การเกิดมาได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นการยากแสนยาก แต่การดำรงภาวะของความเป็นมนุษย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า เพราะโอกาสพลั้งพลาดนั้นมีอยู่มาก ต้องรู้จักดำรงตนให้ห่างไกลจากบาปอกุศลทั้งมวล เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว การประคับประคองตนเองให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง และสัมมาทิฏฐิของเราจะหนักแน่นมั่นคงได้นั้น ต้องเกิดจากใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส และใจจะผ่องใสและบริสุทธิ์ได้นั้น ต้องเป็นใจที่หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กึ่งกลางตัวของเราเอง หยุดอยู่ตรงนี้ให้ได้ทั้งวันทั้งคืนทีเดียว ชีวิตจึงจะเข้าถึงความสมบูรณ์
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏอยู่ใน วิหารวิมาน ความว่า
“เอโส หิ สงฺโฆ วิปุโล มหคฺคโต
เอสปฺปเมยฺโย อุทฺธีว สาคโร
สา ทกฺขิณา สงฺฆคตา ปติฏฺฐิตา
มหปฺผลา โลกวิทูหิ วณฺณิตา
พระสงฆ์เป็นบุญเขตอันไพศาล คำนวณนับมิได้ เหมือนสาครมหาสมุทร
ที่คำนวณนับไม่ได้ ทักษิณาทานที่ถึงพระสงฆ์ ย่อมดำรงมั่น และมีผลมาก
พระศาสดาผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญนาบุญอันเลิศนี้”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่สร้างบุญในบุญเขตใด แม้จะทำเพียงเล็กน้อยก็ได้รับผลมาก หากทำมาก ก็ยิ่งทำให้ได้เพิ่มพูนทับทวีขึ้นไปอีก บุญเขตนั้นไม่มีในที่อื่นเลย มีอยู่แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น พระดำรัสนี้ เป็นเหมือนประทีปส่องทางให้ผู้หวังบุญ ได้หาโอกาสให้กับตนเองในการสั่งสมบุญในบวรพระพุทธศาสนา ฉะนั้น บัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อนทั้งหลาย จึงพากันสร้างบุญกันอย่างเต็มที่ ไม่เคยมีคำว่าไม่พร้อมอยู่ในหัวใจเลย มีแต่จะกระทำความพร้อมให้บังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเรามีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ต้องหมั่นสั่งสมบุญให้มากๆ ประมาทไม่ได้เลย โดยเฉพาะการให้ทาน จัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะเป็นการกำจัดมลทินคือความตระหนี่ออกจากใจ กระแสธารแห่งบุญนี้จะดึงดูดมหาสมบัติให้บังเกิดขึ้นอย่างเป็นอัศจรรย์ เราจะไม่พบกับความลำบากไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม มีเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่หลวงพ่ออยากจะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกัน จะได้ไม่พลาดโอกาสในการสั่งสมบุญ จะได้มีกำลังใจขวนขวายหาโอกาสทำบุญอยู่เสมอๆ ไม่ใช่มัวรอคอยโอกาส ต้องรีบแสวงหาโอกาสสร้างบุญในทุกๆ ที่ทุกๆ เวลาทีเดียว
* เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงสาวัตถี มหาชนเป็นอันมากต่างพากันบูชาพระพุทธองค์ด้วยการปฏิบัติบูชาและอามิสบูชา พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถือโอกาสนั้น เที่ยวจาริกไปตามสวรรค์เพื่อเยี่ยมเยือนเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย แล้วถือโอกาสไต่ถามถึงบุพกรรมของเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย เพื่อจะได้นำมาเล่าให้กับพุทธศาสนิกชนได้รับฟังเพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
วันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะได้ไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบวิมาน ๔ หลัง ตั้งเรียงรายรุ่งเรืองตระการตาด้วยรัศมี และได้พบเหล่าเทพธิดา ๔ องค์ เสวยทิพยสมบัติอยู่ในวิมานทั้ง ๔ หลังนั้น ท่านจึงเข้าไปพบ พอเหล่าเทพธิดาเห็นพระเถระผู้มีอานุภาพมาก จึงพากันลงจากวิมานของตนแล้วเข้ามาไหว้พระเถระ พระเถระท่านจึงเอ่ยถามว่า “ดูก่อนแม่เทพธิดาทั้งสี่ พวกท่านแต่ละนางช่างงดงามเหลือเกิน มีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสว ทิพยสมบัติก็ละเอียดประณีตเกินพรรณนา พวกท่านได้พากันสร้างบุญอะไรไว้ จึงมีวิมานเรียงรายอยู่ใกล้กันและมีทิพยสมบัติอันโอฬารอย่างนี้”
เทพธิดาทั้งสี่พอได้ฟังคำถามของพระเถระ ต่างดีอกดีใจที่จะได้ประกาศบุพกรรมที่ตนเองได้กระทำเอาไว้ เทพธิดาองค์แรกได้กล่าวตอบพระเถระว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์นั้น ดิฉันได้สร้างบุญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดิฉันได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านเดินบิณฑบาตอยู่ในพระนคร ตอนนั้น ดิฉันเองไม่มีไทยธรรมอะไรที่จะถวายท่าน มีเพียงดอกราชพฤกษ์กำหนึ่งเท่านั้น แม้กระนั้นก็ตาม ดิฉันคิดว่า การที่เราเห็นบุญเขตเช่นนี้แล้ว จะไม่ถวายอะไรเลยนั้นเป็นการไม่สมควร จึงน้อมถวายดอกราชพฤกษ์นั้นแด่พระภิกษรูปนั้น ด้วยผลแห่งบุญนั้น ดิฉันจึงได้ทิพยสมบัติเช่นนี้”
เทพธิดาองค์ที่ ๒ กล่าวตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า แม้ดิฉันเองก็เป็นเหมือนเทพนารีองค์นี้ ได้พบพระคุณเจ้าองค์หนึ่ง ในมือของดิฉันเองไม่ได้มีสิ่งของที่ควรขบฉันเลย มีเพียงดอกบัวขาบกำมือหนึ่งเท่านั้น ดิฉันคิดว่า การที่เราพบเนื้อนาบุญอย่างนี้แล้ว ไม่รีบสร้างบุญกับท่าน เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย เมื่อโอกาสอย่างนี้มาถึงแล้ว เราควรรีบตักตวงบุญให้เต็มที่ เมื่อคิดอย่างนี้ ดิฉันก็น้อมถวายดอกบัวขาบกำหนึ่งนั้น ด้วยผลแห่งบุญนั้น ทำให้ดิฉันได้ทิพยสมบัติอันโอฬารอย่างน่าอัศจรรย์”
เทพนารีองค์ที่ ๓ พอฟังบุพกรรมของเทพนารีทั้งสององค์จบ จึงกล่าวต่อไปว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ แม้ตัวดิฉันเองก็ได้พบพระคุณเจ้าองค์หนึ่ง เดินบิณฑบาตอยู่ในเมือง ไม่ได้มีโภชนาหารอะไรอยู่ในมือเลย มีเพียงดอกบัวหลวงกำมือเดียวเท่านั้น ก็คิดอย่างที่เทพธิดาทั้งสององค์นั้นคิดนั่นแหละว่า การที่เราไม่ให้อะไรเมื่อได้พบเนื้อนาบุญอย่างนี้ เป็นการไม่ควรเลย จึงได้น้อมกำดอกบัวหลวงนั้นถวาย นี้เป็นผลแห่งบุญในครั้งนั้น”
เทพนารีองค์ที่ ๔ กล่าวตอบพระเถระว่า “แม้ดิฉันเองก็ได้สร้างบุญเหมือนกับเทพธิดาสหายทั้งสามองค์นั้น ดิฉันได้พบพระภิกษุองค์หนึ่ง มีจิตเลื่อมใสอย่างเต็มที่ เห็นท่านเดินมาอย่างสงบสำรวม ในขณะนั้น ดิฉันมีเพียงดอกมะลิอยู่ในมือเท่านั้น ความที่ไม่อยากจะพลาดโอกาสบุญ จึงได้น้อมถวายดอกมะลินั้นด้วยความเคารพ น่าอัศจรรย์เหลือเกินว่า ผลบุญเพียงเล็กน้อยที่สร้างในเนื้อนาบุญอันเลิศกับพระสาวกของพระชินสีห์ จะทำให้ได้มหาสมบัติใหญ่ถึงเพียงนี้”
นี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก ผลแห่งบุญที่เทพธิดาทั้งสี่ได้ถวายดอกไม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ให้ผลมากมายถึงเพียงนี้ เมื่อภพชาติก่อนนั้น เทพนารีทั้งสี่ ได้เกิดในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ตรัสรู้ก่อนพระบรมศาสดาของเรา เทพธิดาทั้งสี่นั้นได้เกิดในตระกูลที่มีอันจะกิน ในนครปัณณกตะ ในรัฐที่ชื่อว่า เอสิกะ พอเติบโตขึ้นก็มีครอบครัวอยู่ในพระนครนั้น ในสมัยศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ขยายไปทั่วชมพูทวีป มหาชนต่างก็มีโอกาสสร้างบุญกันอย่างเต็มที่
หญิงทั้งสี่คนมีโอกาสสร้างบุญกันตามลำดับ นางหนึ่งเห็นภิกษุรูปหนึ่ง ก็ได้ถวายดอกราชพฤกษ์ นางหนึ่งได้ถวายดอกบัวขาบกับภิกษุอีกรูปหนึ่ง นางหนึ่งได้ถวายดอกบัวหลวงกับภิกษุอีกรูปหนึ่ง และคนสุดท้ายได้ถวายดอกมะลิแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง พอทั้งสี่คนตายไปตั้งแต่ภพชาตินั้น ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ละองค์ มีนางอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร เสวยทิพยสมบัติจนหมดอายุของชาวสวรรค์นั้น จุติเวียนวนไปๆ มาๆ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เวลาผ่านไปยาวนาน บุญยังส่งผลไม่หมดสิ้น จนมาถึงในสมัยพุทธกาลนี้ เทพนารีทั้งสี่ยังเสวยทิพยสมบัติอยู่ที่ดาวดึงส์นั่นเอง
พระเถระฟังบุพกรรมของเทพนารีทั้งสี่องค์แล้ว ก็กล่าวอนุโมทนาด้วยความชื่นชมยินดี แล้วท่านก็ได้แสดงธรรมแก่เหล่าเทพธิดานั้น พอจบพระธรรมเทศนา เทพธิดาทั้งสี่พร้อมทั้งบริวารก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เราจะเห็นได้ว่า ผลแห่งบุญที่ได้ทำกับเนื้อนาบุญนั้น น่าอัศจรรย์เหลือเกิน มีผลมากมายมหาศาล ถึงขนาดที่ว่าเวียนเกิดเวียนตายอยู่แต่บนสวรรค์ นี่ไม่ใช่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะมองข้ามเลย สิ่งที่พวกเราได้ตั้งใจสร้างมหาวิหารพระมงคลเทพมุนี เพื่อเป็นการบูชาหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า บุญกุศลไม่มีประมาณจะบังเกิดขึ้นกับพวกเราทุกๆ คนอย่างไม่มีประมาณ ขอให้มีความปีติใจ ปลาบปลื้มใจกันเถอะ สิ่งนี้จะทำให้พวกเราทุกคนสมปรารถนาในทุกสิ่ง
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๓๗๓