อสาตมันตชาดก ชาดกว่าด้วยวิสัยของหญิงส่วนมาก

อสาตมันตชาดก ชาดกว่าด้วยวิสัยของหญิงส่วนมาก หน้า 3

หน้า 3 จบ

การ์ตูนนิทานชาดก

อสาตมันตชาดก

ชาดกว่าด้วยวิสัยของหญิงส่วนมาก 


1s.jpg2s.jpg3s.jpg4s.jpg5s.jpg6s.jpg7s.jpg8s.jpg9s.jpg10s.jpg11s.jpg12s.jpg13s.jpg14s.jpg15s.jpg16s.jpg17.jpg

 

          ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี มีพราหมณ์อยู่ครอบครัวหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่นางพราหมณีได้ให้กำเนิดบุตรชาย ก็ได้จุดไฟไว้ หมั่นเติมเชื้อไฟมิให้ดับเลย จนกระทั่งผู้ชายเติบโตเข้าวัยหนุ่ม มีอายุได้ ๑๖ ปี

       

           เนื่องจากบุตรชายพราหมณ์ผู้ นี้มีรูปโฉมสง่างาม ประกอบกับบิดามารดามีความรู้และมีฐานะดี เขาจึงเป็นที่หมายปองของสาวงามทั้งหลายในหมู่บ้าน อีกทั้งเขาเองก็มีความพึงพอใจหญิงเหล่านั้นด้วย จึงเฝ้าใฝ่ฝันจะมีเหย้ามีเรือนตามประสาชายหนุ่มทั่วไป

   
        
            ส่วนพราหมณ์บิดามารดากลับมีความคิดที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป ทั้งสองไม่ปรารถนาจะให้บุตรชายแต่งงานมีเหย้าเรือน หรือประกอบอาชีพใดๆแต่ประสงค์ให้ออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อว่าเมื่อบุตรชายสิ้นอายุขัยละโลกนีไปแล้ว จะได้ไปกำเนิดในพรหมโลก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ประเสริฐสุดในสมัยนั้น และเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดที่พราหมณ์ทั้งสองจะมอบให้บุตรชายสุดที่รักได้

          

            วันหนึ่งนางพรางกล่าวกับบุตรว่า

 

            "ลูกรัก พรหมโลกเป็นที่หมายสูงสุดของมนุษย์ทุกคน ที่นั่นเป็นที่อยู่ของเทพยดผู้บริสุทธิ์ แม่อยากให้ลูกบำเพ็ญบารมี ด้วยการนำไฟที่พ่อแม่ได้จุดไว้ตั้งแต่ลูกเกิดนี้เข้าป่าไปแล้วออกบวชบูชาไฟเถิดนะ"      

           "ลูกรัก พรหมโลกเป็นที่หมายสูงสุดของมนุษย์ทุกคน ที่นั่นเป็นที่อยู่ของเทพยดผู้บริสุทธิ์ แม่อยากให้ลูกบำเพ็ญบารมี ด้วยการนำไฟที่พ่อแม่ได้จุดไว้ตั้งแต่ลูกเกิดนี้เข้าป่าไปแล้วออกบวชบูชาไฟเถิดนะ"
   
          "โถแม่...เรื่องบวชนะ อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลย ลูกยังหนุ่มยังแน่น ถ้าบวชเสียตอนนี้ก็เสียดายความหนุ่มเปล่าๆ เกิดมายังไม่ทันแต่งงาน มีครอบครัว ยังไม่มีหลานให้แม่อุ้ม จะบวชเสียแล้วหรือ แม่ก็..."
  
           เมื่อนางพราหมณีเห็นว่าผู้ชายไม่ได้มีจิตใจน้อมไปทางที่จะบวชเลย จึงนำเสนอความคิดความเห็นประการใหม่ให้

           " เอาล่ะ ถ้าลูกไม่อยากจะเอาดีทางธรรมก็ไม่ต้องบวชหรอก แต่เมื่อลูกคิดจะมีเหย้ามีเรือน ลูกต้องเอาดีทางโลกให้ได้ จึงจะมีค่าส่งสมกับที่ได้เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย "

           "เอาดีทางโลก..ทำอย่างไรครับแม่?"  ชายหนุ่มสนใจขึ้นมาทันที นางพราหมณีจึงกล่าวสอนว่า

           "ธรรมดาของชายนั้น ถ้าไร้ความรู้ ไร้สติปัญญา ก็ย่อมขาดความสง่างามในสังคม เมื่อลูกคิดจากครองเรือน ก็จงเป็นผู้ครองเรือนที่สามารถ มีความรู้ในศิลปศาสตร์เยี่ยงกุลบุตรทั้งหลาย ดังนั้นแม่จะส่งลูกไปเรียนวิชาต่างๆ ที่สำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ที่เมืองตักกสิลา เมื่อลูกไปถึงสำนักอาจารย์แล้ว จงไปเลือกเรียนวิชากับอาจารย์ที่เป็นโสด เพราะท่านย่อมมีเวลาทุ่มเทให้กับการสอนได้มากกว่าอาจารย์ที่มีครอบครัว จะได้จบไวๆ นะลูก"

            ชายหนุ่มรับคำมารดาด้วยความยินดี แล้วจัดแจงออกเดินทาง ไปยังสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ทันที

ชายหนุ่มตั้งใจเล่าเรียนศิลปศาสตร์ต่างๆ กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ท่านหนึ่งจนสำเร็จแล้ว จึงได้เดินทางกลับมาบ้านเล่าความถึงการเรียนให้บิดามารดาฟัง

            ใจจริงของบิดามารดานั้น ยังต้องการให้บุตรออกบวชอยู่ นางพราหมณีจึงถามบุตรชายว่า

            "ลูกได้เรียนอสาตมนต์มาด้วยหรือเปล่า?"

            "อสาตมนต์ คือมนต์อะไรกันครับ ผมไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย "บุตรชายตอบ

             "อสาตมนต์เป็นวิชาพิเศษที่น้อยนักคนจะได้เรียนรู้ ลำพังศิลปะทั่วไปใคร ๆ ก็ย่อมเรียนได้แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้วิชาอสาตมนต์บ้างเล่า แม้แต่ชื่อมนต์บทนี้ บางคนก็ยังไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำ"

           "ทำไมนะ อาจารย์ถึงไม่สอนมนต์บทนี้ให้ผม"

           "อาจารย์คงเห็นว่าลูกอยากจะรีบกลับมาประกอบการงาน มีเหย้ามีเรือนกระมัง จึงได้สอนเฉพาะวิชาที่จำเป็นแก่การเลี้ยงชีพให้"

           "ถ้าอย่างนั้น ผมจะกลับไปหาอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง ให้ท่านสอนอสาตมนต์ให้"

            ชายหนุ่มจึงเดินไปหาอาจารย์ยังสำนักทิศาปาโมกข์ เมื่อตักกสิลาอีกครั้งหนึ่ง แต่ปรากฏว่าอาจารย์ของเขาได้พามารดาซึ่งมีอายุถึง ๑๒๐ ปี เข้าไปอาศัยอยู่ในป่า เพราะไม่อยากทนฟังคำค่อนแคะของคนทั้งหลายที่อยากให้ท่านมีภรรยา เพื่อจะได้ให้ภรรยาเป็นผู้ปรนนิบัติมารดาแทนตน เพราะทุกวันนี้ ท่านเป็นผู้อาบน้ำให้มารดาเอง ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ นวดเนื้อนวดตัว ดูแลความเป็นอยู่ต่างๆ ให้อย่างดี ท่านทราบดีว่า การดูแลคนแก่นั้นเป็นเรื่องที่ลำบาก ต้องอดทน เอาใจใส่อย่างมากยากที่บุคคลอื่นที่มิใช่บุตรหลานจะทำให้ดีได้ ถึงหากท่านจะมีภรรยา ภรรยาก็คงไม่เต็มใจทำให้ กลับเป็นการนำทุกข์มาสู่มารดา สู่่ภรรยาและสู่ตนเองเสียเปล่าๆ สู้อยู่เป็นโสดปรนนิบัติมารดาต่อไปดีกว่า

           ฝ่ายชายหนุ่มเมื่อไปหาอาจารย์ที่เมืองตักสิลาไม่พบ จึงสอบถาม จนตามมาพบอาจารย์ในป่ าอาจารย์เห็นเข้า จึงจะขึ้นว่า

           "พ่อคุณ เข้าป่ามาถึงนี่เชียวรึ มีอะไรจะให้อาจารย์ช่วยบ้างล่ะ?"

           "อาจารย์ครับ อาจารย์ยังไม่ได้สอนอสาตมนต์ให้ผมเลยครับ "ชายหนุ่มทวงวิชา

            อาจารย์รู้สึกสงสัยในคำพูดของศิษย์ จึงย้อนถามไปว่า

           "ใครบอกให้เธอมาเรียนสอนอสาตมนต์ล่ะ?"

           "คุณแม่ของกระผมเองครับ"

           "อ้อ...อย่างนั้นรึ"

            อาจารย์นั้นรู้อยู่แก่ใจว่า มนต์ที่ชื่อว่าอสาตมนต์ไม่มีอยู่ในโลกนี้ ซะรอยมารดาของศิษย์คงคาดหวังอะไรบางอย่างไว้ในใจเป็นแน่ ท่านจึงชวนศิษย์สนทนาถึงความเป็นไปต่างๆ ในครอบครัวของเขา ในที่สุดอาจารย์ก็เข้าใจถึงความต้องการอันแท้จริงของมารดาของศิษย์อาจารย์จึงกล่าวว่า

          "อาจารย์จะให้อสาตมนต์กับเธอ แต่เธอต้องทำหน้าที่ของอาจารย์อย่างหนึ่ง คือปรนนิบัติดูแลมารดาแทนอาจารย์ จะได้หรือไม่?"

          "ได้สิครับอาจารย์ กระผมยินดีทำทุกอย่าง ขอเพียงแต่ให้อาจารย์สอนอสาตมนต์มนต์ให้กระผมเท่านั้น" ชายหนุ่มตอบ

          "ดีล่ะ นับแต่บัดนี้ไป เธอจงเป็นผู้อาบน้ำให้แม่ของอาจารย์ ด้วยมือของเธอเอง ป้อนข้าวป้อนน้ำ นวดศีรษะ นวดมือ นวดเท้า ให้แม่ของอาจารย์ และทุกครั้งที่ปรนนิบัติคุณแม่ เธอต้องเยินยอ พรรณาความงาม ของท่านไปด้วย"

           "อะไรกันครับอาจารย์ คุณแม่ชราถึงเพียงนั้นแล้ว..."
           "จงทำตามที่อาจารย์บอกซิ"อาจารย์สั่ง
           "ครับ อาจารย์ "ชายหนุ่มรับอย่างว่าง่าย

           อาจารย์จึงสอนต่อไปว่า ให้เยินยอความงามของคุณแม่ ย้อนไปถึงสมัยที่ยังสาว เมื่อแม่ตอบมาว่าอย่างไร ก็ให้มาเล่าให้อาจารย์ฟังทุกครั้งไม่ต้องอาย อย่าปิดบังอำพรางเด็ดขาด

           ชายหนุ่มรับคำ แล้วดำนินตามคำสอนทุกประการ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มอาบน้ำให้นาง นวดเนื้อนวดตัวให้นาง ก็กล่าวชมความงามอยู่ ไม่ขาดปาก ทำให้หญิงชราซึ่งแม้จะมีอายุถึง ๑๒๐ ปี และตามืดบอด ฟันฟางหักหมดปากแล้ว กลับมีความคิดว่า ชายหนุ่มมีความรักใคร่ ในตัวนาง

            วันหนึ่ง ขณะที่ชายหนุ่มนวดตัวหญิงชรา ก็กล่าวชมนางไปว่า

            "คุณแม่ขอรับ เมื่อคุณแม่ยังสาว คุณแม่คนสวยมากทีเดียว ทั้งลำตัว แขนขา หลังไหล่ของคุณแม่ ได้สัดส่วนพอเหมาะพองาม ดีจริงๆแม้ยามนี้ คุณแม่ก็ยังดูกระชุ่มกระชวย ผิวพรรณยังงดงาม ผมไม่เคยหลงใหลใครเท่ากับคุณแม่เลย..."

             นางจึงคว้ามือชายหนุ่มไว้แล้วถามว่า

             "เธอต้องการเราจริง ๆ หรอ?"

             "ครับ ผมต้องการคุณแม่ยิ่งกว่าหญิงใดในโลก"

             "งั้นเธอก็จงอยู่ร่วมเรือนกับเราเสียที่นี่เถิด "เธอนางเชื้อเชิญ

             "มิได้หรอครับคุณแม่ ถ้าอาจารย์ทราบ ท่านต้องฆ่าผมแน่ ความรักของเราเห็นทีจะมีอุปสรรคเสียแล้ว"

            นางนิ่งไปสักครู่ แล้วกล่าวว่า

            "ถ้าเธอต้องการฉันจริง ก็ฆ่าลูกชายฉันเสียสิ"

            ชายหนุ่มจึงตอบว่า

            "คุณแม่ครับ ผมได้รับความรู้มากมายจากท่านอาจารย์ จะให้ผมฆ่าอาจารย์ ผมทำไม่ได้หรอกครับ"

            "เธอไม่ต้องการฉันหรือ?"หญิงชราถาม

            "ผมต้องการคุณแม่มากครับ แต่ผมไม่อาจฆ่าอาจารย์ได้" ชายหนุ่มตอบ

             "ถ้าอย่างนั้นฉันจะฆ่าเขาเอง!"นางลั่นวาจา

             นี่แหละ ผู้หญิงเจ้าชู้ แม่แก่เจียนตายก็ไม่น่าชื่นใจ มีความคิดลามก มีลับลมคมใน เมื่อบังเกิดกิเลส ก็คล้อยตามกิเลส ถึงกับฆ่าลูกในไส้ของตัว

             ชายหนุ่มได้เล่าเนื้อความทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง อาจารย์นั่งสมาธิตรวจดูอายุของมารดา ก็ทราบว่า มารดาถึงคราวสิ้นอายุขัยในวันนี้ แล้วจึงบอกกับศิษย์ว่า

            "เรามาทดลองอะไรกันดูสักอย่างดีกว่านะ"

             อาจารย์จึงให้ศิษย์ไปตัดไม้มะเดื่อมาท่อนหนึ่ง นำมาวางบนเตียงนอนของตน เอาผ้าคลุมไว้ให้ดูเสมือนกับตัวท่านนอนอยู่บนเตียงแล้วผูกเชือกไว้ จากนั้น จึงให้ศิษย์นำขวานไปให้มารดา เพื่อให้นางมาฆ่าตน ศิษย์จึงไปบอกมารดาของอาจารย์ทันที

             "คุณแม่ครับ ท่านอาจารย์กำลังนอนหลับอยู่ในห้อง ผมผูกราวเชือกไว้ให้คุณแม่เกาะเดินไปแล้ว...นี่ครับ ขวานที่คุณแม่จะถือไปฟันท่านอาจารย์"

            นางรับขวานมาถือไว้ แล้วพูดกับชายหนุ่มอีกว่า

           "เธอต้องไม่ทอดทิ้งแม่นะ"

          "คุณแม่วางใจเถอะครับ ผมไม่ทอดทิ้งคุณแม่แน่นอน"

