ์ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ปัจจุบัน ตั้งแต่ครั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จยังเป็นสามเณรว่า "องค์นี้แหละจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ต่อไป"สมัยหนึ่งคณะศิษย์เห็นว่ากุฏิของหลวงปู่เก่าทรุดโทรมมาก อยากให้หลวงปู่ท่านอยู่สะดวกสบายขึ้นจึงรวมทุนกันสร้างตึกถวายท่าน คือ ตึกมงคลจันทสร ระหว่างกำลังก่อสร้าง หลวงปู่มักจะออกมานั่งดูเสมอ เมื่อมีผู้ถามถึงตึกหลังนี้ ท่านมักจะบอกว่า "ตึกหลังนี้สร้างให้ช่วงเขาอยู่" ในปัจจุบันนี้ ตึกมงคลจันทสรก็เป็นกุฏิของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ปัจจุบันจริงๆสมัยก่อนนั้น ที่วัดปากน้ำยังไม่มีถนนตัดเข้าไปถึง ผู้ที่จะมาวัดปากน้ำต้องมาทางเรือหรือเดินเท้า ถนนในวัดจึงเป็นเพียงทางเท้าแคบๆ แต่หลวงปู่ท่านได้สั่งให้ตัดถนนผ่าน มีความกว้างขนาดรถยนต์แล่นได้ ในสมัยนั้นถนนสายนี้จึงเป็นถนนที่ใหญ่ที่สุดในวัด ทำให้ผู้คนพากันประหลาดใจว่าทำไมหลวงปู่จึงให้ตัดถนนใหญ่โตเช่นนั้น ท่านตอบว่า ต่อไปรถยนต์จะเข้าถึงวัด มีหลายคนที่ไม่เชื่อคำพูดของท่าน เพราะยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นไปได้ บางคนถึงกับพูดว่าอีกร้อยปีรถยนต์ก็ยังเข้าไม่ถึงวัดแต่แล้วหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพได้ 2 ปี รถยนต์ก็แล่นเข้าจอดถึงในวัดได้ตามที่ท่านพยากรณ์ไว้อีกเรื่องหนึ่ง ใน สมัยที่นาย สมจิตร ฉ่ำรัศมี มีอายุประมาณ 18 ปี ยังอยู่ที่จังหวัดอ่างทองขณะกำลังนอนหลับอยู่ได้ยินเสียงหลวงปู่วัดปากน้ำแว่วมาว่า ให้ไปวัดปากน้ำ แต่นาย สมจิตรเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เสียงก็แว่วมาอีกว่า "เฮ้ย ต่อไปไม่ต้องหุงแล้วหม้อดินนี้ จะมีหม้อทิพย์ กดปุ๊บติดปั๊บเลย"สมัยนั้นยังหุงข้าวด้วยหม้อดิน แล้วได้ยินอีกว่า "แล้วหูทิพย์ ตาทิพย์จะเกิดขึ้นเอง" นาย สมจิตรได้ยินก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ พอต่อมาก็มีโทรศัพท์และโทรทัศน์ใช้กันหลวงปู่ยังเล่าให้นาย สมจิตรฟังอีกว่า ต่อไปยุคเอ็งจะได้เห็นปราสาท 3 ฤดู (คอนโดมิเนียมติดแอร์)

            คลองจะเป็นถนน (เดินทางด้วยรถยนต์แทนเรือ) ถนนจะเป็นเส้นขนมจีน (ทางด่วน) หลวงปู่ท่านพูดอะไรจะพูดล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี อย่างเช่น ถนนสายบางนา ท่านบอกว่าต่อไปจะเป็นสายใหญ่สายนี้จะไปจังหวัดตราดจังหวัดชลบุรี ทั้งที่ใน สมัยนั้นยังเป็น สวนเป็นทุ่งนาอยู่ เห็นหมู่บ้านไกลลิบอีกคราวหนึ่ง ตอนเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงนั้นมีมดแดงกัดกัน ตายเป็นกองเลย หลวงปู่ท่านบอกว่า อีก 7 วัน สงครามจะเลิก พอถึง 7 วัน สงครามก็ยุติจริงๆมีเรื่องราวของศิษย์หลวงปู่อีกท่านหนึ่ง คือ พลตรีโสภณ กะราลัย ได้เข้าวัดปากน้ำมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2480 ใน สมัยที่มียศเป็นร้อยโท เมื่อ สมรส กับคุณประทุมแล้ว ก็ได้พาภรรยามาเป็นศิษย์ของหลวงปู่ด้วยเมื่อลูกคนแรกของท่านอายุได้ประมาณ 8 เดือน หลวงปู่ได้ให้คนมาบอกที่บ้านพักในกรมทหารว่า ให้ระวังลูกจะเจ็บหนัก คุณประทุมฟังแล้วก็นึก สงสัยว่าลูกจะเจ็บเป็นอะไรมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อขณะนั้นลูกยังแข็งแรงดี ไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บป่วย แต่เมื่อทราบจากหลวงปู่เช่นนั้น ก็พยายามระมัดระวังดูแลลูกอย่างดีที่สุดต่อมาอีก สองสามวันหลังจากที่หลวงปู่ให้คนมาเตือน ลูกก็ป่วยเป็นโรคบิดอย่างแรง จนกระทั่งหมอไม่รับรองว่าจะรอดชีวิตหรือไม่ แต่ก็พยายามรักษาอย่างเต็มที่พลตรีโสภณรีบมาถวายใบแจ้งอาการของโรคนั้นแก่หลวงปู่ ท่านรับใบอาการโรคแล้วส่งให้ศิษย์ที่ทำวิชชาช่วยกันแก้โรค ท่านบอกว่า "มันจะเอาไป เราต้องต่อสู้กันหน่อย จะแก้ไขให้" ครั้งที่สองพลตรีโสภณไปถวายใบแจ้งอาการอีกครั้ง1 หลวงปู่รับใบแจ้งอาการโรคนั้นไปดู แล้วบอกว่าปลอดภัยแล้วหลังจากนั้นลูกของพลตรีโสภณก็มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ และหายเป็นปกติครั้นเมื่อหลวงปู่อาพาธหนัก คือ ประมาณปลายปี พ.ศ. 2501 พลตรีโสภณ (ขณะนั้นมียศเป็น พ.อ.) กับคุณประทุม ได้มากราบเยี่ยมหลวงปู่บ่อยขึ้น วันหนึ่งขณะที่กำลังเข้าเยี่ยม หลวงปู่ได้สั่งให้สามเณรไปหยิบดวงแก้วมา 1 ดวง เมื่อได้มาแล้วท่านมองสำรวจดูทุกคนที่อยู่ในห้อง พยักหน้าเรียกพลตรีโสภณให้เข้าไปหาใกล้ๆ และบอกว่า "กายสิทธิ์2 ดวงนี้ชื่อบรมจักร องค์นี้น่ะ เลี้ยงวัดปากน้ำเชียวนะ ทำวิชชาควบคู่กันมา ข้าจะให้เอ็ง ไปไหนให้เอาติดตัวไปด้วย"พลตรีโสภณเล่าว่า ครั้งนั้นตนเองรู้สึกปลาบปลื้มยินดีมากที่สุด ที่หลวงปู่ให้กายสิทธิ์ดวงที่สำคัญ เป็นกายสิทธิ์ขนาดใหญ่ แต่ครั้นกลับมาถึงบ้านความปลาบปลื้มยินดีกลับลดลงไป เพราะไม่แน่ใจว่าหลวงปู่ท่านตั้งใจให้ตนแน่หรือเปล่า และเกิดลังเลว่าของพิเศษเช่นนั้น สมควรจะมาตกอยู่กับตนหรือไม่วันรุ่งขึ้นจึงตัดสินใจแน่นอนว่า จะนำกายสิทธิ์บรมจักรไปคืนหลวงปู่ เมื่อเข้าไปหาท่านในห้อง ก็รอหาโอกาสที่จะเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะคืนกายสิทธิ์ แต่ยังไม่ทันจะทำตามที่คิด ก็เห็นหลวงปู่จ้องดูทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น แล้วท่านก็เรียกสามเณรให้ไปหยิบดวงแก้วมา 1 ดวง ท่านพยักหน้าเรียกพลตรีโสภณให้เข้าไปหาแล้วบอกว่า "เอ็งไม่ต้องเอามาคืน เอ็งเอาไปอีกองค์หนึ่ง องค์นี้ชื่อจักรพรรดิ เอ็งเอาไว้ที่บ้านนะ เพราะเอ็งน่ะสมบัติจะวิบัติ ให้เอาองค์นี้ไว้คุ้มครอง" พลตรีโสภณถึงได้แน่ใจว่าหลวงปู่ตั้งใจให้กายสิทธิ์แก่ตนแน่ๆ


            ท่านให้เนื่องจากท่านรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ท่านจึงเป็นห่วง และท่านรู้ตัวว่าใกล้จะมรณภาพแล้ว จึงให้ดวงแก้วนี้มาเพื่อคุ้มครองป้องกันภัย หลังจากหลวงปู่มรณภาพแล้ว พลตรีโสภณและคุณประทุมได้ประสบปัญหาร้ายแรง ทั้งเรื่องการงานและธุรกิจอื่นๆ จนทรัพย์สมบัติเกือบจะสูญสิ้น แต่ก็สามารถผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ ทั้งสองท่านนี้เห็นตรงกันว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นจริงตามที่หลวงปู่ได้พยากรณ์ไว้ทุกประการคำพยากรณ์ของหลวงปู่ยังมีอีกหลายเรื่องด้วยกัน ศิษยานุศิษย์ทั้งที่อยู่ในวัดและนอกวัดต่างก็รู้กันดีอีกท่านหนึ่งที่หลวงปู่เคยพยากรณ์ไว้ คือ คุณหญิงลมุน บุรกรรมโกวิท ภริยา พ.อ. หลวงบุรกรรมโกวิทอดีตอธิบดีกรมโยธาธิการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป.
พิบูลสงคราม คุณหญิงลมุนได้มาปวารณาตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ เมื่อมีปัญหาขัดข้องในเรื่องใดๆมักจะมากราบเรียนปรึกษาขอคำแนะนำจากท่านเสมอครั้งหนึ่งบุตรของคุณหญิงป่วยหนัก คุณหญิงก็ได้มาขอความอนุเคราะห์จากหลวงปู่ โดยนิมนต์
ท่านไปที่บ้านเพื่อให้ช่วยแก้โรค ท่านก็เมตตา สงเคราะห์ให้ตามความประสงค์ และสั่งพวกที่ทำวิชชาให้ช่วยกันแก้โรคบุตรของคุณหญิงด้วย ท่านบอกว่าต่อไปคุณหญิงลมุนจะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงวัดปากน้ำ มีผู้ที่ได้ฟังแล้วสงสัยว่า คุณหญิงท่านจะอุปถัมภ์บำรุงวัดอย่างไรต่อมาก็เป็นที่รู้กันไปทั่วว่า คุณหญิงลมุน บุรกรรมโกวิท เป็นผู้มีศรัทธายึดมั่นในพระรัตนตรัยมีความเคารพเลื่อมใสในหลวงปู่อย่างจริงจัง ได้มาปฏิบัติธรรม และรักษาศีล 8 อยู่ในวัดปากน้ำคราวละหลายเดือน และได้ถวายที่ดินที่จังหวัดนครนายกถึง 143 ไร่ ให้เป็นธรณีสงฆ์วัดปากน้ำนอกจากนั้นยังเป็นประธานถวายผ้าพระกฐินพระราชทานติดต่อกันหลายปี และยังได้บริจาคทรัพย์ในการก่อสร้างปฏิสังขรณ์เสนา สนะต่างๆ เป็นจำนวนมาก

 

หลวงปู่เข้าฝัน
            แม้หลวงปู่วัดปากน้ำจะมรณภาพไปนานแล้ว แต่ก็ยังมีผู้ประสบกับอานุภาพของท่านอยู่เรื่อยๆ เช่น"ประมาณกลางปี พ.ศ. 2518 คุณนายฉลวย เล็กประยูร ซึ่งเป็นผู้มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนา และทำนุบำรุงพระภิกษุสามเณร และวัดปากน้ำเป็นปกติมาโดยตลอด พิจารณาเห็นว่าวัดปากน้ำมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอแล้ว คิดจะยุติการทำบุญที่วัดปากน้ำแต่เพียงเท่านั้น ต่อมาคืนหนึ่ง คุณนายฉลวยฝันเห็นหลวงปู่วัดปากน้ำท่านถือบาตร สีทองเหลืองอร่ามมายืนบิณฑบาต คุณนายฉลวยจึงล้มเลิกความคิดนั้น และยังคงทำนุบำรุงวัดปากน้ำต่อมาโดย สม่ำเสมอ"

-------------------------------------------------------------------

GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์
กลุ่มวิชาเป้าหมายชีวิต

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.016559449831645 Mins