ครั้งก่อนเราได้ศึกษากันมาแล้วว่า
ทิศ ๖ ประกอบด้วยตัวของเราเองเป็นแกนกลาง แล้วแวดล้อมด้วยบุคคลอีก
๖ กลุ่ม ซึ่งบุคคลแต่ละกลุ่มล้วนมีความสัมพันธ์กัน ทั้งยังมีอิทธิพลต่อ
ความเสื่อม ความเจริญ ความโง่ ความฉลาด สารพัดเรื่องราวกับเรา ในฐานะและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป
คนเรานั้นไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาดีเพียงลำพังคนเดียวได้
เนื่องจากถ้ามองเข้าไปดูในตัวเองแล้วจะพบว่า พวกเราเป็นผลพวงของทิศ
๖ เพราะว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาพร้อมกับความไม่รู้ทั้งสิ้น
เมื่อไม่สังเกตตรงนี้ให้ดี แล้วไปดูเบาใน ทิศ ๖ มนุษย์ถึงไม่เจริญเท่าที่ควร
แล้วยังไม่โทษตัวเองแต่กลับไปโทษคนอื่นเสียอีก จึงทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตัวเอง
ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ถูกจุด ยิ่งแก้ก็ยิ่งแย่
เพราะฉะนั้น ทิศ ๖ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยของสังคมที่เล็กที่สุด แต่ว่ามีความสำคัญที่สุด
และทรงอานุภาพที่สุดนี้ ถ้าไม่ระมัดระวังกันให้ดี ย่อมเป็นที่มาแห่งความเสื่อม
ความวิบัติ ของ ทุกสิ่งทุกอย่างได้
![](images/2-1.gif)
หน้าที่สำคัญของทิศ ๖ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อมีอยู่
๓ เรื่องใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
๑. เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังนิสัยใจคอ
![](images/2.jpg) |
นิสัยของคนเรานั้นได้มาจากทิศ ๖ ซึ่งเมื่อสรุปแล้วจะเหลือแค่
บ้าน วัด โรงเรียนนี่เอง ไม่ใช่ตกลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่หลั่งไหลมาเองเหมือนอย่างกับน้ำฝนบนท้องฟ้า
คือตอนเล็กๆ เราก็ได้คุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ ลุงป้าน้าอา หลวงปู่
หลวงพ่อ ช่วยกันอบรมให้ จนกระทั่งกลายมาเป็นนิสัยใจคอของเรา
ส่วนว่าท่านจะอบรมได้ดีขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะไม่มีใครจะอบรมบ่มนิสัยใจคอ
หรือคุณงามความดี ให้กับผู้อื่นได้มากกว่าที่ตัวเองมีอยู่ เพราะฉะนั้น
ท่านมีสติปัญญาเท่าไหร่ ท่านก็อบรมให้เราได้เท่านั้น
ยกตัวอย่าง เวลาลูกกินข้าวแล้วไม่ล้างจาน คุณแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร
เดี๋ยวจะให้คนรับใช้เอาไปล้าง นั่นเริ่มเพาะนิสัยไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองให้ลูกแล้ว
เด็กคนนี้พอโตขึ้นมาก็เลยรับผิดชอบอะไรไม่เป็น แล้วอย่างนี้จะหวังให้มารับผิดชอบวงศ์ตระกูล
หวังจะให้รับผิดชอบต่อทรัพย์สมบัติ เขาจะไปรับผิดชอบได้อย่างไร ในเมื่อแค่จานข้าวที่ตัวเองกินก็ยังไม่ล้างเลย
๒. เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดี
ทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดี หรือความรู้
ความสามารถและคุณธรรมประจำใจ แต่ว่าอย่าเอาเรื่องของนิสัยใจคอ กับความเก่งความดีมาปนกัน
เพราะไม่ว่าใครจะเป็นคนหยาบ เป็นคนละเอียด เป็นคนทำอะไรประณีต เป็นคนทำอะไรทิ้งๆ
ขว้างๆ ก็ตาม นั่นเป็นนิสัยไม่ได้เกี่ยวกับ ความรู้ ความสามารถ ยังไม่เกี่ยวกับเรื่องว่าดีหรือเลว
ความรู้ความสามารถตลอดจนความเก่งความดีของมนุษย์ ก็ได้มาจากทิศ ๖
อีกเหมือนกัน อย่าคิดว่าเก่งได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครคิดอย่างนั้นแสดงว่าเป็นคนเนรคุณ
ทั้งต่อพ่อแม่และครูบาอาจารย์ทีเดียว
เพราะกว่าคุณพ่อคุณแม่จะอบรมเลี้ยงดูมาก็แทบแย่ กว่าครูบาอาจารย์จะเคี่ยวเข็ญสั่งสอนมาก็แทบแย่
แต่พอโตขึ้นมาเป็นคนที่มีทั้งความรู้ความสามารถ กลับบอกว่าตนนั้นเก่งได้ด้วยตัวเอง
เมื่อทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความเก่งความดีให้กับเราอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ลูกเอ๊ย เวลาประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรก็ตาม นึกถึงพระคุณทิศ
๖ ของเราด้วย
เช่น เวลาเล่นกีฬาชนะ ก็ให้หันหน้าไปทางทิศที่คุณพ่อคุณแม่ของเราอยู่
แล้วกราบท่านสักทีหนึ่ง โรงเรียนของเราอยู่ทิศไหน หันหน้าไปทางทิศนั้น
กราบครูบาอาจารย์สักทีหนึ่ง แล้วหลวงปู่ หลวงพ่อ ที่เราเคารพนับถือท่านอยู่ทิศไหน
กราบไปทางทิศนั้นสักทีหนึ่ง แล้วจะมีแต่ความสุขความเจริญ
ไม่ใช่ไปกระโดดโลดเต้น ร้องกรี๊ดๆ ดีใจ อย่างนั้นไม่เอานะ
๓. เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความสุขความเจริญ
ทิศ ๖ เป็นแหล่งกำเนิดและเป็นแหล่งปลูกฝังความสุขความเจริญของคนในสังคม
ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ไม่ใช่เพียงเฉพาะของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
เพราะจากนิสัยใจคอ จากความเก่งความดีที่มีอยู่นั่นเอง ทำให้คนๆ นั้น
คิด พูด ทำ ในทางที่ดี ในสิ่งที่ถูก จึงกลายเป็นความสุขความเจริญ
ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
แต่ถ้าเขาเอาไป คิด พูด ทำ ในทางไม่ดี ในสิ่งที่ผิด ก็จะกลายเป็นความทุกข์ความเสื่อม
ทั้งชาตินี้และชาติหน้าอีกเหมือนกัน
![](images/3-1.gif)
แหล่งกำเนิดกับแหล่งปลูกฝังนี้มีความหมายคล้ายๆ
กัน
คือตัวของเราตอนแรกนั้นเหมือนเป็นที่ว่างๆ แล้วทิศ ๖ ก็เอานิสัยใจคอ
เอาความรู้ ความสามารถ เอาความดี มาปลูกให้เกิดขึ้นมาในตัวเราพูดง่ายๆ
สิ่งใดที่เรายังไม่มี เช่น คุณความดีใดๆ ที่ยังไม่มีอยู่ในตัว ความรู้ความสามารถ
ที่ยังไม่มีอยู่ในตัว ก็ได้ทั้ง ๖ ทิศรอบข้างเรานั่นแหละเอามาปลูกให้
ปลูกเสร็จก็ยังคอยเฝ้าดูแล คอยประคบประหงม เพาะบ่มให้งอกเงยขึ้นมา
จนกระทั่งโตวันโตคืน แล้วแทรกซึมอยู่ทุกอณูในเลือด ในเนื้อ ในจิตในใจของเรา
กลายเป็นนิสัยใจคอ เป็นธรรมะประจำใจ เป็นความรู้ความสามารถ เป็นความเก่งความดี
เป็นความสุขความเจริญ
เมื่อสิ่งเหล่านี้เติบโตขึ้นในตัวเราแล้ว วันหนึ่งเราก็เอาทั้งธรรมะ
เอานิสัยใจคอที่ดีๆ เอาความรู้ ความสามารถ ความเก่ง ความดี ความสุขกาย
ความสุขใจของเรา เที่ยวไปหว่านไปโปรยให้กับคนอื่นต่อไป
บางครั้งถ้าสิ่งที่ได้รับมานั้นเจริญงอกงามเต็มที่ เราก็ยังมีสิทธิ์ที่จะเอาย้อนกลับไปให้กับคนที่เคยให้เรา
เพราะของเราตอนนี้โตกว่าของเขาแล้ว
ยกตัวอย่าง หลวงพ่อเอง โยมพ่อโยมแม่ประคบประหงมมา ครูบาอาจารย์ประคบประหงม
มา จนกระทั่งเจริญเติบโตมาได้ระดับหนึ่ง แล้วเราก็พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ
ครั้นได้มาบวช เราก็สามารถพัฒนาสิ่งที่ท่านช่วยกันปลูกให้นั้นได้มากขึ้น
เมื่อมากขึ้นจนกระทั่งโตกว่าต้นเดิม หลวงพ่อก็นำย้อนกลับไปแจกโยมพ่อโยมแม่
นำย้อนกลับไปแจกครูบาอาจารย์ในสถาบันต่างๆ
เมื่อย้อนกลับไปกลับมาได้อย่างนี้ ท่านจึงใช้คำว่าทิศ ๖ มีหน้าที่เป็นทั้งแหล่งกำเนิด
เป็นทั้งแหล่งปลูกฝัง
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอานุภาพของทิศ ๖ อย่างหนึ่ง ที่เราพอจะมองออกได้นั่นเอง
![](images/4.jpg)