องค์ประกอบของความดีสากล
ความดีสากล เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในตัวของเรา ประกอบด้วย
๑. ความสะอาด
มนุษย์คือแหล่งผลิตความสกปรกของโลก แม่ขยะพ่อขยะเคลื่อนที่ แม่ป่าช้าเคลื่อนที่ แม่ศพเคลื่อนที่ แม่ขี้คุก พ่อขี้คุกทั้งหลาย นี่คือตัวเรา เพราะฉะนั้น ต้นเหตุของเรื่องร้ายๆ ของโลกมนุษย์ เริ่มตรงความสกปรก ถ้าใครสกปรกหรือสะอาดไม่พอจะเกิดอะไรขึ้น บ้านของคนคนนั้นจะจัดระเบียบอะไรไม่ได้เพราะมันสกปรก
- เสื้อผ้าไม่ได้เก็บไม่ได้ซักแล้วจะไปจัดระเบียบกันอย่างไร ได้แต่กองอย่างนั้น จะเอาไปพับเอาไปรีด เอาไปเก็บเข้าตู้ก็ไม่ได้
- ถ้วยจานช้อนชามกินแล้วยังไม่ล้าง ไม่ได้เช็ดไม่ได้คว่ำ โต๊ะเก้าอี้ ไม่เช็ดไม่ปัด ไม่ถูให้ดี ใช้แล้วไม่ได้เก็บ พื้นรกสกปรก จัดระเบียบไม่ได้
- รองเท้าเปื้อนแล้วไม่ได้ล้าง ไม่ได้ขัดไม่ได้เช็ด ไม่ได้จัดระเบียบ
- ข้าวของส่วนตัวจัดระเบียบไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดจะไปจัดระเบียบการจราจรได้ กดให้แตรระเบิดก็ทำได้ยาก
- สังคมจัดระเบียบไม่ได้ สิ่งที่ตามมาคือ คนในสังคมจัดระเบียบความคิดไม่ได้
ดังนั้น ที่ทำงานของใครสกปรก หรือสะอาดไม่พอ จะให้คนในสำนักงานดีเป็นไปไม่ได้ ที่ทำงานมันแย่แล้วความคิดดี ๆ จะเกิดได้อย่างไร การจัดระเบียบความคิดย่อมเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน ทำได้อย่างเดียวคือการรอคำสั่งตลอดชาติ แม้คำสั่งให้มาก็ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่สามารถทำตามคำสั่งได้อีกต่างหาก
๒. ความมีระเบียบ
วิธีจัดระเบียบความคิด โต๊ะ เก้าอี้ ช้อน ชาม ควรจะเรียงจากใหญ่ไปหาเล็ก หรือเรียงจากเล็กไปหาใหญ่ หรือสถานที่คับแคบแต่สูงอาจต้องเรียงของที่ใช้ก่อน ใช้หลัง ใช้บ่อย ที่เขาเรียกว่า "First in, First out" วางบนล่างใกล้ไกลต่างกัน ควรจัดระเบียบอย่างไร คิดให้มันหายรก จะคิดงานออกตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ทุกสถานที่ทำงาน ในโลกจึงต้องเข้มงวดในการจัดระเบียบข้าวของในสำนักงานเป็นชีวิตจิตใจ
๓. ความสุภาพอ่อนน้อม
ความสุภาพอ่อนน้อมเริ่มตั้งแต่อิริยาบถ คือการนั่ง นอน ยืน เดิน ท่านั่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยหรือจัดให้เป็นระเบียบไม่ได้ เขาเรียกว่า นั่งไม่สุภาพ ใครที่โดนข้อหาว่าไม่สุภาพ แท้ที่จริงมีปัญหาและสาเหตุไล่มาเป็นลำดับ ดังนี้
- ทำไมจัดระเบียบท่าทางไม่ได้ เพราะจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไม่ได้
- ทำไมจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไม่ได้ เพราะจัดระเบียบความคิดไม่ได้
- ทำไมจัดระเบียบความคิดไม่ได้ เพราะตั้งแต่หัวถึงเท้ายังสกปรก จัดระเบียบตัวเองไม่ได้
การพูดเป็นการจัดระเบียบความคิดของตนเอง ให้เป็นคำพูดส่งต่อไปยังคนอื่น เพื่อให้เขาเข้าใจตรงตามความคิดของเรา จัดเป็นความยากอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเรายังจัดระเบียบท่าทางตัวเองไม่ได้ ย่อมไม่สามารถจัดระเบียบการพูด การเขียนที่พอเหมาะกับผู้อื่นได้ ความไม่สุภาพในการพูดจึงเริ่มจากการจัดระเบียบการใช้คำพูดที่พอเหมาะพอควร
