กรรมทันตาเห็น

วันที่ 30 กย. พ.ศ.2559

 
 
 
 

กรรมทันตาเห็น,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน

กรรมทันตาเห็น

ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ข้าพเจ้าได้มาเป็นลูกศิษย์ของคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ซึ่งเวลานั้นท่านยังไม่ได้บวช ได้ฟังคําพูดของท่านในวันหนึ่ง ท่านกล่าวว่า

สัตว์ทั้งหลายนี่ เดิมทีมันคือคน คนที่ทําบาปทําความชั่วไว้ต้องไปรับกรรมเกิดเป็นสัตว์ มันมาจากคนทั้งนั้น

คําพูดประโยคนี้ทําให้ข้าพเจ้าคิดถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่เคยเลี้ยงสัตว์ต่างๆ มา ซึ่งไม่คิดว่าสัตว์ที่ตนเลี้ยงเป็นสัตว์ รู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นคนอยู่ตลอดเวลา พอฟังคําสอนของครูบาอาจารย์จึงยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้ง ชัดเจน เหมือนมีผู้มารับรองว่า ความรู้สึกที่เคยมีต่อสัตว์เหล่านั้นเป็นสิ่งถูกต้อง

โดยปกติในระยะเวลาที่ผ่านมาตลอดชีวิต จนถึงปี ๒๕๑๑ ข้าพเจ้ารักษาศีลห้าได้ไม่บริสุทธิ์ ผิดอยู่ข้อเดียวคือข้อแรก สัตว์ที่ข้าพเจ้าใจร้ายฆ่าอยู่เสมอคือ ยุงที่เข้ามาในห้องนอนของลูก ความรักลูก เกรงยุงจะกัดเนื้อหนังอันบอบบางของแก จึงต้องไล่เข่นฆ่าอยู่เสมอ เวลายุงเกาะที่มุ้งลวด ข้าพเจ้าจะใช้ฝ่ามือลูบลงบนเนื้อมุ้งลวด ก็ทําให้ยุงนั้นตัวแบนแหลกเหลวไปกับเส้นลวด ทุกเย็นจะทําอยู่ดังนี้

นับจากฟังคําพูดของอาจารย์แล้ว ข้าพเจ้าก็สามารถรักษาศีลห้าได้อย่างบริสุทธิ์ทุกข้อ เวลาเห็นยุงเห็นมด ข้าพเจ้าจะท่องในใจทุกครั้งที่คิดจะเข่นฆ่าเขา (จากนิสัยที่เคยชิน) ว่า คนนะ คนนะ คนมาเกิด ก็อดใจไว้ได้ พยายามใช้แก้วครอบเอากระดาษแผ่นบางๆ สอดเข้าไปปิดปากแก้ว ขังยุงไว้แล้วนําเอาไปปล่อย แรกๆ ก็ทําอย่างขัดเคืองว่า

ไม่น่าปรานีมันเลย กัดแล้วทั้งเจ็บทั้งคัน ยังมีเชื้อโรคติดมาอีกตั้งหลายโรค

แต่เมื่อชินเข้าก็กลายเป็นนิสัย พอเห็นใครเงื้อมือตบยุงดังฉาด ข้าพเจ้าส่งเสียงห้ามทันก็จะห้าม ถ้าไม่ทันก็จะรู้สึกใจหายวาบไปทีเดียว

คุณยายอาจารย์เคยพูดว่า

คุณรู้มั้ย กายละเอียดของเขาเป็นคนนะ

เมื่อแรกฟังก็ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งนัก จนกระทั่งวันหนึ่งเป็นตอนกลางวัน วันอาทิตย์ เวลาบ่ายประมาณ ๒-๓ โมง ที่บ้านพักของคุณยายอาจารย์ฯ ในวัดปากน้ำภาษีเจริญ วันนั้นมีลูกศิษย์ที่ได้ธรรมกายแล้วอยู่หลายคน มีทั้งคนใหญ่และเด็ก พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย (ยังเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชื่อนายไชยบูลย์ สุทธิผล) ช่วยสอนแทนให้คุณยาย หลังจากสอนธรรมเรื่องยากๆ แล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านคงปรารถนาให้ลูกศิษย์เล็กๆ ๔-๕ คนของท่านรู้สึกสนุกสนาน ท่านจึงให้เด็กทุกคนกําหนดจิตเข้ากลางกายธรรมให้ใสสว่าง เข้ากายธรรมในกายธรรมไปจนเต็มที่ แล้วให้พวกเขาดูกายละเอียดของสัตว์ต่างๆ ที่มี อยู่บริเวณนั้น เช่น มด แมว สุนัข ฯลฯ เด็กๆ ก็ตอบว่า กายในกายของสัตว์เหล่านั้นเป็นคนทั้งสิ้น

ข้าพเจ้ายังปฏิบัติธรรมไม่ได้รับผลอะไรเลย ฟังเด็กๆ พูดแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจ เพราะเด็กๆ พวกนี้ไม่เคยรู้เรื่องกายละเอียดของสัตว์มาก่อน จากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังให้พวกเขาไปฟังภาษาสัตว์ ที่ข้าพเจ้าจําได้แม่นคือให้ฟังมดคุยกัน เวลามดมันเดินไปพบกันมันเอาหนวดชนกันไปมา มันคุยกันว่าอย่างไร แมวที่มันกําลังเดินร้องง้าวๆ รอบบ้านอยู่ขณะนั้น มันส่งภาษามีความหมายว่าอะไร พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกวิธีการกําหนดจิตที่ศูนย์กลางกายให้เด็กๆ พวกเขาก็พากันทําตาม ข้าพเจ้าพอจําได้ว่าเวลาที่มดมันเอาหนวดถูกันไปมานั้น มันพูดกันแปลเป็นภาษาคนว่าอย่างไร

ตัวหนึ่งพูดว่า เฮ้ ไปทางโน้นมาเจออะไรบ้างล่ะ มีน้ำตาล หรืออาหารมั้ย

อีกตัวก็ว่า ไม่มีเลยเพื่อน ลองไปอีกทางกันหน่อยเถอะ อาจจะเจอ

ไม่ว่าเด็กจะเล่าเรื่องสัตว์ให้ฟังอีกกี่ตัว หรือรวมทั้งสัตว์เล็กอื่นๆ ด้วย พวกสัตว์ล้วนแต่พูดกันเรื่องการหาอาหารทั้งสิ้น แม้แต่แมวตัวที่กําลังร้องเดินอ้อมอยู่รอบบ้าน เมื่อเด็กๆ ไปฟังแล้วแปลเป็นคําพูดของคนออกมา แมวมันพูดว่า

หอมปลาจัง บ้านนี้มีปลาย่างนี่ ขอกินสักหน่อยซี่ หอมปลาจัง ขอกินหน่อย มันพูดช้าๆ อยู่อย่างนี้

ข้าพเจ้าเชื่อในคําพูดของเด็กๆ ที่ถ่ายทอดภาษาสัตว์ออกมา พวกเขาอายุ ๖-๘ ขวบกันเท่านั้น คงไม่คิดแต่งคําพูดของสัตว์มาหลอกผู้ใหญ่หรอก เห็นเด็กๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อถ่ายคําพูดออกมาจาก สมาธิให้เข้าใจได้ ก็ให้อัศจรรย์ในพลานุภาพของสิ่งที่เด็กรู้เห็นในศูนย์กลางกายจริงๆ กายธรรมหรือธรรมกายนั้น ช่างมีอานุภาพเป็นมหัศจรรย์กำจัดกิเลสก็ได้ อยากรู้อยากเห็นเรื่องอะไรก็ได้ สามารถรู้เห็นได้ตามเป็นจริงแท้ๆ ทีเดียว

นอกจากนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังให้เด็กๆ ไปดูนรกขุมปาณาติบาตซึ่งเป็นขุมของผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เด็กๆ ก็พากันเห็นตรงกัน เช่น เห็นสัตว์นรกที่อยู่ที่นั่นมีตัวเป็นคนผ่ายผอม หนังหุ้มกระดูก แต่มีหัว เป็นสัตว์ต่างๆ มีการทรมานอย่างรุนแรง เช่น มีนายนิรยบาลใช้ศาสตราวุธฟาดฟัน ตัดคอ เสียบหลาวเหล็กเข้ากลางตัวจนทะลุพอตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีก แล้วก็ถูกฆ่าซ้ำอยู่ดังนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ที่ติดใจข้าพเจ้าตรงที่เด็กเห็นกันได้ชัดเจนมาก ถึงขนาดพูดคุยกับสัตว์นรกเหล่านั้นได้ ถามได้จนกระทั่งว่าก่อนตายเป็นคนอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร ตําบลใด ทําบาปสิ่งใดบ้าง เด็กจะเล่าถ่ายทอดจากภาพที่เห็น และเสียงที่ได้ยินออกมาโดยที่เขามองภาพนั้นจากศูนย์กลางกายของพวกเขาเอง

เวลานั้นข้าพเจ้าจึงเริ่มเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านใช้พลังจิตทําภาพให้เกิดขึ้นในศูนย์กลางกายของเด็กหรือเปล่า

เพื่อให้แน่ใจข้าพเจ้าจึงจดจําคําสอนของท่านไปแอบฝึกนักเรียนเล็กๆ ที่โรงเรียน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานศึกษาอยู่ จึงได้พบสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ อีกมากมายที่นึกไม่ถึง ทําให้ข้าพเจ้าสิ้นสงสัยแต่นั้นมา มีความแน่ใจเต็มเปี่ยมว่าบาปบุญคุณโทษนั้นมีผลจริง ใครทําดีย่อมได้รับผลดี ใครทําชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ถูกกรรมนั่นเองเป็นผู้ลงโทษ

เมื่อเชื่อมั่นดังนี้ ทําให้สามารถเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้เด็ดขาด ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้หวนนึกถึงเพื่อนเล่นสมัยก่อน ๓ คนด้วยกัน ซึ่งมีอาชีพขายปลาอยู่ที่ตลาดพรานนก (ฝั่งธนบุรีใกล้โรงพยาบาลศิริราช)

ทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนข้าพเจ้ามาแต่วัยเด็ก คนโตเป็นรุ่นพี่ชื่อ สวง อีก ๒ คน เป็นเพื่อนรุ่นน้องชื่อ สําราญ และ ทองชุบ ทั้ง ๓ เรียน หนังสือชั้นประถมปีที่ ๔ แล้วทํามาหากินเหมือนชาวบ้านทั่วไป คือ ทํานา ทําไร่ ครั้นเติบโตรุ่นสาวเต็มที่ ซึ่งเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าเรียนจบมีอาชีพรับราชการเป็นครู เพื่อนทั้งสามก็เปลี่ยนอาชีพเป็นค้าขาย โดยรับซื้อปลาเป็นๆ ส่วนใหญ่เป็นปลาดุกและปลาช่อนจากตลาดในตัวเมือง แล้วเช่ารถ ๖ ล้อ พากันมานั่งขายอยู่ที่ตลาดพรานนก ถ้าเป็นฤดูฝนชุกหรือมีน้ำหลาก ก็จะมีพวกกบและปลาไหลเพิ่มมาเป็นสินค้าพิเศษ

แต่ละวันพวกเขาทั้งสามจะเข่นฆ่าสัตว์เหล่านี้เป็นประจํา ทุบหัวมันตัวแล้วตัวเล่า แล้วก็ขอดเกล็ดปาดคอหั่นเป็นชิ้นๆ วันหนึ่งๆ นับเป็นหลายร้อยตัว เมื่อข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนอบรมจากคุณยายอาจารย์ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้าก็นึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสามมาก นึกถึงคุณงามความดีที่พวกเขามีต่อข้าพเจ้า ทุกคนรักและชื่นชม โอบอ้อมอารีต่อข้าพเจ้าเสมอมา แม้การศึกษาของเราจะแตกต่างกันเพียงใด แต่น้ำใจไมตรีที่เรามีต่อกันมาตั้งแต่เด็กไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจเรื่องนรกสวรรค์ว่ามีจริง ได้ฟังเด็กๆ ที่ได้ธรรมกายบรรยายภาพนรกขุมนี้อย่างถี่ถ้วน ก็รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสามคนดังกล่าว ใจก็นึกว่า

เพื่อนทั้งสามคนของเรานี่ ทําบาปอย่างนี้ทุกวัน นี่เป็นสิบกว่าปีแล้ว ถ้าขืนไม่หยุดยั้ง พวกเขาตายแล้วจะต้องตกนรกกันแน่นอน

คิดแล้วข้าพเจ้าก็ทนไม่ได้ ดังนั้นในตอนเย็นวันศุกร์คราวหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ามักจะขอโดยสารรถของพวกเขากลับไปเยี่ยมบิดามารดาที่หมู่บ้านเดียวกัน ข้าพเจ้าได้พูดคุยเรื่องนี้กับเพื่อนทั้งสาม