           นางฟังคำของชายหนุ่มแล้ว ก็งกๆ เงิ่น ๆๆลุกขึ้นเดินเกาะราวเชือกไปยังห้องนอนของลูกชาย เมื่อมาถึงเตียงลูกเอามือคลำดูบนเตียงแล้วก็คิดว่าเป็นลูกชายนอนอยู่ จึงเงื้อขวานฟันลงไปทันที

           เมื่อขวานกระทบไม้ก็กระดอนขึ้นมา นางจึงทราบทันทีว่าถูกกลลวงของชายหนุ่มเสียแล้ว ทันทีนั้น บุตรก็ถามขึ้นว่า

          "คุณแม่ทำอะไรน่ะ?"

           ความตกใจและความอับอาย พุ่งเข้าจากดวงใจ ของหญิงชราในทันที ถึงกับสิ้นสติล้มลง และขาดใจตาย ณ ที่นั้น

          เมื่ออาจารย์จัดการเผาศพมารดาของตนแล้ว จึงกล่าวกับศิษย์ว่า

          "วิชาที่เรียกว่าอสาตมนต์ไม่มีหรอก แต่คุณแม่ของเธอมองเห็นโทษของหญิง จึงสั่งเธอมาหาอาจารย์ บัดนี้ เธอก็เห็นโทษของหญิงจากแม่ของเราแล้วมิใช่หรือว่าเป็นอย่างไร"

          "ขอรับ ท่านอาจารย์"ชายหนุ่มตอบ

          จากนั้น เขาได้กราบลาอาจารย์กลับมาหาบิดามารดา ทันทีที่ถึงบ้าน มารดาจึงถามว่า

          "ลูกเรียนอสาตมนต์จบแล้วหรือ?"

          "ครับคุณแม่"ชายหนุ่มตอบ

          "ดีแล้ว ต่อไปนี้ลูกจะได้เริ่มต้นชีวิตของลูกอย่างไรดีล่ะ จะออกบวชดี หรือแต่งงานดี แล้วแต่ลูกนะจ๊ะ เพราะลูกได้เรียนทุกอย่างแล้ว"

         "คุณแม่ครับ ผมเห็นโทษของหญิงแล้วไม่คิดจะแต่งงานอีกแล้ว ผู้หญิงเป็นเพศที่ไม่รู้จักพอ ขาดความยั้งคิด เกิดความปรารถนาไม่สิ้นสุดเร่าร้อน คึกคะนอง เหมือนไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผมไม่ต้องการแต่งงานอีกแล้ว แต่จะออกบวชบำเพ็ญบารมี "ชายหนุ่มตอบ

         หลังจากนั้น ชายหนุ่มจึงลาบิดามารดา เข้าป่าบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญภาวนา กำจัดกิเลส จนสิ้นอายุขัย ครั้นละโลกนี้ไปแล้วได้บังเกิดในพรหมโลก


ข้อคิดจากชาดก

         ในการอ่านชาดกเรื่องนี้ ต้องทำใจให้เป็นกลาง อย่ายึดว่าตัวเองเป็นหญิงหรือชาย เพราะทั้งหญิงและชาย หากไม่ระวังตัวก็มีโอกาสจมอยู่ในเวรกาเมเท่าๆ กันทุกคน จึงควรตระหนักว่า

          ๑. การประพฤติพรหมจรรย์หรือการครองตนเป็นโสด นั้นเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ

           ๒. หญิงหรือชายที่ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ ต้องระวังตัวอย่าคลุกคีกับเพศตรงข้าม เพราะยังไม่หมดกิเลส ก็ย่อมมีโอกาสพลาดพลั้งได้ แม้แต่การคบเพื่อนเพศเดียวกัน ก็ต้องเลือก อย่าคบคนที่เจ้าชู้ รักสวยรักงามจนเกินไป เพราะเขาจะชักนำให้เราสนใจเรื่องเพศจนกามกำเริบได้

           

 

 

 

 

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * นิทานชาดก แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล