Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย อุทานคาถาว่าความโศกความร่ำไร ความทุกข์อันมากมายนี้มีอยู่ในโลก ก็เพราะอาศัยสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รัก ความโศกความร่ำไรความทุกข์เหล่านี้ก็ย่อมไม่มี ผู้ใดไม่มีสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลก ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความเศร้าโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนาความไม่โศกอันปราศจากกิเลสดุจธุลีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือสังขารใดในโลกให้เป็นที่รักเลย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีความทุกข์อยู่นี้ ก็เพราะมีความผูกพันในคนสัตว์สิ่งของ จึงต้องติดบ่วงแห่งทุกข์ แม้พยาราชสีห์หากติดบ่วงของนายพรานแล้ว ก็ย่อมสิ้นกำลังและอำนาจ ได้รับแต่ความทุกข์ทรมาน มนุษย์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน แม้มียศฐาบรรดาศักดิ์มากเพียงใด หากติดบ่วงแห่งความรักความผูกพันเสียแล้ว ก็ย่อมสิ้นฤทธิ์ เพราะตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหา ย่อมมีจิตโศกเศร้า เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน
ผู้รู้ทั้งหลายถึงกล่าวเอาไว้ว่าที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากการแปรเปลี่ยนหรือพลัดพรากจากคนสัตว์สิ่งของอันเป็นที่รัก ยิ่งรักมากก็ยิ่งทุกข์มาก หรือทุกข์ที่เกิดจากการพบเจอสิ่งอันไม่เป็นที่รัก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนทำให้เกิดการโศกเศร้าเสียใจ คือมีสภาพจิตที่อับเฉาซบเซา ทำให้มีอาการแห้งใจ เหมือนดินแห้งใบไม้แห้งหมดความชุ่มชื่นไม่อยากจะรับรู้อารมณ์อื่นใดไม่อยากทำการงานอะไร ฤทธิ์เดชของความไม่สมหวังนี้อาจทำให้คนกลัดกลุ้มจนตรอมใจตายก็ได้
ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เรารู้จักพิจารณาปล่อยวาง ลาจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเราจะต้องพลัดพลากจากของรักของชอบใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น เพราะเราอยู่บนโลกใบนี้ ที่มีโลกธรรมเป็นพื้นฐาน และเราก็มีเวลาอยู่อย่างจำกัด เมื่อหมดเวลาแล้วเราก็ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป แม้กระทั่งร่างกายของเราเอง ฉะนั้นน่ะหากปล่อยวางได้เมื่อไหร่ ใจก็เบาสบายจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เหมือนดั่งเรื่องที่หลวงพ่อจะได้นำมาเล่าให้ลูกๆ ได้รับฟังกันในวันนี้นะจ๊ะ
เรื่องก็มีอยู่ว่าพระวาสิฏฐีเถรี เป็นผู้มีชีวิตที่ผันผวนปรวนแปรอย่างน่าสงสาร เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรงในชีวิต จนไม่มีใครสามารถทำนายชีวิตของท่านได้ว่า ชีวิตในวันข้างหน้าของท่านจะเป็นอย่างไรต่อไป พระเถรีได้เคยบำเพ็ญบารมีที่เป็นอุปนิสัยแห่งมรรคผลนิพพานมาหลายชาติ ได้เคยทำบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ ได้ท่องเที่ยวเวียนตายเวียนเกิด เป็นเทวดาและมนุษย์มายาวนานเป็นแสนกัป
ครั้นมาถึงในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้มาเกิดในตระกูลฐานะดีตระกูลหนึ่งในเมืองเวสาลี มีชื่อว่าวาสิฏฐี เมื่อเติบโตเป็นสาวมารดาบิดาก็ได้ยกให้ไปเป็นภรรยาของกุลบุตรผู้หนึ่ง ซึ่งมีฐานะเสมอกัน หลังจากที่ได้แต่งงานแล้ว ก็อยู่ร่วมกันอย่างผาสุขประหนึ่งว่าเป็นคู่สร้างคู่สม คู่บุญคู่บารมีกันจนมีพยานรักคือลูกชาย ๑ คน ครั้นลูกชายเติบโตวิ่งเล่นได้ ก็เกิดเหตุพลิกผันวิถีชีวิตของนางโดยสิ้นเชิง ลูกชายของนางเกิดล้มป่วยลง และได้ตายจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้นางเกิดความโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ต่อลูกน้อยเป็นอย่างมาก จนไม่เป็นอันกินอันนอน นางไม่สามารถควบคุมสติของตนได้ จนกระทั่งกลายเป็นคนเสียสติ พวกญาติและสามีของนางได้ช่วยกันรักษาเยียวยา แต่ก็ไม่ได้ผล นางได้เดินร้องไห้กะเซอะกะเซิงออกจากบ้านไป โดยที่ไม่มีใครรู้ว่านางไปทางไหน จนกระทั่งไปถึงเมืองมิถิลา
ในขณะนั้นเองบุญเก่าที่นางได้สั่งสมไว้อย่างดีแล้วก็ตามมาให้ผล นางได้พบกับสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์กำลังเสด็จดำเนินไปสู่เมืองมิถิลาพอดี ทันทีที่ได้เห็นพระบรมศาสดาเท่านั้น ด้วยพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ ทำให้นางกลับได้สติ หายจากอาการเป็นบ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่านางกลับได้สติแล้ว จึงแสดงธรรมโปรดนางวาสิฏฐี ให้คลายจากความรักความผูกพันครั้นนางได้สดับพระธรรมเทศนา ซึ่งเปรียบเสมือนธรรมโอสถชั้นยอดแล้ว ก็เกิดความสลดสังเวชใจ เห็นสัจธรรมของชีวิตในสังสารวัฏ ว่าเต็มไปด้วยความทุกข์ ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือน
จึงทูลขอบรรพชาต่อพระบรมศาสดา เมื่อนางได้รับอนุญาตแล้ว ก็ออกบรรพชาในสำนักภิกษุณีหลังจากบวชแล้ว บารมีธรรมที่สั่งสมมาจนเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ก็ปรากฏผล พระเถรีได้ทำกรณียกิจ เริ่มเจริญสมาธิบำเพ็ญเพียรภาวนา ทำใจหยุดใจนิ่งดิ่งเข้ากลางของกลางเรื่อยไป ไม่นานก็บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ หลังจากที่พระวาสิฏฐีเถรีบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว
จึงได้กล่าวเถรีคาถาเหล่านี้ ด้วยความเบิกบานใจว่า ดิฉันถูกความโศกเศร้า ถึงบุตรบีบคั้น มีจิตฟุ้งซ่าน เปลือยกายสยายผม เที่ยวซมซานร้องไห้ไปตามสถานที่ต่างๆ ได้เดินโซซัดโซเซไปตามถนน กองขยะ ในป่าช้า ในตรอกน้อยตรอกใหญ่อดๆ อยากๆ จนถึง ๓ ปี พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงฝึกบุคคล ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ หาภัยจากที่ไหนไม่ได้ กำลังเสด็จไปสู่เมืองมิถิลา ดิฉันกลับได้สติแล้ว เข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดาพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงธรรมโปรดดิฉันด้วยพระมหากรุณา เมื่อได้รับรถแห่งอมตะธรรมจากพระองค์แล้ว จึงได้โอกาสออกบวชเป็นบรรพชิต และบำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระบรมศาสดา ได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งบททำอันรุ่งเรืองสุขเกษมสำราญ ดิฉันได้ถอนความเศร้าโศกอันมีพระอรหัตผลเป็นที่สุด ได้หลุดพ้นแล้วจากทุกข์ เพราะดิฉันกำหนดรู้อุปทานขันธ์ ๕ คลายความยึดมั่นถือมั่นในรูป ในเวทนาสัญญาสังขารและวิญญาณ และเหตุเกิดแห่งความเศร้าโศกทั้งหลายได้เด็ดขาดแล้ว
จากเรื่องนี้เราก็จะเห็นได้ว่า ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เพราะยิ่งมีสิ่งอันเป็นที่รักมาก ก็ยิ่งทุกข์มาก หมดรักก็หมดทุกข์ ความทุกข์ทั้งหลายจะสิ้นสุดเมื่อใจหยุดนิ่ง ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสมบูรณ์ ดังเช่นพระอรหันตเถรี ผู้ทำพระนิพพานให้แจ้งแล้ว ขณะที่ท่านเอาใจจรดอยู่ที่กลางกาย ดื่มด่ำอยู่ในอมตรสอันยอดเยี่ยมคือพระนิพพาน ความรักความโศกก็เข้าไปรบกวนท่านไม่ได้ ท่านตัดความรักใคร่ห่วงใยได้เด็ดขาด ใจของท่านจึงมีแต่ความสุขเกษม ชุ่มชื่น เบิกบานปราศจากความทุกข์ ความโศกเศร้าเสียใจ
พวกเราเองแม้ยังไม่สามารถตัดความรัก ความห่วงใยในคนสัตว์สิ่งของได้อย่างเด็ดขาด แต่ก็ควรฝึกหัดปลดปล่อยวางไว้บ้าง ด้วยการหมั่นทำสมาธิเจริญภาวนา เจริญมรณานุสติอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้เรามีสติไม่เศร้าโศกจนเกินเหตุ จิตจะได้คลายจากความยึดมั่นถือมั่น เวลาปฏิบัติธรรมก็สามารถเข้าถึงทำได้อย่างสะดวกสบาย เพราะไม่มีสิ่งที่มาเหนี่ยวรั้งจิตใจดังนั้นให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งเรื่อยไปจนกว่าจะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกคนนะจ๊ะ