นี่ฉันไปเรียนกรรมฐานที่วัดปากน้ำมานะ มีคนที่เค้าเห็นธรรมกาย ไปดูนรกสวรรค์ได้ด้วย เค้าไปดูนรกขุมที่คนทําบาปฆ่าสัตว์ไปตกด้วยแหละ ฆ่าปลาฆ่ากบอย่างพวกเรานี่ ก็ต้องไปเกิด ตัวเป็นคนหัวเป็นปลา เป็นกบ แล้วก็มีนายนิรยบาลเอาอาวุธมาฟันมาแทงมาทุบหัวเหมือนที่เราเคยทํากับสัตว์มันยังงี้

พูดครั้งแรกเพื่อนทุกคนนิ่งเงียบ ไม่มีใครออกความเห็นข้าพเจ้า จึงต้องหาเรื่องอื่นมาคุยกลบเกลื่อน ข้าพเจ้าไม่ละความพยายาม พอมีโอกาสก็พูดใหม่

พวกเราไม่ใช่ว่าไม่ขายปลาขายกบแล้วจะเดือดร้อนไม่มีกิน หากินอย่างอื่นเถอะ อย่าทําบาปกันเลย

ครั้งนี้ สําราญ ตอบข้าพเจ้าว่า

ความจริงฉันก็ไม่อยากทําอาชีพยังงี้หรอกพี่ แต่ทําอย่างอื่นมันได้กําไรไม่มากเท่านี้

สําราญเรียกข้าพเจ้าว่าพี่ เพียงเขายอมพูดตอบไม่นิ่งเงียบเหมือนทุกครั้ง ข้าพเจ้าก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว ด้วยพอมองเห็นหนทางพูดจาเกลี้ยกล่อมต่อไปได้

พี่ไม่เถียงหรอกว่าขายปลานี่มีกําไรมากกว่าขายอย่างอื่นหลายเท่าตัว แต่ราญว่าที่ราญทําอยู่เนี่ยมันบาปหรือเปล่าล่ะ ข้าพเจ้าถามหยั่งเชิง อีกฝ่ายตอบว่า

มันก็ต้องบาปแน่ละพี่

ได้เงินด้วย ได้บาปด้วย มันไม่คุ้มกันนะ สมมติว่าราญตายตอนนี้ เงินที่ราญเก็บไว้ได้ตั้งหลายแสน ราญเอาติดตัวไปได้หรือเปล่า เอาไปติดสินบนยมบาลได้เหรอ ข้าพเจ้าได้ทีถามรุกต่อ

อีกฝ่ายหัวเราะตอบว่า แหมพี่ จะเอาไปได้ยังไง ก็ต้องทิ้งเอาไว้เป็นสมบัติของคนอื่น

ทิ้งไว้ให้ใครล่ะ ลูกผัวก็ไม่มีกะเค้านี ข้าพเจ้าถามยั่ว

ก็คงเป็นของทิดรินเค้านั้นแหละ อีกฝ่ายตอบ ทิดรินหมายถึง น้องชายของสําราญ

ตอนนี้ข้าพเจ้ากล่าวย้ำหนักแน่นมั่นคง

คิดตามพี่ให้ดีนะราญ คิดให้ดี หนูขายปลาได้เงินมาเป็นของน้อง แต่ตนเองกลับต้องได้บาป ตายไปตกนรก ในขณะที่น้องชายกับครอบครัวของเค้าไม่ต้องทําบาปแต่ได้เงินใช้ ราญเป็นคนโง่หรือฉลาด

ข้าพเจ้าพูดเน้นคําแล้วหยุดเงียบ รอเวลาให้เพื่อนคิดด้วยเหตุผล เวลาผ่านไปนานจนดูเหมือนจะอึดอัดด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อข้าพเจ้าไม่ยอมพูดต่อจริง ๆ สําราญจึงพูดขึ้นว่า

จริงจ้ะพี่ พี่พูดถูก น้องมันได้เงินใช้ แต่ฉันได้บาปไป ถ้าไม่ให้ทํากินอย่างนี้ พี่จะให้ฉันทําอะไรกินดี อย่าบอกให้กลับไปทํานานะ เพราะเลิกทํามานานแล้ว มันหมดกําลังทําไม่ไหว พูดเสียงอ่อยๆ ไม่หนักแน่น

