หลวงพ่อสอนอะไร (ตอนที่ ๙)
การที่จะหาคนสักคนที่มีความคิดในเชิงสร้างสรรค์ว่ายากแล้ว แต่หากจะหาคนสองคนที่คิดเช่นนั้นยากยิ่งกว่า นับประสาอะไรจะคิดถึงว่าหาคนสักร้อยคน พันคนให้มีความคิดแบบนี้ คงจะยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรกระมัง
แต่ไม่น่าเชื่อว่าในยุคสมัยที่ผู้คนละเลยในศีลธรรมนั้น กลับมีผู้คนเรือนล้านที่ยังมีความคิดที่อยากจะสร้างสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในโลก โดยจุดเริ่มต้นจากเด็กหนุ่มนักเรียนสวนกุหลาบที่ใฝ่ธรรมะ
ย้อนหลังไปเมื่อปี ๒๕๑๒ จากเด็กหนุ่มในรั้วมหาวิทยาลัย นายไชยบูลย์ สุทธิผล หรือหลวงพ่อธัมมชโยในวันนี้ ได้ก้าวเข้าสู่ร่มเงาบวรพระพุทธศาสนา และอุทิศตนเพื่อเผยแผ่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดมา
จากหลวงพ่อเพียงหนึ่งรูป ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับผู้คนเรือนล้าน ในการที่จะตั้งใจทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
จากหลวงพ่อเพียงหนึ่งรูป ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับคนหนุ่มคนสาวหลายพัน ที่กล้าจะสละชีวิตทางโลก มาเป็นอุบาสก อุบาสิกา ช่วยงานพระศาสนา
จากหลวงพ่อเพียงหนึ่งรูป ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกับบุรุษอีกหลายพันคน ให้กล้าที่จะประกาศตนบวชอุทิศชีวิต มุ่งเดินตามรอยบาทพระบรมศาสดา
พวกเราอาจมีเหตุผลที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป ในการที่รัก เคารพหลวงพ่อ จนก้าวเข้ามาในเส้นทางของการสร้างบารมีโดยมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ สำหรับอาตมาแล้ว
“ วิธีคิดของหลวงพ่อ ”
คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ก้าวเข้ามาสู้เส้นทางนี้โดยไม่ลังเล นอกจากจะปราศจากความสงสัยแล้ว ยังพร้อมที่จะก้าวไป แม้หนทางข้างหน้าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม
ทำไมอาตมาจึงประทับใจในแนวคิดของท่าน จะยกตัวอย่างให้พวกเราดูสักนิด
๑. ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด
สิ่งแรกที่ท่านตั้งคำถามคือ ทำไมคนไม่เข้าวัด ?
- หากเป็นคนทั่วไป ก็จะบอกว่า เพราะคนไม่มีศีลธรรมบ้าง เพราะคนไม่สนใจธรรมะบ้าง เพราะคนไม่มีเวลาบ้าง ฯลฯ
- แต่ความคิดของหลวงพ่อคือ ที่คนไม่เข้าวัด เพราะวัดไม่น่าเข้า
อาตมาเคยถามหลวงพ่อทัตตชีโวว่า ทำไมหลวงพ่อท่านจึงคิดอย่างนั้น หลวงพ่อท่านก็เมตตาอธิบายว่า
“ ระหว่างคนที่มีอะไรเกิดขึ้น เอะอะก็โทษแต่คนอื่น กับคนที่มีอะไรเกิดขึ้นจะหันมาพิจารณาตนเอง ความคิดจะต่างกัน ”
ตอนนั้นอาตมาบวชใหม่ ๆ ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ฟังแล้วก็ตามไม่ทัน ต้องขอให้หลวงพ่อท่านอธิบายเพิ่มเติม
“ คนที่โทษแต่ชาวบ้าน จะไม่คิดปรับปรุง แก้ไขอะไร เพราะมองว่าเป็นความผิดของผู้อื่น แต่สำหรับคนที่หาแต่ข้อบกพร่องของตนเอง จะคิดพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข ตนเองอยู่ตลอดเวลา ”
๒. แม้ในยามที่อยู่ในสถานการณ์พิเศษ (เช่นในปัจจุบัน)
- หากเป็นคนทั่วไป ก็จะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ โอดครวญว่า ฉันตั้งใจทำความดี ทุ่มเทขนาดนี้ ทำไมยังถูกคนไม่เข้าใจ พอกันที วางมือดีกว่า
- แต่สำหรับหลวงพ่อแล้ว ท่านกลับคิดไปอีกแง่หนึ่ง ท่านเคยกล่าวไว้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วว่า
“ อย่าเสียเวลา คิดโน่นนี่ เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจเรา แสดงว่าเรายังทำงานไม่เต็มที่ หากเราทำงานได้สมบูรณ์แบบ ทุกคนต้องเข้าใจเรา ”
เพราะความคิดและมุมมองของหลวงพ่อเป็นอย่างนี้ แนวคิดและวิธีการทำงานจึงถูกถ่ายทอดมาสู่ลูก ๆ ในองค์กร ทำให้เราไม่เสียเวลาไปจับผิดใคร แต่เอาเวลานั้นมาจับผิดตัวเอง แก้ไขตัวเองดีกว่า เพราะเราถือคติว่า
เมื่อเข้าใจตนเองได้แล้ว เราก็สามารถเข้าใจคนทั้งโลกได้
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๓ ก.ค. ๕๙
anacaricamuni.blogspot.ae