- คำพูดแบบนี้ควรพูดกับลูก ไม่ใช่ไปพูดกับพ่อ
- คำพูดแบบนี้ควรพูดกับเพื่อน ไม่ใช่ไปพูดกับเจ้านาย
- คำพูดแบบนี้ควรพูดกับเพื่อน ย่อมไม่ไปพูดกับพระภิกษุ
- น้ำเสียงแบบนี้ควรพูดกับสามีภรรยา ย่อมไม่ไปพูดกับคนอื่น
ถ้าอยากได้ลูกฉลาด ต้องเริ่มต้นให้ทำความสะอาดตั้งแต่หัวถึงเท้าให้เป็น ข้าวของเครื่องใช้ต้องสะอาดจะเริ่มคิดเป็น แค่จะเช็ดพื้นให้สะอาดยังต้องใช้ความคิด จะล้างมือให้เกลี้ยงยังต้องใช้ความคิด ยิ่งเคร่งครัดในเรื่องความสะอาดมากเท่าใด คือการฝึกให้ลูกคิดเป็น ต้องคิดแยกแยะว่าสิ่งของประเภทนี้ควรจะเช็ดแห้งหรือเช็ดเปียก พื้นตรงไหนควรจะกวาด พื้นตรงไหนควรจะใช้เครื่องดูดฝุ่นพอลงมือทำความสะอาด สมองจะถูกบังคับให้เริ่มคิด แต่ถ้าปล่อยให้สกปรกสมองไม่ต้องคิดอะไรนานเข้าๆจึง "คิดไม่เป็นจัดระเบียบความคิดไม่ได้ " ทั้งๆที่ความจริงแล้วความคิดของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
"อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก
จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย"
พระสุนทรโวหาร (ภู่) "เพลงยาวถวายโอวาท"
อย่าล้อเล่นกับการรักษาความสะอาด อย่าล้อเล่นกับการปล่อยให้สกปรก เพราะถ้าจัดระเบียบข้าวของเครื่องใช้ไม่เป็น จะจัดระเบียบความคิดได้อย่างไร ถ้ายังจัดระเบียบความคิดไม่เป็น จะจัดระเบียบการพูดการเขียนได้อย่างไร
ทุกประเทศในโลก ภาษามี ๓ ประเภท คือ
(๑) ภาษาใจ หรือ ภาษาความรู้สึก
ภาษาใจ หรือ ภาษาความรู้สึก คือ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่เมื่อไปสัมผัสสิ่งต่าง ๆ มา แต่เต็มที่ของคนสะอาดก็อย่างหนึ่ง เต็มที่ของคนสกปรกก็อีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างภาษาใจ เช่น
- ไปเที่ยวมาเห็นอะไรสวยงาม ก็เก็บไปฝันหวานสามวันแปดวัน หรือไปเห็นอะไรมาน่ากลัว เก็บมาคิดหลอกหลอนตนเองจนผมร่วง
- ไปทานอะไรมารสอร่อย คิดทีไร หน้าตาเคลิบเคลิ้มว่าอร่อยลิ้นขนาดนั้น ภาษาวัยรุ่นบอกว่า "ฟิน" หรือทานแล้วรสชาติ ไม่อร่อยลิ้นเกิดภาษาใจขึ้นมาอยากจะอ้วกออกมาทุกครั้ง
- ไปได้ยินเสียงดนตรีไพเราะมา รู้สึกโลกนี้สดใสเสียงยังก้องเสนาะหูไม่รู้ลืม หรือไปฟังเสียงด่าอย่างหยาบคายมาเกิดภาษาใจสุด ๆ รู้สึกเจ็บจี้ดที่ใจได้ขนาดนั้น
ภาษาใจเกิดจากการได้ยิน ได้เห็น ได้ดม ได้เื่ม ได้กิน ได้สัมผัส ได้จับต้องอะไรมา ก็จะเกิดภาษาที่เป็นความรู้สึกขึ้น จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับใจแต่ละคน ใครสะอาด ใครสกปรกไม่เท่ากัน เหมือนคนใส่แว่น ถ้าแว่นสะอาด เช็ดไว้ดีแล้วจะเห็นชัดเจนเท่านั้น ถ้าปล่อยให่ฝุ่นจับเปื้อนคราบเหงื่อไคลมันไปหมด ความชัดเจนของสิ่งที่เราเห็นก็เสียไปอย่างนั้น
(๒) ภาษาพูด
ภาษาพูดต้องมีคำศัพท์ หากใครใจใสก็สามารถนำคำพูดที่พอเหมาะพอควรมาใช้ได้ ถ้าใครใจขุ่น คำศัพท์ที่พอเหมาะพอดีเริ่มหายาก เลยเริ่มจะพูดไม่เข้าท่าเข้าทางเกิดขึ้น จากภาษาใจพอจะถ่ายทอดต้องเป็นภาษาพูด ภาษาพูดนี้จะพูดให้ได้เท่ากับภาษาใจย่อมทำไม่ได้ มันถูกย่อส่วนลงใครเป็นคนสะอาดมาก ภาษาใจก็จะได้กว้างขึ้น ใครเป็นคนสกปรกมาก ภาษาใจก็จะถูกย่อส่วนลงมา
คนโบราณท่านยังให้ความสำคัญกับคำพูด ดังที่พระสุนทรโวหาร (ภู่) กวีเออกของโลก แต่งกลอนเป็นสุภาษิตสอนหญิงไว้ว่า
"จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
"เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ"
(๓) ภาษาเขียน
ภาษาเขียนติดปัญหาไวยากรณ์ ฟังเขาพูดแล้วเหมือนเรื่องเพิ่งเกิด ที่จริงเรื่องเกิดเมื่อร้อยปีที่แล้วเพราะเขียนผิดไวยากรณ์ หรือฟังเขาพูดนึกว่าทำเสร็จแล้ว ที่จริงชวนให้ไปทำปีหน้า ผิดไวยากรณ์ ยิ่งสกปรกก็ยิ่งผิดมากเท่านั้น ยิ่งสะอาดมากเท่าไรมันก็ชดเจนเท่านั้น ตกลง ภาษาของมนุษย์ยังขึ้นอยู่กับความสะอาดและความเป็นระเบียบ
ถ้ายังไม่ระมัดระวังเรื่องความสะอาดและความมีระเบียบ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน อย่าหวังเลยว่าคนในบ้าน คนในที่ทำงานจะไม่กระทบกระทั่งกัน ข้าวของในบ้านไม่เป็นระเบียบก็จัดระเบียบความคิดไม่ได้ คือคิดสับสนนั้นเอง ถึงคราวพูดก็พูดสับสน คราวเขียนก็เขียนสับสน แม้แต่คำพูด น้ำเสียง ท่าทางยืนเดินนั่งนอน จัดระเบียบไม่ได้กลายเป็นไม่สุภาพ ถ้าจะแก้คนไม่สุภาพ ต้องเริ่มตั้งแต่การจัดระเบียบสิ่งของและทำความสะอาดตั้งแต่หัวยันเท้า
สุ คือฟัง | ฟังให้ได้ศัพท์ | สดับจิต |
จิ คือจิต | คิดให้ซึ้ง | ถึงคำสอน |
ปุ คือถาม | สิ่งสงสัย | ให้แน่นอน |
ลิ ขิตซ้อน | เขียนบท | กำหนดจำ |
รู้จักฟัง | ถี่ถ้วน | ไม่ด่วนหนี |
ฟังด้วยดี | เหตุผล | ค้นให้ทั่ว |
ก็ย่อมจะ | ได้ปัญญา | เข้าหาตัว |
เคยเขลามัว | ก็ต้องหาย | สลายไป |
ไม่ทราบนามผู้แต่ง
สาเหตุของการกระทบกระทั่งกันทั้งที่ทำงานและที่บ้าน สามีภรรยาถึงขนาดอย่าร้างกัน ทำให้ลูกไม่อยากกลับบ้าน ไม่ใช่เหตุอื่น เพราะความมักง่าย มักง่ายคืออะไร คือทำตามใจตัวเอง ทำโดยไม่คำนึงถึงใคร สักแต่ว่าทำเอาสบายเอาง่ายไว่ก่อน ดีไม่ดีช่างหัวมัน ถ้ามองลึกไปกว่านี้ จะพูด จะทำอะไร ไม่คิดเอาดี ไม่คิดเอาจริง เขาเรียกว่า "มักง่าย" ต่อไปข้างหน้าจะมีสามี มีภรรยาก็ไม่คิดเอาดี ไม่คิดเอาจริง ถึงได้อย่าร้างกันมากมายในขณะนี้ ครั้นมีลูกขึ้นมาแล้วไม่คิดเอาดี ไม่คิดเอาจริงมันเกิดอะไรขึ้น แต่งตัวมักง่าย มารยาทท่าทางก็มักง่าย ขณะนี้เด็กในวัยเรียนของประเทศไทย ตั้งครรภ์ในขณะเรียนในระดับมัธยาศึกษาตอนต้น ติดอันดับหนึ่งของเอเชีย ติดอับดับสองของโลก
เท่านั้นยังไม่พอ มีสาวไทยไปติดอยู่ในคุกตามประเทศต่าง ๆ อยู่จำนวนมากด้วย ๒ ข้อหาหลัก คือ
(๑) ค้ายาเสพติด หรือขนยาเววพติด
(๒) โสเภณีข้ามประเทศ
ทั้งหมดเกิดจาดความมักง่าย หวังรวยทางลัดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดนเขาหลอกเพราะอยากสบาย
๔. การตรงต่อเวลา
เมื่อมักง่ายแม้เรื่องเพศจึงเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา ทำไมไม่ตรงเวลา ทั้งหมดนี้ มาจากจัดระเบียบข้าวของไม่เป็น จัดระเบียบความคิดไม่เป็น จัดระเบียบคำพูดไม่เป็น เพราะฉะนั้นจึงไม่ตรงต่อเวลา คือจัดระเบียบเวลาไม่เป็น ใครมานัดหมายทำอะไรก็ไปช้ากว่าที่นัด ให้คนมารอเสียเวลาแล้วไม่รู้สึกว่าผิด ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ไปเปิด - ปิดงาน บางครั้งไปช้ากว่ากำหนดการนับเป็นชั่วโมง คนรอก็ร้อนแดดหิวกระหาย เหนื่อย บางทีมีเด็กนักเรียน แต่งตัวมาแสดงเปิดงาน แต่งตัวแต่เช้ามืดอดข้าวอดน้ำ อดกลั้นทุกข์หนักทุกข์เบา จนแป้งผัดหน้าไว้ไหลเยิ้มไปทั้งหน้า ด้วยกลัวปากจะเลอะชุดจะเปื้อน กว่าจะได้แสดงเกือบเที่ยง โตขึ้นเด็กก็เอาอย่างผู้ใหญ่วนเวียนกันไปแบบนี้
การตรงต่อเวลา ตอนเด็กๆก็มีพ่อแม่พี่น้องปลุกให้ไปโรงเรียนพอโตขึ้นก็ตั้งนาฬิกาปลุก ตั้งแบบ ๓ระยะ ไม่ครบ ๓ ครั้งไม่ลุกขึ้นมา บางทีต่ออีกหน่อยนั่นแหละหลับยาวไปเลย เสียงานเสียการไปก็มาก ที่สำคัญคือ "เสียนิสัย"
การตรงต่อเวลา เป็นเรื่องที่ชาวต่างชาติต่างภาษาโดยเฉพาะพวกฝรั่งถือมาก ถึงขนาดมีสำนวนสุภาษิตว่า " Time and tide wait for no man " สายน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใคร
๕. การมีสมาธิ (จิตตั้งมั่น)
พอจัดเวลาไม่เป็น ใจสับสนเสียสมาธิแล้ว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นมาจากความสกปรกหรือไม่สะอาดพอ อาจคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เห็นหนักหัวใครแต่ที่จริงมันหนักตลอดทาง หนักกระทั่งเสียชื่อเสียงระดับชาติ หนักไปถึงระดับโลกกันไปแล้วอย่างที่ชี้ให้เห็น ถ้าจะแก้ไขต้องเริ่มจากความสะอาดอย่างเดียว เพราะแต่ละตัวคือแหล่งผลิตความโสโครกของโลก ความหนาวร้อนหิวกระหาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ นี่คือทุกข์ประจำตัวของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้เริ่มจากธาตุในตัวมันสกปรก เซลล์เลยตาย เซลล์มันมีเกิดมีตายประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ล้านเซลล์/นาที ซากของเซลล์กลายเป็นขี้ไคล อาหารใหม่ที่ทานเข้าไปก็เกิดเป็นเซลล์ใหม่ขึ้นมาสิ่งที่ตามมาคือ กายสกปรกเป็นนิจ
ดังนั้น ปัจจัย ๔ ที่เราใช้คือ เสื้อผ้า บ้านช่องห้องหอ อาหารหยูกยา พลอยสกปรกไปด้วย ตลอดจนวัตถุต่าง ๆ ที่เราเอามาใช้ในบ้าน ในที่ทำงานจะสกปรกหมด สาเหตุจากใคร จากตัวของเราแต่ละคน เพราะปล่อยทิ้งไว้ให้สกปรกเลยจัดระเบียบไม่ได้เมื่อจัดระเบียบไม่ได้ความกระสับกระส่ายก็เกิดเป็นนิจ เลยเผลอสติง่าย ความไม่สุภาพเลยเกิด ความเอาแต่ใจตัว ทำอะไรเอาง่าย ทำอะไรสักแต่ว่าทำ ทำอะไรไม่คำนึงถึงใคร ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ความไม่สุภาพก็เกิด เลยไม่มีใครให้ความร่วมมือ ความตรงต่อเวลาก็หลุดไป สมาธิก็สั้น เป็นเหตุเป็นผลสัมพันธ์กันอย่างนี้
................................................................................................................
จากหนังสือ ความดีสากล
โดย " พระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตชีโว)