วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ ไม่อยากทำบุญเพราะหมดศรัทธาพระคิดผิดหรือไม่ ?

เคลียร์ข่าววัด
เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
Line ID : natchy1972


ไม่อยากทำบุญเพราะหมดศรัทธาพระคิดผิดหรือไม่ ?

จากการประโคมข่าวเรื่องพระถี่ ๆ
ทำให้ชาวพุทธหลายคนหวั่นไหว
คิดเลิกทำบุญกับทุกวัดกันเลย
ซ้ำร้าย..เมื่อทำบุญไปแล้วยังนึกเสียดายอยากเอาคืน !!!



       ..หากมาดูประเด็นนี้อย่างเป็นธรรม จริงๆ แล้ววัดในประเทศไทยมีตั้งหลายหมื่นวัดพระก็มีตั้ง ๓ แสนกว่ารูป ท่านจะแย่ไปเสียทั้งหมดเลยก็ไม่ใช่ เพราะพระที่ปฏิบัติไม่ดีจริง ๆ ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่ถูกทำให้เป็นประเด็นใหญ่โตจากการประโคมข่าว เหมือนผ้าขาวผืนใหญ่ที่มีจุดดำเพียงนิดเดียว ก็ไม่ใช่ว่าเราจะโฟกัสเฉพาะจุดสีดำเล็ก ๆ แล้วเอามาเป็นประเด็นใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้ว พื้นที่สีขาวนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก

     จุดนี้อยากให้ลองไตร่ตรองดูว่า..เราอาจตกเป็นเหยื่อการประโคมข่าวที่จงใจบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ฉะนั้นอย่าเอามาเป็นอารมณ์จนขวางการทำบุญของตัวเองเลยหากศรัทธาวัดไหน ก็จงไปแสวงบุญวัดนั้นเถิด...

     ที่สำคัญหากเราได้ศึกษาและเข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เราจะเข้าใจลึกซึ้งว่า..บุญเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะบุญเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความสำเร็จ ถ้ามีบุญน้อยอุปสรรคในชีวิตก็มาก ถ้าบุญอ่อนกำลังลงหรือบุญหมด บาปที่เคยทำไว้ก็จะได้โอกาสส่งผล ทำให้ชีวิตมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไร้ความสุขหมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิดก็ยังรักษาไว้ไม่ได้...

       ด้วยเหตุนี้ เราจึงเลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ ที่จะต้องสั่งสมบุญ เพราะถ้าหยุดทำ ก็เท่ากับตัดรอนบุญของตัวเอง และพอบุญหมดจนหายนะแห่งชีวิตมาเยือน คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือตัวเรา โดยไม่มีใครมารับผิดชอบชีวิตกับเราด้วยหรอก ดังนั้นการหยุดทำบุญ ถือเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มกันเลย

 

ทำบุญไปแล้ว รู้สึกเสียดายอยากเอาคืน คิดผิดไหม ?

    หลายคนพอได้ยินข่าวพระที่เคยไปทำบุญด้วย ก็เชื่อข่าวโดยยังไม่ทันพิสูจน์อะไรเลย หนำซ้ำยังนึกเสียดายทรัพย์ที่เคยทำบุญไปขึ้นมาทันที ซึ่งเรื่องการทำบุญแล้วนึกเสียดายไม่ใช่เพิ่งมีในยุคนี้เท่านั้น แม้ในสมัยพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นอยากให้ลองอ่านเรื่องนี้ดูก่อนที่จะคิดและตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ถึงผลของมัน...

      ในครั้งพุทธกาลมีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ อปุตตกเศรษฐี เศรษฐีผู้นี้เป็นคนรวยมาก แต่ไม่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ครั้นพอรู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตครสิขี จะเสด็จมาบิณฑบาต ด้วยความรำคาญจึงสั่งภรรยาทำนองว่า ให้เอาภัตตาหารมาใส่บาตรเพื่อให้ท่านรีบไป ๆ เสีย พอสั่งภรรยาเสร็จ ก็รีบเดินออกไปนอกบ้าน พอภรรยาได้ยินอย่างนี้ ก็ดีใจมาก ที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้วเอาไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พอท่านเศรษฐีกลับมาโดยเดินสวนกับพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงขอดูในบาตรของท่าน ครั้นพอเห็นอาหารอันประณีตเท่านั้นเองก็นึกไม่พอใจอย่างมาก แล้วพลันคิดในใจว่า...


         ‘อาหารดีขนาดนี้ ให้พวกทาสหรือกรรมกรของเรากินยังดีเสียกว่า เพราะถ้าพวกนั้นกินก็ยังเอาเรี่ยวแรงมาทำงานรับใช้เรา ส่วนสมณะนี้ฉันแล้วก็ไปนอน ไม่ได้อะไรขึ้นมา บิณฑบาตของเรานี้ฉิบหายแล้ว…

         และด้วยอานิสงส์ผลบุญที่ได้ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้านี้เอง ทำให้ไปเกิดบนสวรรค์ต่อเนื่องกันถึง ๗ ชาติ และเกิดเป็นเศรษฐีในเมืองมนุษย์อีก ๗ ชาติ

         แต่เนื่องจากทำบุญด้วยความไม่ตั้งใจและด้วยวิบากกรรมที่เสียดายนึกอยากเอาคืนในภายหลัง  ทำให้แม้เกิดเป็นเศรษฐี ก็เป็นเศรษฐีที่มีจิตใจไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหารอันประณีต เพื่อให้สมกับบุญตัวเอง คือ กินแต่อาหารชั้นเลว พวกข้าวปลายเกรียนกับน้ำผักกาดดองหรือแม้การใช้เครื่องนุ่งห่ม ก็ใช้เสื้อผ้าเนื้อหยาบ ๆ เก่า ๆ ที่ต้องเอาผ้าสามสี่ชิ้นมาเย็บต่อ ๆ กัน และใช้ยานพาหนะเก่า ๆ ร่มที่ใช้ก็ทำจากใบไม้ สรุปคือ ไม่ได้รับความสุขจากสมบัติของตนอย่างบริบูรณ์ เพราะไม่สามารถใช้สมบัติที่เป็นของตนได้อย่างเต็มที่ และหลังจากตายแล้วสมบัติทั้งหมดก็ถูกยึดเข้าพระคลังหลวงจนหมดสิ้น


       จากการที่อปุตตกเศรษฐีไม่ยอมสร้างบุญเพิ่มเลย พอบุญเก่าหมดเลยทำให้วิบากกรรมที่เคยฆ่าหลานชายเอาไว้ได้ช่องตามมาส่งผลทันที ทำให้หลังจากตายแล้วต้องไปตกนรกที่เรียกว่า มหาโรรุวนรก ต้องชดใช้กรรมอย่างสาสมยาวนานเลยทีเดียว... [อ่านเพิ่มเติมที่อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔ เรื่องเศรษฐีผู้ไม่มีบุตร และพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๗ (ฉบับมหาจุฬาฯ) สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปฐมอปุตตกสูตร ว่าด้วยทรัพย์ที่ไม่มีบุตร สูตรที่ ๑]

         ดังนั้น หากเราทำบุญไปแล้ว ไม่ควรนึกเสียดายภายหลัง เพราะเราตัดสินใจให้ไปแล้วก็ให้ทานที่ให้นั้นขาดจากใจไปเลย เพราะหากเรารู้สึกเสียดาย แม้บุญจากการทำทานจะทำให้เกิดเป็นคนรวยก็จริง แต่กลับเป็นคนรวยที่มีอัธยาศัยชอบใช้แต่ของเก่า ๆ กินแต่อาหารที่ไม่มีคุณภาพค้าง ๆ ไม่ประณีต ใช้ของเก่า ๆ ขาด ๆ เหมือนที่เราคงเคยเห็นเศรษฐีหลาย ๆ คนเป็นแบบนี้ เห็นไหมมันไม่คุ้มกันเลย

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๑๘๘ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๑

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล