เวลาแห่งการทำใจหยุดใจนิ่งนั้นเป็นช่วงเวลาที่ปลอดจากภารกิจทั้งหลาย เพราะเรากำลังมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพาน กำลังดำเนินอยู่บนเส้นทางที่พระอริยเจ้าได้ดำเนินไปแล้ว มนุษย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่รู้เลยว่า เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่ตรงนี้คือการแสวงหาพระนิพพาน จึงทำให้เวียนวนอยู่ในกระแสแห่งความทุกข์ ทว่าหากใครก็ตามที่ได้ประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตของผู้นั้นก็จะประสบความสำเร็จ ในเส้นทางที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้ประสบความสำเร็จ
มีวาระแห่งภาษิตที่ปรากฎอยู่ใน ปทุมปุปผิยเถราปทาน ความว่า
"ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ เราบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยกรรมนั้น
เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เราได้บังเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินจอมจักรพรรดิ ๑๘ ครั้ง ทรงพระนามเหมือนกันว่า ปทุมภาสะ ในกัปที่ ๑๘ ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ๔๘ ครั้ง"
พระอริยเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน ล้วนมีประวัติการสร้างบารมีที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุก ๆ องค์ ล้วนมีความประทับใจในผลแห่งบุญที่เกิดขึ้นจากการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน หลวงพ่อจะได้เล่าถึงพระอรกันตเถรเจ้าองค์หนึ่งที่ท่านได้เปล่งอุทานออกมา ภายหลังจากที่ได้ย้อนไปดูประวัติการสร้างบารมีของตัวเอง พบว่าอานุภาพแห่งบุญที่ส่งผลให้ตังของท่านเองเข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ เกิดจากผลแห่งการบูชาด้วยดอกปทุม พระอรหันตเถระองค์นี้ มีชื่อว่า พระปทุมปุปผิยเถระ เรื่องราวการ
สร้างบุญของท่าน มีอยู่ว่า
*ในภพอดีต ท่านเคยบำเพ็ญกุศลในสำนักของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ มาแล้ว ตามวาระโอกาสพอสมควร แต่ในภพชาติที่ผ่าน ๆ มา บารมีในตัวยังไม่เต็มเปี่ยม ทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ถึงกระนั้น บุญก็ยังส่งผลให้ได้อุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ในใจลึก ๆ ยังปรารถนาพระนิพพาน จนมาถึงยุคที่ท่านทำความดี แล้วเกิดความประทับใจคือ ในยุคแห่งพระภาคเจ้าผู้มีพระนามว่า ผุสสะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระเถระได้กลับมาเกิดในเมืองมนุษย์ ในเรือนของตระกูลที่มีฐานะปานกลางแห่งหนึ่ง ซึ่งช่วงนั้นตรงกับที่พระบรมศาสดากำลังประกาศพระศาสนาพอดี
ในยุคนั้น แม้ว่าท่านได้ยินข่าวการบังเกิดขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปฟังธรรมของพระองค์ท่านเนื่องจากนั้นการคมนาคมค่อนข้างลำบาก เส้นทางของแต่ละพระนครอยู่ห่างไกลกัน ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือน ๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย หรือโจรที่คอยปล้นชิงทรัพย์ก็มีมากมาย แต่ยังมีผู้มีบุญบางท่านที่ไม่ได้หวั่นเกรงอันตรายเหล่านี้เลย เดินท่างรอนแรมเป็นเดือน ๆ ไปเข้าเผ้าพระบรมศาสดา เพื่อฟังธรรมจากพระองค์ท่าน
คนสมัยก่อน มีใจรักที่จะแสวงหาทความหลุดพ้นอยู่มาก ถึงแม้ว่าเด็กน้อยนี้ยังไม่เติบใหญ่ และได้ยินข่าวการบังเกิดขึ้น ก็ยังไม่มีความสามารถพอที่จะดั้นด้นฝ่าฟันอันตรายทั้งหลาย เพื่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ได้ เพียงคิดอยู่ในใจเท่านั้นว่า สักวันหนึ่งเราคงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์สักครั้ง รอคอยยาวนานทีเดียว จนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่ม ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเดินทางไป ในใจของเด็กหนุ่มยังคมคิดถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ ๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จผ่านไปทางนครที่กุลบุตรท่านนี้อาศียอยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่กุลบุตรนี้ได้ไปที่สระโบกขรณี เป็นสระที่อุดมสมบูรณ์ด้วยดอกปทุมต่าง ๆ ซึ่งออกดอกบานสระพรั่งเต็มสระ พอไปถึงท่านก็ลงสู่สระ เลือกหาฝักบัวและเหง้าบัวได้พอสมควร แล้วก็ขึ้นมานั่งพักอยู่ที่ใต้ต้นไม้
