ชีวิตในโลกใบนี้ไม่มีอะไรใหม่ เมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎกมากขึ้นก็จะเห็นว่า ชีวิตนั้นซ้ำเดิมไปตามการเวียนว่ายตายเกิด แต่ละภพแต่ละชาติของบุคคลที่มีชื่อปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก จะเห็นว่า บางท่านมีชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวก็รวย เดี๋ยวก็จน แต่ผลสุดท้ายก็ไปนิพพานหมด
...อ่านต่อ
การอธิษฐานจิตมีความสำคัญมาก เป็นหนึ่งในบารมี ๑๐ ทัศ เปรียบเสมือนเป็นหางเสือเรือที่จะนำพาชีวิตในสังสารวัฏของเราให้ดำเนินไปอย่างถูกทิศทาง ไม่พลัดหลงหรือออกนอกเส้นทางแห่งการสร้างบารมีและช่วยขจัดกิเลสอาสวะเพื่อที่จะเข้านิพพานได้ในที่สุด
...อ่านต่อ
ทุกชีวิตในโลกนี้ ในที่สุดแล้วจะต้องเดินทางไปสู่อายตนนิพพานเป้าหมายของชีวิต คือ การหลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ระหว่างเดินทางในสังสารวัฏนั้น ไม่ว่าจะมีความปรารถนาไปสู่อายตนนิพพานหรือไม่ก็ตาม (ตอนอินทรีย์อ่อนๆ อยู่ก็ไม่ปรารถนา นั่นคือการถูกอกุศลจิตบังคับ อกุศลจิตทำให้ความคิดเบี่ยงเบนไป)
...อ่านต่อ
ระหว่างสามเณรน้อยเดินทางกลับมายังกุฏิ พระอินทร์ก็ร้อนอาสน์ขึ้นมาทันที จึงทรงมองลงมาด้วยทิพยจักษุ เห็นว่าวันนี้สามเณรบัณฑิตมีรัศมีสว่างไสวดวงบุญเจิดจ้า เป็นนิมิตหมายว่าจะต้องบรรลุธรรมอย่างแน่นอน ดังนั้นเดี๋ยวเราจะต้องลงไปอารักขาเฝ้าอยู่ที่ประตู จะล็อกกุญแจไม่ให้ใครเปิดได้
...อ่านต่อ
เมื่อท่านเทพบุตรท่องเที่ยวบนสวรรค์ตลอด ๑ พุทธันดรเรียบร้อยแล้ว ได้จุติลงมายังโลกมนุษย์ ด้วยอานุภาพบุญของท่าน เวลามาเกิดในครรภ์มารดา มารดาเกิดความคิดในใจเลยว่า จะไม่ขัดใจลูกคนนี้เด็ดขาด จะตามใจทุกสิ่งตามอัธยาศัยเลย
...อ่านต่อ
มหาทุคตะซึ่งต่อมาเป็นมหาเศรษฐีผู้ไม่ประมาท ได้สั่งสมบุญถูกทักขิไณยบุคคล มีความปลื้มและความเลื่อมใส ทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดอายุขัยในยุคที่มนุษย์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี เมื่อละโลกไปจึงสามารถท่องเที่ยวในเทวโลกได้ ซึ่งการท่องเที่ยวในเทวโลกไม่ใช่เรื่องง่าย คือ ท่องไปท่องมาตั้งแต่สวรรค์ชั้นที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ แล้วก็ย้อนกลับมาที่ชั้น ๖, ๕, ๔, ๒, ๒, ๑ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย
...อ่านต่อ
ฝนรัตนชาติที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกมีปรากฏ ๖ ครั้ง แต่มี ๓ ครั้ง ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ
...อ่านต่อ
มีสิ่งที่น่าศึกษาเพิ่มเติมอีกว่า มหาทานบารมีของมหาทุคตะส่งผลทำให้เกิดฝนรัตนชาติได้ แล้วสำหรับบุคคลอื่นๆ ที่ได้ทำบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน หรือเลี้ยงพระเป็นจำนวนครั้งละมากๆ เหตุใดจึงไม่มีฝนรัตนชาติตกลงมา
...อ่านต่อ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ท่านมหาทุคตะเป็นคนยากจนมากนั้น เป็นเพราะวิบากกรรมตระหนี่หวงแหนทรัพย์ในชาติก่อนๆ มาส่งผล ดังนั้นการเอาชนะความตระหนี่จึงสำคัญมาก และเมื่อได้โอกาสทำบุญกับเนื้อนาบุญอันเลิศ จึงทำให้บุญได้ช่องส่งผลให้ชีวิตพลิกผันจากยากจนเป็นมหาเศรษฐีทันที
...อ่านต่อ
เมื่อมหาทุคตะได้รับแต่งตั้งเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ประจำเมืองแล้ว ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาทมัวเมาในทรัพย์ที่ตนเองได้มาเลยเขาและครอบครัวเริ่มสร้างมหาทานบารมีกันอย่างเข้มข้น ทั้งทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ฟังเทศน์ฟังธรรมจนเป็นปกติ เวลาให้ทาน เขามีความคิดว่า ทานที่เขาให้นั้นไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองก็ดี วัตถุทานต่างๆ ก็ดี ที่นำมาถวายก็เพราะเห็นว่าเป็นความดี เป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ได้ให้แล้วหวังรวยอย่างเดียวโดยไม่มีเป้าหมายที่ถูกต้อง
...อ่านต่อ
เมื่อรัตนชาติทั้งหมดมากองอยู่บริเวณลานหน้าพระราชวังพระราชารับสั่งให้ป่าวประกาศไปทั่วทั้งเมือง เพื่อหาว่าใครมีสมบัติเท่านี้หรือยิ่งกว่านี้บ้าง เมื่อไม่มี พระราชาจึงทรงยกให้มหาทุคตะเป็นเศรษฐีใหญ่ประจำเมือง แล้วทรงชี้ไปยังที่ดินที่จะให้มหาทุคตะปลูกบ้านใหม่ ซึ่งเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าของเศรษฐีเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีเจ้าของแล้ว รับสั่งให้ครอบครัวมหาทุคตะไปจับจองได้เลย ขณะที่มีการขุดดินเพื่อจะปลูกบ้าน ทรัพย์ก็มาอีกแล้ว ดันกัน เบียดกันขึ้นมาเลยซึ่งในตำราบอกไว้ว่า ทรัพย์เบียดเสียดแย่งกันขึ้นมาเต็มไปหมด
...อ่านต่อ
เมื่อมหาทุคตะกลับมาถึงเรือน มองเห็นกองรัตนชาติมากมายอยู่บริเวณรอบบ้านและภายในบ้าน เห็นภรรยาและลูกๆ รออยู่บริเวณหน้าบ้านเพราะเข้าบ้านไม่ได้ เขาจึงนำความไปกราบทูลต่อพระราชาว่า “บ้านของข้าพระองค์ตอนนี้มีหินอะไรก็ไม่ทราบกองอยู่เต็มไปหมดสวยงามมาก สงสัยว่าจะเป็นสิ่งที่มีค่า ขอพระองค์ทรงส่งเกวียนมาสักพันเล่ม เพื่อมาขนหินสวยงามเหล่านี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” การที่ต้องใช้เกวียนถึงพันเล่ม แสดงว่ารัตนชาติมีจำนวนมาก และหากนำเอาเกวียนมาต่อกันจะเป็นแถวยาวหลายกิโลเมตร
...อ่านต่อ
ปกติเวลาฝนจะตกท้องฟ้าต้องมืดครึ้ม อากาศต้องอบอ้าว แต่เวลาฝนรัตนชาติจะตกนั้นไม่เหมือนกัน แทนที่อากาศจะอบอ้าวกลับเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใสปราศจากหมู่เมฆมืดครึ้ม ไม่มีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เมื่อแหงนดูท้องฟ้าจะเห็นเหมือนท้องฟ้ากลวง ต่างจากท้องฟ้าธรรมดา
...อ่านต่อ
เมื่อพระพุทธองค์ประทานอนุโมทนาคาถาเสร็จแล้ว จะเสด็จกลับพระคันธกุฎี พระอินทร์ในร่างจำแลงทรงแนะนำให้พ่อแม่ลูกมหาทุคตะไปส่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
...อ่านต่อ
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับในบ้านของมหาทุคตะเรียบร้อยแล้ว พระอินทร์ได้อาศัยบุญแต่ปางก่อนของมหาทุคตะร่วมกับพุทธานุภาพ และเทวานุภาพของพระอินทร์ รวมกัน ๓ ส่วน บันดาลให้มีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นในฝาครอบภัตตาหาร อาหารนั้นปรุงด้วยเนยใส นมส้มเครื่องเทศ ผัก และปลาตะเพียนที่ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากันอย่างดีรวมกันเป็นข้าวคลุกปลาตะเพียน โดยมีเครื่องเคียงคือผักที่เก็บมาจัดวางอย่างประณีตอยู่ในจานเดียว เมื่อปรุงด้วยการดึงบุญธาตุโอชารสทิพย์แล้วโอชารสอันเลิศนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูเนื้อของภัตตาหาร มีกลิ่นหอมฟุ้งราวกับอาหารของชาวสวรรค์