ข้าพเจ้าต้องคิดใคร่ครวญอย่างหนัก ความจริงข้าพเจ้าอยากให้เขาค้าขายผักหรือผลไม้ เพราะดูจะมีบาปน้อยที่สุด คอยระวังศีลข้อ ๔ เพียงข้อเดียว อย่ามุสากับลูกค้าว่าของเลวเป็นของดี แต่จะให้เขาเปลี่ยนทันที อย่างที่คิดไว้เกรงเขาจะรับไม่ได้เพราะกําไรลดลงมาก อีกฝ่ายเห็นข้าพเจ้ายังคิดไม่ออก เขาจึงเสนอความเห็นขึ้นว่า

พี่ ถ้าฉันจะซื้อปลาเป็นมาตามจํานวนที่มีคนสั่งชื่อ เช่น ร้านข้าวแกง หรือภัตตาคาร หรือแม่ค้าขายปลาเจ้าอื่นเขาสั่งอย่างนี้ได้มั้ย เอามาแล้วก็ให้เค้าไปเลย โดยฉันไม่ทุบหัวหรือฆ่าแกงเค้า

ความจริงมันก็ยังไม่พ้นบาปหรอกนะ แต่ก็ไม่หนักเท่าลงมือทุบเองอย่างที่เคยทํามา เอาอย่างนี้ซี เอาปลาที่ตายแล้วมาขายด้วยเช่น ปลาตะเพียน กุ้งก้ามกราม ปลาเค้า ปลากดที่มีมากในแม่น้ำแม่กลองเรา พี่เห็นมีขายที่ตัวเมืองบ้านเราเยอะแยะ เราก็เอาน้ำแข็งแช่มาขาย กําไรคงลดลงไม่มากนักหรอก ไม่บาปด้วย

วันหลังข้าพเจ้าไปที่ตลาดพรานนก ได้เห็นสําราญทําตามคําที่พูดไว้จริงๆ ขายปลาตายเต็มไปหมดกลิ่นหึ่งทีเดียว เพราะบางตัวมันเน่า เมื่อเห็นหน้าข้าพเจ้าเขาก็ยิ้ม ข้าพเจ้าก็ยิ้ม

ก็พอมีกําไรเหมือนกันพี่ ถึงจะได้น้อยกว่าเดิมไปบ้าง แต่ก็สบายใจดี อย่างพี่ว่านั่นแหละ เขาพูด

ถ้าจะให้สบายใจมากกว่านี้ ไม่ส่งกลิ่นคลุ้งยังงี้ ลองเอาผัก เอาผลไม้ราคาถูกๆ ทางบ้านเรามาขายรวมกันไปบ้างซิ ลูกค้าจะได้รู้ว่าของเรามีพวกเจ้าประจําจะได้ซื้อปลาจากเราและซื้อผักผลไม้ไปเสร็จ

ข้าพเจ้าแนะนํา สําราญทําตามจริงๆ ขายกุ้งตัวโตที่ตายแล้ว ขายเนื้อปลาขูด เพิ่มผักและผลไม้เต็มร้านขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดทุกวันนี้ขายผลไม้อย่างเดียวด้วยความสบายอกสบายใจ

สําราญเป็นเพื่อนรักที่ไม่ดื้อดึง เมื่อข้าพเจ้าแนะนําด้วยความหวังดี ก็ทําตาม ทําให้ข้าพเจ้ารักน้ำใจ เมื่อข้าพเจ้ามีกิจกรรมการกุศลใด จึงมักชวนให้เพื่อนมาร่วมการกุศลด้วยไม่มีขาด รายได้ของสําราญลดลง มากก็จริง แต่เงินกําไรจากการขายผลไม้ของเขาอยู่กับเขายั่งยืน ไม่มีเหตุทําให้สูญหายโดยไม่จําเป็น เวลาข้าพเจ้าเป็นหัวหน้านําขบวนสหธรรมิกทั้งหลายไปทําพิธีซื้อปลาปล่อยที่โน่นที่นี่ สําราญมักจะขอติดตามไปด้วยเป็นประจำ

ส่วนเพื่อนอีกสองคนที่เหลือไม่ยอมเชื่อฟังข้าพเจ้าชีวิตของเขาเป็นดังนี้

เพื่อนรุ่นพี่คนที่ชื่อ สวง เป็นสาวโสดอยู่จนอายุ ๔๐ ปีเศษ แม้จะมีเงินรายได้จากการขายชีวิตสัตว์อื่นมาก กลายเป็นคนร่ำรวยก็จริง แต่เมื่อกรรมจะเริ่มให้ผล ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดตามมาคือ

มีเด็กหนุ่มจากหมู่บ้านอื่น รูปร่างอ้วนผิดปกติมาชอบพอ แม้พี่สวงจะอายุมากกว่าฝ่ายชายหลายปี พี่สวงก็ลืมคิด ถ้าข้าพเจ้าจําไม่ผิดดูจะแก่กว่ากันประมาณ ๑๕ ปี ทั้งคู่แต่งงานกัน ฝ่ายหญิงลงทุนซื้อเรือนและเครื่องมือจับปลาต่างๆ ให้ฝ่ายชาย กลางคืนฝ่ายชายก็ออกหาปลาจับกบ ฯลฯ แล้วให้ฝ่ายหญิงนํามาขายรวมกับที่ซื้อจากตลาดในเมือง ในระยะแรกดูจะมีรายได้ดีมาก เก็บเงินกันได้เป็นก้อนใหญ่ ประกอบกับสําราญเลิกขายปลาไปแล้วโดยเด็ดขาด ลูกค้าขาประจําทั้งหมดจึงหันไปซื้อจากสองคนที่เหลือ ทําให้รายได้ของทั้งคู่เพิ่มขึ้นมาก เมื่อมีเงินก้อนใหญ่ พี่สวงก็ซื้อรถ ๖ ล้อเสียเอง ขนสินค้ามาส่งที่ตลาดพรานนก

ข้าพเจ้าเคยโดยสารรถคันนี้กลับไปเยี่ยมบ้าน ได้เห็นว่าพี่สวงเอาอกเอาใจสามีหนุ่มอย่างออกหน้าออกตา จนข้าพเจ้านึกไม่สบายใจแทน ผู้ชายคนนั้นกินอาหารจุมาก ชอบกินแต่ของมีราคาแพง ข้าพเจ้ามีลางสังหรณ์ว่าเขาจะเป็นคนมาล้างผลาญพี่สวงแทนหมู่ปลาที่พี่สวงฆ่าเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าบอกเพื่อนเกรงจะกลายเป็นการส่อเสียดให้ภรรยาสามีเขาผิดใจกัน


ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้ข่าวร้ายว่า ขณะที่ขับรถกลับบ้านในคืนวันหนึ่งซึ่งโดยปกติสําราญกับทองชุบจะนั่งอยู่บนไม้ที่วางคานยกพื้นที่นั่งในรถให้สูง เขารู้สึกว่าถ้าได้นั่งอย่างนั้นแล้วมีลมพัดผ่านถูกตัวเย็นชื่นใจ ส่วนพี่สวงชอบนั่งกับพื้นรถอ้างว่าลมแรงนักทําให้รู้สึกหนาว

แต่วันเกิดเหตุ กรรมบันดาลให้ทั้งสามคนมีความรู้สึกตรงกันข้าม เมื่อใกล้ถึงชายป่าไผ่ไม่ไกลบ้านนัก มีคนตัดไม้ไผ่ขาดค้างอยู่ในกอ ยังไม่ได้ชักลากออกไป สําราญกับทองชุบเกิดรู้สึกหนาวเย็นเยือกจนต้องลุกจากไม้รองนั่งลงมานั่งกับพื้น ส่วนพี่สวงกลับเร่าร้อนจนทนไม่ได้ ต้องขึ้นไปนั่งข้างบนเพื่อรับลมบ้าง เพียงชั่วครู่เมื่อรถวิ่งมาถึงกอไผ่ดังกล่าว รถได้เกี่ยวแขนงไผ่ดึงลําไผ่ที่ขาดแล้วดีดเข้ามาในตัวรถฟาดลงบนหัวพี่สวง พร้อมทั้งกรีดผ่าที่ท้องเป็นแผลยาวเหวอะหวะ สลบไปหลายวันหลายคืน ทางโรงพยาบาลต้องเย็บบาดแผลชนิดนับรอยฝีเข็มไม่ถ้วน

ข้าพเจ้าได้ฟังข่าวเรื่องนี้แล้วสลดใจมาก กรรมตามมาทันตั้งแต่ยังไม่ตาย หัวก็ถูกตี ท้องก็ถูกผ่าเหมือนที่เคยทําไว้กับปลาไม่มีผิด รักษาตัวนานหลายเดือนสูญเงินทองไปมาก เมื่อหายดีแล้วข้าพเจ้าไม่ต้อง ขอร้องอีกแล้ว พี่สวงเลิกขายปลา คงให้สามีนํารถไปวิ่งรับคนโดยสารจากหมู่บ้านทางเหนือไปส่งในตัวเมืองและรับกลับ พอมีรายได้เลี้ยงครอบครัว แต่นั่นแหละไม่ผิดไปจากที่ข้าพเจ้าสังหรณ์ใจเลย สามีแอบไปมีภรรยาใหม่ เบียดบังรายได้ไป ท้ายที่สุดก็ไปไม่กลับมา เพราะรถคันนั้นเป็นชื่อของสามี เรือหาปลาก็ถูกขโมย มารดาซึ่งอยู่ด้วยกันมานานก็ตายจาก

ท้ายที่สุดพี่สวงก็ยากจนลงอย่างมาก เหมือนเงินที่ได้จากอาชีพปาณาติบาตนั้นมาดึงเอาสมบัติเก่าที่บริสุทธิ์ให้พลอยวิบัติไปด้วย ขณะนี้พี่สวงมีอายุประมาณ ๖๐ ปี ต้องรับจ้างเป็นรายวันตัดอ้อยบ้าง ทําพุทราแผ่นบ้าง แล้วแต่จะทําได้ ยังดีที่ไม่ถึงตาย ยังพอเหลือเวลาให้มีโอกาสได้ไปวัดทําบุญบ้างในขณะนี้  

ยังเหลือเพื่อนรายสุดท้ายอีกรายหนึ่ง คือ ทองชุบ ขณะนี้ยังคงเป็นแม่ค้าขายปลาอยู่อย่างเดิม เวลาข้าพเจ้าไปหาสําราญ ข้าพเจ้าไม่กล้าเดินผ่านร้านขายปลาของทองชุบ เขาทุบหัวปลาทั้งปลาดุกปลาช่อน บางวันต้องฆ่ามาก เพราะร้านขายข้าวแกงและภัตตาคารมาสั่งแห่งละหลายสิบกิโลกรัม ทองชุบต้องทุบหัวปลาตัวแล้วตัวเล่า เลือดปลาเลอะแขนทั้งสองข้างเกรอะกรัง บางครั้งเกือบถึงข้อศอก ข้าพเจ้าเห็นแล้วต้องเบือนหน้าหนี น้ำตาคลอแล้วคลออีกอยากร้องไห้ สงสารทั้งปลาสงสารทั้งเพื่อน เขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยและน้ำใจดีต่อข้าพเจ้าและครอบครัวด้วยใจจริง ข้าพเจ้าเสียใจที่ตนเองช่วยเพื่อนไม่ได้ ร่วม ๓๐ ปีแล้ว เพื่อนทําบาปอยู่อย่างนี้ไม่เลิกรา

ถ้าท่านจะถามข้าพเจ้าว่า มีกรรมอะไรตามมาทันบ้างหรือยัง ข้าพเจ้าก็อยากจะบอกว่า มีแล้วทันแล้ว คนอื่นๆ มองเห็นแต่เจ้าตัวเหมือนมีกรรมบังตามองไม่เห็น

ทองชุบเป็นสาวโสดจนแก่ก็จริง ฐานะเดิมร่ำรวยเพราะมีไร่อ้อยมากพอกินพอใช้อยู่แล้ว เงินที่ได้จากฆ่าปลาขายก็มีนับเป็นเรือนแสน แต่จะถูกเพื่อนๆ ที่เป็นแม่ค้าด้วยกันโกงอยู่เป็นประจํา บางรายเป็นจํานวนหลายๆ หมื่นบาท นอกจากนั้น น้องสาวของทองชุบยังได้สามีซึ่งไม่มีอาชีพอะไรทํา เป็นนักเลงสุราขนาดหนัก ทองชุบซื้อรถให้น้องเขยขับรับคนโดยสาร เงินทองที่ได้ก็ถูกคดโกงไปซื้อสุรากับแกล้มจนไม่มีเหลือ มิหนําซ้ำรถยังถูกชนบ้าง ไปชนกับสิ่งต่างๆ บ้างเป็นประจําตามประสาคนขี้เมาขับรถ

ทองชุบเสียค่าช่อมรถครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้ว่าเงินค่าซ่อมสูงกว่าค่ารถไปกี่เท่าตัว น้องสาวทองชุบมีลูกอีก ๒ คน ทองชุบต้องเป็นภาระเลี้ยงดูทั้งหมด บางทีข้าพเจ้าถามถึงทองชุบจากสําราญก็ได้รับคําตอบว่า

มันก็แย่นะพี่ บางทีเป็นโรคปวดหัวอย่างแรง ปวดทุรนทุราย ทําอะไรแทบไม่ได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช หมอเค้าก็บอกว่า ไม่เห็นมีโรคอะไรเลย บางครั้งเป็นไข้หนักเพ้อเห็นปลามากันเป็นฝูงเลย พอหายก็ทําบุญทําทานกันไปเสียทีนึง แล้วก็ไม่เลิกขาย เข่นฆ่ากันต่อไปใหม่ ตอนนี้พี่ไม่เห็นมันนี่ ผ๊อม ผอม ตัวแห้งเป็นหนังหุ้มกระดูกทีเดียว กินอะไรๆ ก็ไม่ใคร่ได้ ไม่รู้เป็นโรคอะไร

ฟังแล้วข้าพเจ้าก็อดใจคอเหี่ยวแห้งไม่ได้สักครั้ง เสียแรงเขามีเพื่อนอย่างข้าพเจ้า ถ้าจะฟังคําเตือนแนะนําจากเพื่อนบ้างสักนิด ชีวิตปัจจุบันและในปรโลกหลังจากความตายแล้วของเขาจะไม่มืดมนอย่างนี้ ปัจจุบันข้าพเจ้าก็ไม่ไปให้เขาเห็นหน้าอยู่แล้ว เหมือนเราต้องจากกันทั้งที่ยังไม่ตาย ในชาติต่อๆ ไป เราก็ไปกันคนละทางเดินเสียอีก คงจะมีวาสนาเป็นเพื่อนกันแต่เพียงนี้

เมื่อไรเกิดรู้สึกตัวขึ้นมา ก็คงจะเป็นเวลาที่สายเกินไปทุกอย่าง ดังพระคาถาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสไว้ว่า

“คนใดที่ทําบาปอยู่เป็นปกติ ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ด้วย เศร้าโศกในโลกหน้าด้วย เขาต้องเศร้าโศกในโลกทั้งสอง เมื่อใดบาปให้ผลทําให้เดือดร้อนแล้ว จึงจะรู้จักกรรมอันเศร้าหมองที่ตนทํา”

แต่สําหรับเพื่อนที่ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังอยู่นี้ กรรมให้ผลมานานแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ตัว ข้าพเจ้าหมดหวังในการช่วยเหลือเพื่อนอย่างสิ้นเชิง เงินทองที่ได้มาจากการทําบาปจะไม่นําความสุขความเจริญสิ่งใดมาสู่ผู้ทํา นอกจากความวิบัติพินาศฉิบหาย

นึกถึงคนบางคน แม้ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน เพียงเขาอ่านหนังสือพบชื่อข้าพเจ้า ก็ยังเขียนจดหมายมาไต่ถามเรื่องบาปบุญคุณโทษ ข้าพเจ้าตอบจดหมายให้ข้อแนะนําไป เขาสามารถเลิกการทําชั่วทั้งหมด ลงได้อย่างเด็ดขาด น่าอนุโมทนาจริงๆ

หมายเหตุท้ายเรื่อง

ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้จบในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๑ ในวันที่ ๓๐ ได้นําเงินค่าเลี้ยงดูและทําปิ่นโตไปทําบุญในวันพระระหว่างเข้าพรรษา ไปฝากเพื่อนที่ชื่อสําราญ ที่ตลาดพรานนก เพื่อให้ “พี่อบ” ที่เล่าไว้ใน เรื่อง “ผีพนัน” ซึ่งทําอย่างนี้เป็นประจําทุกๆ เดือน

ไปครั้งนี้ไม่พบสําราญจึงนําไปฝากทองชุบ อดไม่ได้ที่จะถามเขาอีกว่าเมื่อใดจะยอมเลิกทําอาชีพนี้ ทองชุบหยุดคิดเพียงชั่วครู่ แล้วตอบอย่างฉาดฉานว่า “อีก ๒ เดือนเลิกแน่นอน” เขาคงไม่รู้ว่าคําตอบของเขานั้นทําให้ข้าพเจ้าสุขใจมาก ประมาณไม่ได้

ไม่เสียแรงที่อธิษฐานจิตตลอดเวลาที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา ขอให้เลิกอาชีพนี้เสียที ถ้าทําได้ตามที่กล่าวนั้นจริง ทั้งท่านและข้าพเจ้า คงจะได้อนุโมทนากับการกระทําของเขาด้วยกัน
 
 
ชื่อเรื่องเดิม สำราญ สวง ทองชุบ
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม2
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0016542156537374 Mins