Dhammaforpeople
ธรรมะเพื่อประชาชน
อย่ากลัวตายจนเกินงาม
มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในอัยยิกาสูตรความว่า
สพฺเพ สตฺตา มริสฺสนฺติ มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ
ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺติ ปุญฺญปาปผลูปคา
นิรยํ ปาปกมฺมนฺตา ปุญฺญกมฺมา จ สุคตึ
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาปคือ ผู้มีกรรมเป็นบาปจักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญจักไปสู่สุคติ
มนุษย์ทุกคนรวมไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่มีใครสามารถรอดพ้นความตายไปได้ นี่เป็นสัจธรรมที่ทุกคนต้องประสบด้วยตัวเองไม่ช้าก็เร็ว แต่เพราะไม่สนใจที่จะศึกษาความจริงของชีวิต มัวแต่ไปสนใจเรื่องอื่น เมื่อมีเหตุการณ์คับขันเกิดขึ้นกับตนจึงหวาดหวั่นและไม่กล้าเผชิญกับความจริง เนื่องจากไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงเกิดความสะดุ้งหวาดกลัวจิตใจก็หดหู่เศร้าหมอง
เหมือนดังเรื่องที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ เป็นเรื่องราวของพระภิกษุรูปหนึ่งที่กลัวความตายเอามากๆ มนุษย์ทุกคนต่างก็กลัวความตายทั้งนั้นแหละ ต่างกันแต่ว่าอาการที่แสดงออกมานััน อาจมากบ้างน้อยบ้าง แต่ภิกษุรูปนี้กลัวตายมากจนผิดปกติ เรื่องราวของท่านจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามรับฟังกันเลยน๊ะจ๊ะ
มีกุลบุตรคนหนึ่งในเมืองสาวัตถีมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้เข้าไปวัดพระเชตวันกับเพื่อนๆ เพื่อฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจถึงทุกข์โทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร จึงตัดสินใจออกบวชและศึกษาธรรมะวินัยอยู่ที่วัดพระเชต แต่ด้วยอุปนิสัยของท่านเป็นคนกลัวตายเอามากๆ เวลาเดินไปไหนมาไหนแม้จะอยู่ในบริเวณวัด พอได้ยินลมพัดแรงๆ หรือเสียงกิ่งไม้แห้งตกลงกระทบพื้น แม้กระทั่งเสียงนกร้องก็ดีก็จะสะดุ้งหวาดกลัวรีบวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
เพื่อนสหธรรมิกเห็นท่านกลัวตายผิดปกติ จึงได้นำไปพูดคุยกันทั่วทั้งวัด ต่อมาก็กลายเป็นหัวข้อสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า การกลัวตายเป็นเรื่องปกติของปุถุชนทั่วไป แต่พวกเราไม่เคยเห็นภิกษุรูปไหนที่กลัวตายเท่ากับภิกษุหนุ่มรูปนี้เลย สงสัยคงจะไม่เคยเจริญมรณานุสติ ถ้าหากท่านนึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ก็คงจะไม่กลัวตายมากขนาดนี้
ขณะที่พระภิกษุทั้งหลายกำลังสนทนาธรรมกันอยู่ พระบรมศาสดาก็ได้เสด็จมาที่โรงธรรมสภา แล้วตรัสถามว่าพวกเธอกำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไรกันอยู่หรือ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทราบ ก็มีพุทธบรรชารับสั่งให้ไปตามภิกษุรูปนั้นมาเข้าเฝ้า ครั้นภิกษุรูปนั้นมาถึง พุทธองค์จึงตรัสถามว่า จริงไหมภิกษุที่เธอกลัวตาย แค่ได้ยินเสียงนกร้องหรือเสียงไม้แห้งตก ก็สะดุ้งหวาดกลัวรีบหนีไปทันที ภิกษุหนุ่มได้กราบทูลยอมรับว่าจริงพระเจ้าข้า ครั้นได้สดับแล้วพระบรมศาสดาจึงประกาศท่ามกลางสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอย่าว่าแต่ในชาตินี้เลย ที่ภิกษุรูปนี้กลัวตายจนเกินเหตุ แม้ชาติที่แล้วก็กลัวตายอย่างนี้มาเหมือนกัน แต่ในชาตินั้นได้อาศัยเราจะเกิดเป็นรุกขเทวา พูดให้เข้าใจถึงเรื่องความตายจึงหายกลัวได้
เมื่อพวกภิกษุอยากรู้เรื่องราวของพระภิกษุรูปนี้ จึงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังว่า ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี ในชาตินั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวาอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ วันหนึ่งพระเจ้าพาราณสีมีกระแสรับสั่งให้นำช้างมงคลของพระองค์ ไปให้พวกหัตถาจารย์ได้ฝึกหัด เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมในยามเกิดศึกสงคราม ช้างจะได้ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นในสนามรบ
เมื่อครูฝึกได้รับช้างมงคลมาแล้ว ก็ได้ทำตามพระดำรัสโดยการนำช้างไปผูกไว้ที่เสาตะลุงอย่างแน่นหนาไม่ให้กระดุกกระดิกได้เลย แล้วก็ให้คนล้อมหน้าล้อมหลัง ให้ตีกลองศึกรัวขึ้นแล้วทำทีว่าจะซัดหอกเข้าหาช้าง ช้างเห็นอย่างนั้นก็เกิดกลัวตายขึ้นมาอย่างจับจิต จึงรวบรวมพลังทั้งหมด ชุดกระชากจนเสาตะลุงหักโค่น แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ครูฝึกเมื่อเห็นช้างกำลังวิ่งหนี จึงให้ช่วยกันวิ่งไล่จับ แต่ก็ไม่มีใครสามารถจับช้างได้สักคน เมื่อช้างหลุดรอดหนีไปได้ ก็ได้เข้าไปอยู่ในป่าหิมพานต์ที่รุกขเทวาโพธิสัตว์อาศัยอยู่ นับตั้งแต่ได้รับการฝึกในครั้งนั้นมา ช้างตัวนี้จะมีนิสัยหวดระแวงกลัวตายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดินไปไหนมาไหน พอได้ยินเสียงลมพัดใบไม้แห้งตกกระทบพื้นดิน หรือได้ยินเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นในป่า ก็จะสดุ้งหวาดกลัวจนตัวสั่น แล้วรีบวิ่งหนีไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว ทำให้ไปเป็นอันกินอันนอนเลย จิตใจมีแต่ความหวาดระแวง เดินไปในทิศทางไหนก็จะมีแต่ความสะดุ้งตกใจกลัว
รุกขเทวาโพธิสัตว์สังเกตุเห็นกริยาอาการของช้างเช่นนั้น จึงเห็นออกเห็นใจ ได้ปรากฏกายยืนอยู่ที่ขาครบไม้ต่อหน้าช้าง แล้วก็กล่าวให้ข้อคิดว่า นี่เจ้าช้างในป่านี้มีต้นไม้ผุแห้ง พร้อมที่จะหักลงอยู่มากมาย ถ้าหากเจ้าเอาแต่หวาดกลัวอยู่อย่างนี้ โดยไม่ยอมพิจารนาถึงความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรยั่งยืน สักวันหนึ่งก็ต้องมีอันดับหลายไป
ซึ่งก็เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์และสัพสิ่ง ที่ยังถูกความเสื่อมครอบงำอยู่ ถ้าหากเจ้าเอาแต่หวาดกลัวโดยไร้เหตุผลอยู่อย่างนี้ เจ้าต้องซูบผอมตายไปจริงๆ อย่างแน่นอน ช้างได้ฟังคำสะกิดใจของรุกขเทวาโพธิสัตว์ ก็ฉุกคิดขึ้นมา เมื่อได้คิดก็คิดได้ จึงคิดสอนตนเองทุกวัน เหมือนเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ในที่สุดช้างก็สามารถหมดความระแวง คลายความกลัวตายจนเกินไป ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในป่าหิมพานต์อยากมีความสุขจนตลอดชีวิต
พระบรมศาสดาครั้นตรัสเล่าเรื่องจบลง เพื่อสหธรรมิกก็รู้สึกสงสารท่าน เพราะเป็นนิสัยที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไข ฉะนั้นนับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีพระภิกษุสามเณรรูปไหน กล่าวถึงเรื่องนี้อีก มีแต่ให้กำลังใจปลอบโยนท่าน ในยามที่ขาดสติประคองตัวเองไม่ได้ไม่ได้
เห็นไหมจ๊ะว่าสิ่งที่แต่ละคนกำลังประสบในปัจจุบัน ล้วนมีภูมิหลังด้วยกันทั้งนั้น อย่างภิกษุที่กลัวตายในเรื่องนี้ ในอดีตชาติท่านเคยประสพกับเหตุการณ์ที่อกสั่นขวันแขวนมาก่อน จึงทำให้มีนิสัยกลัวตายติดมาข้ามชาติ ฉะนั้นน่ะเราจะต้องทำความเข้าใจให้ดีจะได้ไม่ตำหนิกัน ต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจ อย่ารีบจับผิดให้จับถูกหรือพิจารณา ต้นสายปลายเหตุให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยหาทางแนะนำกันไป
ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งสำหรับวันนี้คือ แม้ความตายจะเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือตายแล้วต้องไปเสวยทุกข์ทรมานในมหานรกอีกยาวนาน บางคนไม่สนใจเรื่องชีวิตในปรโลกของเสียเลย วัดก็ไม่เข้าเอาแต่ทำมาหากิน มีเวลาก็หาความสุขที่ไม่จีรังยั่งยืนใส่ตัวไปวันๆ ซึ่งความสุขที่แสวงหานั้น ส่วนใหญ่มักข้องเกี่ยวกับอบายมุขเช่น คบคนไม่ดีเป็นเพื่อน เพื่อนก็ชักชวนไปเที่ยวกลางคืน ไปเล่นการพนัน ไปเที่ยวสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือชักชวนกันดื่มน้ำเมา ซึ่งเป็นสุขชั่วคราวแต่ต้องทุกข์ไปยาวนาน ทั้งทุกข์ภายในชาตินี้และทุกข์ทรมานในปรโลก เราจึงควรทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรแนะนำเขา ต้องอดทนที่จะทำหน้าที่อย่างทรงเกียรตินี้ เพื่อบุญบารมีของตัวเราเอง มนุษยชาติจะได้มีชีวิตหลังความตายที่ปลอดภัย มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปกันทุกคนนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)