ขณะที่กำลังกินเหง้าบัวอยู่อย่างเอร็ดอร่อย สายตาก็เหลือบไปเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งมีพระฉัพพรรณรังสีที่เปล่งออกจาพระวรกายของพระองค์ สว่างไสวรุ่งเรืองเหมือนพระอาทิตย์ งดงามไม่มีที่ติ กำลังเสด็จผ่าน ท่ายเห็นเพียงแค่นี้้เท่านั้น ก็มีใจเลื่อมใส เกิดอัสจรรย์ในใจอยู่เพียงลำพังว่า ใครหนอกำลังเดินมา ผิวพรรณวรรณะงดงามผ่องใสเหลือเกิน บุรุษผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญแน่ ๆ คิดอย่างนี้แล้วจึงนั่งพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ฉุกใจขึ้นมาว่า เราได้ยินข่าวการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายาวนาน มหาสมณะนี้มีความวิเศษแตกต่างจากนักบวชอื่น ๆ พระองค์คงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พอคิดอย่างนี้ได้ก็คิดต่อไปว่า น่าเสียดายเหลือเกินที่เรามาพบพระองค์ในขณะที่เราไม่มีเครื่องไทยธรรมแต่คิดดูอีกที่ถ้าถัดจากวันนี้ไป ยังไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหนต่อ เราไม่ควรปล่อยโอกาสให้ผ่านไป ควรหาอะไรเพื่อไปบูชาพระองค์ก่อน
ด้วยความเลื่อมใสและดีใจอย่างมาก จึงรีบประวีกระวาดเก็บดอกปทุมจากสระ เลือกดอกที่สวยงามที่สุด แม้อยากจะเข้าไปบูชาใกล้ ๆ แต่ก็ไม่ทัน เพราะพระพุทธองค์ทรงพระดำเนินผ่านไปแล้ว จึงน้อมจิตลำรึกว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระบาทเลื่อมใสในพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าไปกราบใกล้ ๆ ได้ ข้าพระองค์ขอบูชาพระองค์ด้วยดอกปทุมเหล่านี้ ของพระองค์โปรดรับบรรณาการอันน้อยนิดของคนยากด้วยเถิด"
อฐิษฐานจบก็โยนดอกบัวขึ้นไปในอากาศ ด้วยมุ่งหวังจะกระทำเป็นพุทธบูชา เหตุอัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น ดอกบัวเหล่านั้นได้ลอยไปในอากาศ แต่แทนที่จะตกลงสู่พื้น กลับลอยขึ้นไปกั้นเป็เพดานเหนือเศียรของพระบรมศาสดา ท่านเห็นอย่างนั้นมหาปีติก็แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย มีใจเลื่อมใสอย่างยิ่ง จึงตัดสินใจออกบวช เมื่ออกบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านก็มีวัตรปฏิบัติที่งดงาม ตั้งใจบำเพ็ย
สมณะธรรมทุก ๆ วัน จนกระทั่งสิ้นอายุขัย
ในวันละจากโลก เหตุการณ์ที่ท่านได้เคยโยนดอกบัวบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งก่อนนั้น มาปรากฏให้เห็นเด่นชัดเป็นกรรมนิมิตก่อนตาย บุญก็ส่งผลให้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เกิดในที่นั้นได้เสวยทิพยสมบัติจนสิ้นอายุขัยของชาวสวรรค์ จึงเกิดต่อไปในชั้นที่สูงขึ้นไปอีก เวียนวนอยู่บนสวรรค์ ๖ ชั้นฟ้าตามลำดับ ท่องเที่ยวอยู่ใน ๒ ภพภูมิ คือ มนุษยโลกและเทวโลก เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็สมบูรณ์ด้วยสมบัติในเมืองมนุษย์
จนมาถึงในพุทธกาลนี้ ท่านจุติจากสรรค์มาเกิดในเรือนที่มั่งคั่ง พอเจริญวัยแล้ว บุญเก่าในตัวก็ตักเตือนทำให้เกิดศรัทธาในพระศาสนา จึงออกบวช บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่นานนักก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ภายหลังท่านได้ใช้ญาณอันบริสุทธิ์ ตรวจดูภพในอดีต เห็นการสร้างบุญของตัวท่านเองที่ได้กระทำไว้กับพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ จึงบังเกิดความปีติโสมนัส เปล่งอุทานว่า
"ผลแห่งบุญนี้น่าอัศจรรย์เหลือเกิน เราได้ไปยังสระปทุมบริโภคเหล้าบัว ได้เห็นพระผุสสะสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระลักษณะอันประเสริฐทั้ง ๓๒ ประการ เราไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ จึงจับดอกปทุมโยนขึ้นไปในอากาศน้อมถวายเป็นพุทธบูชา แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต ครั้นบวชแล้ว มีกายและใจอันสำรวมดีแล้ว ละวจีทุจริต ชำระอาชีวะให้บริสุทธิ์ ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ เราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใดด้วยบุญนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๘ ครั้ง มีพระนามเหมือนกันว่า ปทุมภาสะ ในกัปที่ ๑๘ ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินถึง ๔๘ ครั้ง ในภพนี้เราเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย"
ดังที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่า ดอกบัวที่อยู่ในมือของผู้ที่มีจิตเลื่อมใส มีใจมุ่งตรงต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเราน้อมจิตบูชาพระองค์ท่าน จะส่งผลให้เราได้สมาสมบัติทั้งสาม ทั้งที่เป็นมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ ดังนั้นเมื่อเราทราบกันอย่างนี้แล้ว ขอให้มีใจนอบน้อมบูชาพระพุทธองค์ โดยทำให้ได้อย่างต่อเนื่องทุก ๆ วัน เพื่อให้ใจของเราผูกพันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดเวลา แล้วถวายดอกไม้บูชาต่อหน้าพระเจดีย์ หรือพระพุทธปฏิมากรที่เป็นสัญลักษณ์แทนพระ
พุทธองค์ก็จะได้รับอานิสง์ใหญ่ติดตัวเราไปทุกภพทุกชาติ
พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๗๑ หน้า ๓๒๕