หลวงพ่อสอนอะไร (ตอนที่ ๑๔)
“ เชื่อหรือไม่ว่าธรรมกายมีจริง ”
คำถามนี้เป็นคำถามที่อาตมาจะถูกญาติโยมที่มาวัดใหม่ ๆ ถามเสมอ และก็เป็นคำถามดั้งเดิมที่อาตมาเคยถามตนเองเมื่อเข้าวัดใหม่ๆ ก็ต้องท้าวความสักนิดว่า อาตมาเข้าวัดได้เพียงเดือนเดียวก็บวช ช่วงนั้นก็คิดว่าจะบวชเพียงแค่พรรษาเดียว เอาบุญอุทิศให้โยมพ่อ โยมแม่
แต่เมื่อถึงวันที่เพื่อน ๆ เขาลาสิกขากัน อาตมาเกิดความเสียดายในผ้าเหลือง ไม่อยากลาสิกขา แต่ก็ไม่รู้ว่าหากอยู่ต่อแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงอธิษฐานจิตแล้วนั่งธรรมะ หากมีประสบการณ์จะอยู่ต่อ นั่งจนกระทั่งเที่ยงคืน ทั้งมืดทั้งเมื่อย คิดว่าเราคงไม่มีบุญจะได้อยู่ต่อแล้วก็เลยเลิกนั่ง กราบพระประธานแล้วกลับเข้ากลด คิดว่าเช้าวันรุ่งขึ้นคงลาสิกขา แต่เมื่อจะจำวัด เกิดอารมณ์สบาย ปล่อยวางทุกอย่าง แล้วจู่ ๆ ก็มี ดวงสว่างเกิดที่กลางท้อง โดยที่ไม่ได้นึกอะไรเลย สว่างอยู่อย่างนั้นเกือบนาที ชุ่มเย็นไปทั้งเนื้อทั้งตัว แล้วก็เป็นไปตามสูตรคือ ดีใจเกินไปดวงเลยหาย แล้วก็กลับสู่ภาวะที่เป็นมาตลอดคือ มืดสนิท แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้อาตมามั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว
แม้ว่าจากวันนั้นผ่านมาอีกสองสามปี นั่งทีไรก็มืดสนิท แต่อาตมาก็ไม่เคยท้อ โดยเฉพาะแม้ตนเองจะมืด แต่ปรากฏว่าเมื่อนำคำสอนของหลวงพ่อธัมมชโยไปถ่ายทอดให้กับผู้อื่น เขากลับมีบุญไปถึงจุดที่อาตมาไม่เคยไปถึงก็มี
ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๒ มีนักเรียนทุนแลกเปลี่ยน (AFS) ชาวนิวซีแลนด์ สนใจในพระพุทธศาสนาได้มาบรรพชาที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วผู้นำบุญที่วัดก็พามากราบหลวงพ่อ ให้ท่านได้มาปฏิบัติธรรม หลวงพ่อทัตตชีโวก็มอบหมายให้หลวงพี่สุรพล ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกสามเณรในขณะนั้นเป็นผู้ดูแล
หลวงพี่ท่านได้สอดส่ายสายตามองไปมองมา แล้วคงเห็นว่าในจำนวนพระพี่เลี้ยง ดูท่าอาตมาคงท่อง A-Z ได้แน่ จึงมอบหมายให้ดูแลสามเณรรูปนี้
ใครที่อยู่ในยุคนั้น คงจะจำได้ว่าข้าง ๆ อาศรมบัณฑิต หลวงพ่อทัตตชีโวเมตตาให้ทำห้องปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นห้องไม่ใหญ่มาก จุคนน่าจะได้สัก ๕๐ และที่ห้องนี้เองที่เป็นความทรงจำที่ดียิ่งของอาตมา
ด้วยความที่อยากให้สามเณรมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดีแม้ท่านจะมีเวลาน้อยเพียงแค่สองสัปดาห์ แต่ก็นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อธัมมชโยว่า
“การเข้าถึงธรรมไม่ได้อยู่ที่เงื่อนเวลา แต่อยู่ที่การหยุดการนิ่ง หยุดเดี๋ยวนี้ก็เข้าถึงเดี๋ยวนี้...”
อาตมาจึงได้กราบขออนุญาตให้สามเณรมานั่งธรรมะที่ห้องปฏิบัติธรรมที่อาศรมบัณฑิต ซึ่งเราเรียกกันว่า “ดอยเตี้ย”
เพียงแค่วันแรกของการปฏิบัติธรรม จากผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องของสมาธิ รู้จักพระพุทธศาสนาเพียงผิวเผินจากการอ่านบ้าง แต่เมื่อลงมือปฏิบัติสามเณรก็ทำให้อาตมาต้องอึ้งทึ่ง กล่าวคือ เมื่ออาตมาให้ท่านนึกดวงแก้ว ท่านก็นึกไม่ได้ เอาไงดีหล่ะ นึกได้ว่า
หลวงพ่อธัมมชโยเคยบอกว่า
“การกำหนดนิมิตเป็นดวงแก้วหรือองค์พระ เพื่อให้ใจมีที่ยึดที่เกาะ หากนึกดวงแก้วหรือองค์พระไม่ได้ จะนึกถึงอะไรก็ได้ เช่น ธรรมชาติที่สวยงาม ผลไม้สักผล หรือบุคคลที่เราเคารพรัก...”
อาตมาจึงถามท่านว่า ท่านเคยเล่นซอคเกอร์ไหม ท่านตอบว่า เล่น ก็เลยแนะนำให้นึกถึงลูกฟุตบอล ปรากฏว่า ท่านนึกได้ เห็นอย่างสบาย ๆ ท่านก็ดูไปเรื่อย ๆ และแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เพียงแค่ ๕ นาที ท่านก็บอกว่า
“แปลกจัง ทำไมลูกฟุตบอลกลายเป็นดวงแก้วใสไปได้”
อาตมาในขณะนั้นก็ยังมืดสนิท ๑๐๐ เปอร์เซนต์ก็ได้แต่นึกถึงคำของหลวงพ่อที่สอนไว้แล้วก็แนะนำท่านไป
“เมื่อมีประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรม มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปเฉย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ ดูไปอย่างสบาย ๆ อย่าลังเลสงสัย อย่ามีคำถาม...”
ในระหว่างนั้น อาตมาไม่ได้ให้ท่านอ่านอะไรเลย ให้ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการปฏิบัติ และด้วยผลแห่งการนั่งธรรมะที่ต่อเนื่อง และความตั้งใจจริงของท่าน เพียงแค่วันที่ ๓ ในช่วงเย็นท่านก็ถามอาตมาว่า
“หลวงพี่ ทำไมผมเห็นตัวผมเอง หลับตา ลืมตาก็เห็น แต่ตัวโปร่ง ใส แม้จะนุ่งห่มจีวร แต่จีวรก็ใสเป็นแก้ว”
พอได้ยินเท่านั้น อาตมาดีใจสุด ๆ ใจแทบจะกระดอนออกมา นอกอก ที่ดีใจคือแม้ตนเองยังไม่เคยมีประสบการณ์นั้น แต่จากการที่นำคำสอนของครูบาอาจารย์มาถ่ายทอด กลับทำให้ท่านมีผลการปฏิบัติธรรมตามที่หลวงปู่วัดปากน้ำสอนไว้ และเมื่อบอกให้ท่าน ประคองรักษาตัวเองภายในให้ดี ท่านก็สามารถทำได้ ยิ่งนั่งไปยิ่งสว่างเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งก่อนวันที่ท่านจะกลับไปประจวบคีรีขันธ์ อาตมาตั้งใจเต็มที่ว่าอยากให้ท่านมีประสบการณ์ภายในที่ละเอียดยิ่งขึ้น จึงได้ชวนท่านว่า คืนนี้เราจะนั่งกันให้นานที่สุด (ปกติจะเลิก ๒๑.๐๐ น.) นึกในใจว่า จะพานั่งถึงเช้าเลยทีเดียว พอตั้งใจจะนั่งแค่นั้นแหละ ไม่รู้ว่าความปวด ความเมื่อย มันมายังไง นั่งแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เหน็บก็ถามหาแล้ว หรี่ตามองสามเณรท่านนั่งนิ่ง กลายเป็นอาตมาที่บิดไปบิดมา กลับเท้าแล้วกลับเท้าอีก หาความสบายไม่ได้เลย
เราก็พากันนั่งไปจนถึงเที่ยงคืน อาตมาก็หรี่ตาดูท่าน เห็นนั่งนิ่ง หน้าตาดูผ่องใส จู่ ๆ ท่านก็ถามเบา ๆ ว่า
“ หลวงพี่ ทำไมมีองค์พระออกมาจากกลางท้อง แล้วก็ขยายคลุมตัวของผม ”
อาตมาก็ต้องใช้สูตรเดิม นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ
“ อย่าสงสัย อย่ามีคำถามนะ ให้ประคององค์พระ วางใจนิ่ง ๆ ไว้กลางองค์พระอย่างเดียว รักษาความสบาย รักษาอารมณ์สบายให้ต่อเนื่อง ”
จากประสบการณ์นี้ แม้ในขณะนั้นอาตมาเองยังกอดความมืดไว้แน่น แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้อาตมาเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติ เชื่อมั่นในการมีจริง เชื่อในการเกิดขึ้นของพระธรรมกายในตัว และเกิดกำลังใจที่จะไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้
แล้วพวกเราหล่ะ เชื่อหรือไม่ว่าธรรมกายมีจริง ?
ขอขอบคุณบทความดี ๆ จาก
อาสภกันโต ภิกขุ
๒๙ ก.ค. ๕๙
anacaricamuni.blogspot.ae