...อ่านต่อ
เมื่อมหาทุคตะเดินมาถึงพระคันธกุฎีก็เห็นบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างมารอรับบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่พระราชากับเหล่าเสนาบดี มหาเศรษฐีทั้งหลายเรียงรายกันเต็มไปหมด และตามมาด้วยมหาทุคตะอยู่ท้ายแถว
...อ่านต่อ
เมื่อมีผู้อาสาปรุงภัตตาหารเลี้ยงพระแล้ว มหาทุคตะก็ดีใจมาก เพราะเขาไม่ต้องเสียเวลาปรุงอาหารเองแล้ว มหาทุคตะจึงรีบรุดไปยังบ้านของผู้นำบุญที่เป็นกัลยาณมิตรชักชวนตนเลี้ยงพระ เพื่อถามถึงพระที่รับนิมนต์ว่าชื่ออะไรและตนต้องไปรับท่านที่ไหน ปรากฏว่าผู้นำบุญลืมจดชื่อของมหาทุคตะไว้ชื่อของเขาจึงตกหล่นไป และพระทั้ง ๒๐,๐๐๐ รูป ก็ได้รับนิมนต์ไปหมดแล้ว
...อ่านต่อ
ขณะที่มหาทุคตะเดินถือปลาตะเพียนที่จะนำมาประกอบอาหารกลับบ้านนั้น พระอินทร์ผู้เป็นเทวราชาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทรงรู้สึกว่าอาสนะของพระองค์เกิดความกระด้างขึ้น จึงทรงตรวจตราด้วยทิพยจักษุ ทำให้ทราบว่าเป็นเพราะสามีภรรยามหาทุคตะมีกุศลศรัทธาที่จะเลี้ยงพระแต่พระที่จะเลี้ยงนี้ไม่ใช่พระธรรมดา พระองค์จึงทรงตัดสินใจลงมาช่วยปรุงอาหารให้เพราะหากปล่อยให้ทั้งสองคนทำอาหารเองแล้ว รสของอาหารคงไม่ประณีตพระองค์จำเป็นต้องเสด็จลงมาช่วยเนรมิตอาหารนี้ให้มีรสเลิศ มีทิพยโอชาเพื่อให้เหมาะสมต่อการน้อมถวายแด่เนื้อนาบุญอันเลิศ พระอินทร์จึงทรงแปลงกายเป็นคนธรรมดามาดักรออยู่
...อ่านต่อ
มื่อมหาทุคตะตัดสินใจถวายภัตตาหารพระ ๑ รูปแล้ว จึงหารือกับภรรยาว่า ทําอย่างไรถึงจะมีทรัพย์มาเลี้ยงพระ เนื่องจากกำลังทรัพย์ไม่มี มีเพียงเรี่ยวแรง จึงตกลงกันว่า จะไปทำงานรับจ้างที่บ้านเศรษฐี และจัดแจงเตรียมหาภาชนะสำหรับใส่ภัตตาหารถวายพระ โดยไปค้นดูตามลังเก่าๆ ซึ่งมีแต่ถ้วยชามปากบิ่น ถาดเก่าๆ พร้อมฝาครอบ ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะได้เอามาใช้ เขาไปค้นมาด้วยอาการที่ร่าเริง แล้วนำไปทำความสะอาดจัดเตรียมจนเสร็จสรรพเรียบร้อย
...อ่านต่อ
เมื่อแบ่งทีมออกไปเชิญชวนให้ผู้มีบุญมาร่วมกันเลี้ยงพระให้ครบตามจำนวนแล้ว มานพหนุ่มผู้มีหัวใจอันยิ่งใหญ่ท่านนั้นก็ไปชักชวนผู้คนมาร่วมเป็นเจ้าภาพ โดยไม่เลือกว่าใครมีฐานะอย่างไร ทั้งคนชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นล่าง ตั้งแต่เศรษฐีจนถึงยาจก วณิพก
...อ่านต่อ
ครั้งหนึ่งในยุคสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะพระองค์ทรงกำลังแสดงธรรมเรื่องอานิสงส์ของการให้ทานว่า บางคนในโลกนี้ทำทานด้วยตัวเอง แต่ไม่ชวนคนอื่นทำเพราะเกรงใจกลัวเขาเสียทรัพย์ กลัวเขาลำบากยากจน หรือกลัวจะรบกวนเขา แต่ตนเองมีศรัทธาจึงทำทานตามลำพังโดยไม่ชักชวนคนอื่น
...อ่านต่อ

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร


ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล