อานุภาพความกตัญญู

วันที่ 10 พย. พ.ศ.2559

อานุภาพความกตัญญู,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน
 
 
อานุภาพความกตัญญู
 
 
ข้าพเจ้ารักพ่อกับแม่มาก รักเพราะสํานึกผิดว่าทําให้ท่านทั้งสองเดือดร้อนนัก ตั้งแต่ตนเองถือกําเนิดขึ้นมา ทั้งที่ยังเล็กไม่รู้เดียงสาก็ทํากับท่านได้ต่างๆ อย่างบางเรื่องมีคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า
 
“นี่หนูหวินรู้มั้ย เมื่อตอนหนูอายุซัก ๓ ขวบน่ะ พ่อของหนูให้หนูขี่คอ (หมายถึงการแบกชนิดเอาสองขาของลูกคร่อมคอพ่อ) พาไปดูลิเกที่งานวัด พ่อหนูยังเป็นหนุ่มหล่อมาก ขณะที่ลิเกกําลังเล่น ผู้คนดูกัน เพลิดเพลินอยู่นั่นเอง หนูก็ร้องว่า “พ่อ พ่อ อึ อึ” แต่พ่อของหนูไม่ได้ยิน กำลังเพลิดเพลินพระเอกลิเกรบกับผู้ร้ายกําลังเข้าด้ายเข้าเข็มใครจะแพ้จะชนะ กลองก็รัวระงม ตุ้ม ตุ้ม หนูหวินคงจะทนไม่ไหว ก็ถ่ายอุจจาระออกมาเต็ม ราดรดกลางหลังเปื้อนเสื้อตัวใหม่ที่สวยที่สุดของพ่อหนูนั่นแหละ โอ๊ย ส่งกลิ่นตลบอบอวลไปเลย ผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้แตกกันฮือ บอกกันว่า ครู ครู ลูกขี้รดเต็มหลังเลย แต่พ่อของหนูไม่ดุลูกเลย เรื่องอายผู้คนคงจะมีบ้าง เรื่องเสียดายลิเกกําลังเล่นสนุกก็คงมี แต่ก็ไม่ว่าอะไร พาลูกลงอาบน้ำกันในแม่น้ำทั้งพ่อทั้งลูกเปียกโชกกลับบ้าน”
 
ฟังคําบอกเล่าแล้วจะไม่ทําให้ข้าพเจ้ารักพ่อแม่ได้อย่างไร นึกถึงว่าถ้าเป็นตัวเอง ไม่รู้จะอดใจไม่ซัดลูกซักเผียะได้รึเปล่าที่ทําให้อับอายขายหน้า
 
ข้าพเจ้ารักพ่อแม่มาก ดังนั้นเมื่อต้องจากท่านไปอาศัยบ้านใครๆ อยู่เพื่อเรียนหนังสือต่อที่ในเมืองบ้าง ในกรุงบ้าง ไม่มีที่พึ่งทางใจ ขาดความอบอุ่นใจ ก็ได้แต่นึกถึงพ่อแม่เป็นอารมณ์ เวลาว่างจากการเรียน ว่างจากการช่วยงานบ้านคนที่ไปอาศัยอยู่ด้วย ก็จะเฝ้าคิดถึงพ่อแม่ กระทั่งก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ก็จะนอนนึกถึงท่านก่อนหลับไป เอารูปภาพของท่านตั้งไว้ที่หัวนอน มีความทุกข์ใจเรื่องอะไรๆ ก็จะนั่งมองภาพก็เหมือนในใจจะได้ยินเสียงปลอบโยนจากท่านอยู่เสมอว่า อดทนนะลูก อดทนนะลูกนะ ทําแต่ความดีเอาไว้ ลูกอย่าท้อถอยต้องเรียนให้สําเร็จจะได้เป็นที่พึ่งของพ่อแม่
 
จําได้ว่าปีนั้นเป็นปี ๒๔๘๖ กําลังอยู่ระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง กลางดึกคืนหนึ่งเรือบินข้าศึกมาทิ้งลูกระเบิดในตัวเมืองราชบุรีที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ เจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ปกครองของข้าพเจ้าปลุกข้าพเจ้าเท่าใดๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ตื่น พวกเขาไม่มีเวลาพังประตูห้องนอนของข้าพเจ้า พากันรีบหนีออกจากบ้านไปกันหมด ข้าพเจ้าอยู่ตามลําพัง ตื่นขึ้นมามีแต่เสียงลูกระเบิดระเบิดตูมตามอยู่รอบบ้านดังสนั่นหวั่นไหว เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงอะไรมันดังแสบแก้วหูแทบแตกอย่างนี้เลย ลงจากบ้านได้ก็ออกวิ่งส่งเดชไป เห็นฝูงคนวิ่งไปทางไหนก็วิ่งตามไปกับพวกเขา มีอยู่ตอนหนึ่งเรือบินทิ้งลูกระเบิดลงมากลางฝูงคน ถึงจะเป็นลูกระเบิดเวลายังไม่ระเบิดทันที ผู้คนก็แตกฮือวิ่งหนีเพ่นพ่านกันสุดขีด เด็กอายุ ๙ ขวบอย่างข้าพเจ้าก็ใช้ฝีเท้าวิ่งสุดชีวิตโดยไม่ดูทิศทางที่วิ่ง ตกลงไปในคูน้ำครําข้างถนน ผ้าห่มที่หอบมาด้วยอุ้มน้ำครําไว้เปียกชุ่มโชกทั้งผืนส่งกลิ่นเหม็นหึ่ง พอปีนขึ้นมาบนถนนได้ มองไม่เห็นฝูงคนอีกเลย ไม่รู้หนีหายไปไหนกันหมด ข้าพเจ้ายืนเคว้งคว้างไม่รู้จะวิ่งไปทางไหนดี ครั้นพอเรือบินโฉบลงมาทิ้งลูกระเบิดบริเวณนั้นอีกครั้ง ข้าพเจ้าก็ออกวิ่งไม่ต้องคํานึงถึงทิศทางอีกแล้ว วิ่งอ้าวเผ่นพรวดเข้าไปในคอกวัวของบ้านแขกเลี้ยงวัว เจ้าของบ้านไม่มีใครเหลืออยู่ มีแต่วัวในคอก ข้าพเจ้าวิ่งเข้าไปอยู่กับวัว เจ้าประคุณเอ๋ยเหยียบลงไปบนขี้วัวลึกลงไปแทบมิดหัวเข่า พอเสียงลูกระเบิดดังกึกก้องแถวนั้นอีก ข้าพเจ้าก็ออกวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกไปตามท้องถนนอีก วิ่งอยู่เพียงตามลําพังคนเดียวบนถนนสายเปลี่ยว ได้ยินเสียงดัง ผลุ ผลุ ผลุ บนท้องฟ้าหลายครั้ง ทันใดก็มีโคมไฟสว่างไสวลอยอยู่ในอากาศ สว่างมากเหมือนกลางวัน ถ้ามีตัวหนังสือเล็กๆ อยู่ในมือ ก็สามารถมองเห็น จากนั้นข้าพเจ้าก็เห็นเรือบินปล่อยลูกระเบิดหล่นลงมาอีกเป็นชุดๆ ข้าพเจ้ายังอุตส่าห์นับดูได้ชุดละ ๔ ลูก แต่ชุดสุดท้ายนั่นสิ มันหล่นลงมานอนเรียงจมอยู่ในพื้นดิน ไม่ห่างจากตัวข้าพเจ้าเท่าใด อารามตกใจ ข้าพเจ้าพุ่งตัวหลบ จึงหกล้มกลิ้งครูดลงไปข้างถนนหลายตลบ
 
พอถึงพื้นดินเบื้องล่าง รู้สึกจุกเสียดพูดไม่ออก นอนตะแคงนิ่งอยู่ ความหวาดกลัวลูกระเบิดที่นอนอยู่ไม่ห่างตัวเท่าใดนักเกิดขึ้นจับใจ มันจะระเบิดขึ้นตอนไหน! ตัวเองคงจะแหลกเหลวหาซากไม่เจอ แสงโคมจากพลุไฟของเรือบินก็ค่อยหรี่ลงๆ จนแทบจะดับ ข้าพเจ้าจุกแน่นขยับตัวไม่ได้ ป่วยการนึกถึงเรื่องวิ่งหนี มองดูโคมไฟที่กําลังจะดับแสงก็รู้ว่า ชีวิตของตนคงจะต้องสิ้นลงพร้อมแสงไฟที่เห็นนี้แน่นอน
 
สิ่งที่เคยคิดถึงอยู่เสมอในใจก็ผุดขึ้นมา
 
“พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูกําลังจะต้องตายเสียแล้ว คงจะไม่มีโอกาสได้ตอบแทนคุณ พ่อแม่อย่าเสียใจเลยนะ ลูกคงมีบุญมาเพียงแค่นี้เอง หนูขอลา”
 
นึกขณะนั้นนอนนิ่งน้ำตาไหลรินอาบหน้า ในใจก็พร่ำเรียกแต่พ่อแม่ไม่มีขาด
 
“หนูรักพ่อแม่ หนูอยากตอบแทนบุญคุณที่สุดเลย จึงตั้งใจเล่าเรียนจนเก่ง จะทํางานเลี้ยงพ่อแม่ แต่ตอนนี้หนูหมดโอกาสเสียแล้ว ขอให้หนูได้เกิดเป็นลูกใหม่ในชาติหน้า หนูจะไม่ทําให้พ่อแม่ทุกข์ยาก ตั้งแต่ตอนตั้งท้องอีก หนูจะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย โตขึ้นจะเลี้ยงพ่อแม่ตอบแทน พ่อจ๋า แม่จ๋า รู้ว่าหนูตายแล้วก็อย่าเสียใจเลยนะ เดี๋ยวหนูจะมาเกิดเป็นลูกคนใหม่ให้จ้ะ”
 
พร่ำคิดซ้ำซากอยู่ในใจ เวลานั้นทุกสิ่งเงียบสงัดจนกระทั่งได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตนเอง ตาจ้องมองลูกระเบิดที่อยู่ไม่ห่างจากที่ตนเองนอนอยู่ สิ้นหวัง ในใจมีแต่ใบหน้าของบิดามารดาเหมือนท่านปรากฏตัวอยู่ที่นั่นจริงๆ ราวปาฏิหาริย์ โคมไฟที่หรี่แสงจนเหลือเพียงจุดแดงเล็กๆ จนทําให้บริเวณนั้นมืดสนิทกลับลุกโพลงสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง มีเสียงฝีเท้าคนใส่รองเท้าบู๊ตวิ่งดัง ปั้บ ปั้บ ปั้บ มาบนถนนคนหนึ่ง เมื่อส่งเสียงร้องเรียกให้ช่วยไม่ได้ เพราะจุกแน่นยังไม่หาย ขยับตัวก็ไม่ได้ จึงพยายามรวบรวมกําลังครั้งสุดท้ายจนสุดเรี่ยวแรงที่มีอยู่ยกแขนข้างขวาขึ้นโบกไปมา เพื่อคนที่วิ่งอยู่จะมองเห็น
 
เมื่อใกล้เข้ามาข้าพเจ้าก็เห็นว่า คนที่วิ่งอยู่นั้นเป็นตํารวจ เขามองเห็นข้าพเจ้าจริงๆ เขาไม่พูดไม่ถามอะไร คงจะเห็นอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความจุกเสียดของข้าพเจ้าอยู่แล้ว ตรงเข้าอุ้มตัวข้าพเจ้าวิ่ง ต่อมาครู่ใหญ่ ยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะถูกปล่อยตัวลงจากอ้อมแขน เสียงระเบิดลูกที่ข้าพเจ้านอนอยู่ใกล้ๆ เมื่อสักครู่ระเบิดดังสนั่นซ้อนๆ กันถึง ๔ ลูก ท่านที่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าพูดเปรยขึ้นว่า “เกือบไปนะเรา” ก้อนดินจากแรงระเบิดหล่นตุ๊บตั้บๆ กระเด็นมาจนถึงตรงที่เรายืนดูมันอยู่
 
ท่านตํารวจผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของข้าพเจ้า เวลานั้นมืดด้วย กําลังกลัวถึงที่สุดด้วย จึงไม่สามารถจําท่านได้ ต้องขออภัย แต่ข้าพเจ้ามิเคยลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่นั้น ท่านจะอยู่ที่ใด มีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม ขอได้โปรดรับทราบว่า เด็กที่ท่านช่วยชีวิตไว้ในครั้งกระโน้น ได้มีชีวิตอยู่ต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ ๔๐ ปีเศษแล้ว ได้ทําประโยชน์ให้ตนเอง ให้ส่วนรวม ให้ประเทศชาติและศาสนาไม่น้อยเลย ท่านไม่เสียแรงเปล่าในการต้องอุ้มข้าพเจ้าวิ่งหนีภัย ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลจากผลของกรรมดีต่างๆ ที่ตนเองได้กระทํามาชั่วชีวิตให้ท่าน ขอได้โปรดอนุโมทนา ถ้าท่านต้องตกอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถทราบเรื่องของเหล่าเทพยดาผู้เป็นสัมมาทิฏิฐิได้ โปรดเมตตาให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือข้าพเจ้า ส่งผลบุญนั้นให้ตำรวจท่านที่กล่าวแล้วนี้ด้วย
 
ครั้งนั้น เมื่อข้าพเจ้าเล่าให้พ่อฟัง พอถึงกับออกปากว่า
 
“พ่ออยากพบเขาจัง พ่อไม่มีอะไรจะตอบแทน มีแต่เงินเดือนของเดือนนี้ที่เพิ่งรับมา พ่ออยากจะยกให้เขาทั้งหมดเลย
 
นี่ข้าพเจ้ารอดตายครั้งที่หนึ่ง เพราะนึกถึงผู้บังเกิดเกล้าคิดอยากมีชีวิตอยู่ทดแทนพระคุณท่าน จึงเกิดเป็นกุศลจิตขึ้นในใจ บุญอันนี้เองช่วยค้ำจุน ให้ชีวิตรอดตายเป็นอัศจรรย์ เพียงครั้งเดียวอาจจะไม่แปลกอะไร แต่นี่ตามมาอีกหลายครั้ง จะเล่าให้ฟังอีกสัก ๒ เรื่อง อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนเลยนะ
 
ครั้งที่สอง เวลานั้นอายุ ๑๕ ปี เป็นเด็กตัวโตแล้ว พอว่ายน้ำเป็นบ้าง แต่ไม่เก่งนัก เพียงแต่พยุงตนเองว่ายไปไหนมาไหนได้ ช่วยคนอื่นยังไม่ได้ ผู้ปกครองอนุญาตให้ไปอาบน้ำที่แม่น้ำทุกเย็น สมัยนั้นยังไม่มีน้ำประปาใช้ เย็นวันเกิดเหตุข้าพเจ้าคงว่ายน้ำเล่นเป็นปกติ ทันใดมีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณ ๘ ปี เป็นเด็กว่ายน้ำไม่เป็น ปกติแล้วเด็กคนนี้จะนั่งเล่นอยู่ริมตลิ่ง ไม่กล้าลงน้ำลึกเพราะเป็นเด็กขี้ขลาดมาก แต่แล้วเด็กจะอย่างไรไม่ทราบ แกพุ่งตัวโผมากอดคอข้าพเจ้าไว้แน่น ร้องว่าหนูไปด้วย กอดไว้ไม่ยอมปล่อย ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ จะขยับแขนออกมาว่ายน้ำก็ทําไม่ได้ เพราะถูกกอดโคนแขนไว้เสียแล้ว ผลที่สุดจึงพากันจมลงไปดิ้นขลุกขลักอยู่ใต้น้ำด้วยกันเป็นเวลานาน
 
คนที่อยู่บนตลิ่งไม่มีใครสนใจ ต่างคนต่างคิดกันว่าข้าพเจ้าคงแกล้งทําเป็นจมน้ำ เพราะข้าพเจ้าว่ายน้ำเป็น คงแกล้งเด็กเล่นสักหน่อยประเดี๋ยวก็คงโผล่ขึ้นมาเอง มาผิดสังเกตเอาตรงที่จมนานเกินไป จึงได้พา กันเอะอะขึ้น ทําให้มีใครคนหนึ่งว่ายน้ำไปยังที่เกิดเหตุ เอามือควานลงไปในบริเวณนั้น เขาคว้าได้ผมของเด็กจึงดึงตัวแกออกจากคอของข้าพเจ้า พาว่ายกลับไปที่ตลิ่ง ส่วนข้าพเจ้าเองเขาดําน้ำควานหาไม่พบ
 
เมื่อเด็กหลุดออกจากคอข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าก็ตั้งใจจะรวบรวมกําลังโผตัวขึ้นเหนือน้ำ แต่ทันใดข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีอะไรสิ่งหนึ่งเป็นแผ่นยาวๆ ลื่นเป็นเมือก จะว่าเป็นเหมือนใบตองที่มีตะไคร่น้ำเต็มไปจนลื่นก็ได้ แต่แปลกตรงที่ว่าของสิ่งนี้ลอยมาในน้ำกระทบสัมผัสข้าพเจ้าตั้งแต่หัวไหล่และแขนขา พอสิ่งนี้กระทบตัวเท่านั้น เรี่ยวแรงของข้าพเจ้าสูญสิ้นไปจนหมด ร่างกายอ่อนเปลี้ยขยับเขยื้อนไม่ได้ ค่อยๆ จม ดิ่งลงใต้ท้องน้ำ
 
ในเวลานั้นข้าพเจ้าเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่เรียนเก่งมาก วิชาต่างๆ ส่วนใหญ่มักได้คะแนนถึง ๑๐๐% เต็ม ถ้าเป็นสอบประจําเดือนแล้ว ครูมักจะยินยอมให้ลงคะแนนในสมุดพกประจําตัวตามความเป็นจริง คือวิชานั้น ๑๐๐% วิชานี้ ๑๐๐% คะแนนรวม ๑๐๐% แต่ถ้าเป็นสอบประจําภาคเรียน ครูประจําชั้นชี้แจงต่อข้าพเจ้าว่า
 
“ความจริงครูไม่รู้จะหักคะแนนตรงไหนของเธอได้เลย เธอตอบถูกหมด แต่ครูจะเขียนลงไปให้เธอได้คะแนนเต็ม ๑๐๐% ตามจริงในการสอบประจําภาคอย่างนี้ แล้วต้องเสนอครูใหญ่ด้วย มันน่าเกลียดเกินไปถ้าเธอสอบประจําเดือนไม่ต้องเสนอท่านก็ไม่เป็นไร ครูขอหักคะแนนเธอบ้างเล็กๆ น้อยๆ นะ ให้เหลือ ๙๘% ก็แล้วกัน
 
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการทํางานของครูกับครูใหญ่ ได้แต่แปลกใจสงสัยว่า คนใหญ่นี่เขาทําอะไรกันไม่เห็นเข้าใจเลย ทําไมต้องหลีกเลี่ยงความจริง แต่ก็ไม่ทักท้วง เพราะครูอุตส่าห์ขออนุญาต อีกอย่างหนึ่งตำแหน่งสอบได้เป็นที่หนึ่งของข้าพเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างไร ครองตำแหน่งอยู่อย่างนั้นทุกครั้งทุกคราว

ผลการเรียนอันดีเยี่ยมของข้าพเจ้านี้เป็นที่ชื่นชอบของบิดายิ่งนัก ทุกครั้งที่พ่อถามว่า

“เดือนนี้ลูกสอบได้ที่เท่าไหร่

“ที่หนึ่งตามเดิมค่ะ ข้าพเจ้าตอบแล้วจะจาระไนแจกแจงวิชานั้น วิชานี้เป็นยังไงๆ พ่อจะยิ้มและถอนใจยาวอย่างเป็นสุข บางทีก็กล่าวเพิ่มเติมว่า

“สอบไล่เสร็จแล้วพ่อจะซื้อทองให้หนูซักสลึงหนึ่งนะลูก เอาปีละสลึง พ่อจะพยายามเก็บเงินซื้อให้ลูกให้ได้”

รอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยความสุขใจของพ่อ ทําให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่ตนเองทําให้พ่อมีความสุข เป็นความรู้สึกเดียวกันกับความรู้สึกดีใจ สมัยเก็บผลไม้ลูกงามๆ ฝากแม่เมื่อครั้งเยาว์วัย

พอมาถึงเวลากําลังจะจมน้ำตายอยู่ในขณะนั้นก็นึกถึงพ่อแม่ขึ้นมาอีกตามเดิม นึกถึงความสุขที่ทําให้พ่อดีใจเรื่องผลการเรียน พร้อมกับรำพันขึ้นในใจว่า

“พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูจะจมน้ำตายเสียแล้ว หนูทําให้พ่อแม่ดีใจนิดเดียวเรื่องเรียนเก่ง แต่หนูยังไม่ได้ทํางานหาเงินมาเลี้ยงพ่อกับแม่เลยหนูก็จะต้องตาย หนูยังไม่อยากตาย พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย

ในใจรําพันถึงพ่อแม่อยู่ไม่ขาด แต่ทางกายก็ทุรนทุรายเป็นกําลัง หายใจไม่ออก ผลที่สุดสําลักน้ำต้องกินน้ำเข้าไปอึกแล้วอึกเล่า ดูเหมือนท้องจะกางออก กางออก เหมือนอึ่งอ่างเวลามันพองตัว แล้วหมดสติวูบลง

มารู้สึกตัวอีกครั้งทะลึ่งตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ ร่างกายอยู่ตรงกลางระหว่างหลักผูกเรืออยู่ทางเหนือน้ำ ห่างออกไปประมาณ ๒ ศอก เป็นระยะห่างเท่ากับทางใต้น้ำซึ่งเป็นท้องเรือต่อลําใหญ่โต ชั่วพริบตานั้นที่สติมาทันรู้สึกตัวว่าควรทําอะไร ข้าพเจ้ารวบรวมกําลังสุดชีวิตโผตัว จับหลักที่ปักอยู่ทางเหนือน้ำไว้แน่นหันหน้ามองดูใต้ท้องเรือด้วยความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง ถ้าชักช้าเพียงชั่วอึดใจเดียว กระแสน้ำเชี่ยวนั้นจะต้องพัดตัวข้าพเจ้าเข้าใต้ท้องเรือลําใหญ่นั้น และนั่นหมายถึงกาลอวสานของชีวิต

รอดตายมาครั้งนั้นมีบาดแผลติดข้อเท้ามาด้วยเหวอะหวะ เหมือนถูกสิ่งใดกัดหรือบาด จากนั้นอีกไม่กี่วันก็มีเด็กผู้ชายเล่นน้ำแล้ว จมน้ำตายแทนข้าพเจ้าที่ท่าน้ำนั้น ถ้าข้าพเจ้ารู้ประวัติของท่าน้ำ ข้าพเจ้าจะไม่ไปเล่นเป็นอันขาด หลายปีมาแล้วมีหญิงชาวจีนเดินทางมาจากประเทศจีนมาหาสามีซึ่งเดินทางมาล่วงหน้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ๕-๖ ปี เมื่อตามมาพบเข้า ต้องเจอเหตุการณ์สามีมีภรรยาใหม่เป็นชาวจีนที่เกิดในเมืองไทย สาวกว่าสวยกว่า ยังทํามาหากินช่วยสามีค้าขายได้คล่องแคล่วอีก เพราะพูดได้ทั้งภาษาไทยและจีน สามีหลงรักมาก แสดงออกเปิดเผย และมีกิริยารังเกียจภรรยาเก่าอยู่เสมอๆ ทั้งภรรยาใหม่ก็กลั่นแกล้งต่างๆ นานา จึงเหมือนสามีกับภรรยาใหม่ร่วมมือกันสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ นางไม่รู้จะพึ่งใคร จะกลับเมืองจีนก็ไม่มีหนทาง จึงเดินลุยน้ำลงไปจมตายที่ตรงท่านั้น จากนั้นมาก็จะมีคนตายที่ท่าน้ำนั้นแทบทุกปี กระทั่งทางเทศบาลทนต่อความ “เฮี้ยน” ของท่าน้ำไม่ไหว จึงต้องทําพิธีทำบุญเลี้ยงพระอุทิศส่วนกุศลบริเวณท่าน้ำและทําเสาเขื่อนพิเศษขึ้น ๓ ต้นล้างอาถรรพณ์ จึงไม่มีคนตายอีก

อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าก็เอามาเล่ายืนยันต่อท่านผู้อ่านว่า “นี่ไงรอดตาย เพราะนึกถึงบุญคุณของพ่อแม่อีกแล้ว”

ฟังเรื่องที่สามอีกสักเรื่องเถอะ จะได้ครบ ๓ ภาคยังไงล่ะ เรื่องที่หนึ่งผจญภัยทางอากาศ เรื่องที่สองผจญภัยทางน้ำ เรื่องสุดท้ายนี่ทางบก

เหตุการณ์อันถือเป็นตัวอย่างที่สามนี่ เกิดขึ้นสมัยข้าพเจ้าเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลานั้นเพิ่งสอบมิดเยียร์(กลางปี) เสร็จ มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน เพื่อนๆ ชักชวนกันจะไปเที่ยวหัวหิน ใช้รถจิ๊บขนาดกลาง นั่งเบียดๆ กันสิบกว่าคน ขณะที่รถกําลังวิ่งรับเพื่อนๆ จากจุดโน้นจุดนี้ได้ ๑๑-๑๒ คนแล้ว เหลืออยู่อีกเพียง ๒-๓ คน ก็ได้เกิดรถชนกับรถขนส่งของทหารเรือ

ก่อนเกิดเหตุเล็กน้อย ข้าพเจ้านั่งอยู่ท้ายรถ ขณะที่รถกําลังวิ่งอยู่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าลมพัดตรงท้ายรถนี่แรงจัดเกินไป จึงลุกขึ้นมานั่งตรงหัวรถ จะนั่งบนเบาะก็ไม่ได้เพราะเพื่อนๆ นั่งอยู่เต็มหมดแล้ว จึงนั่งลงไปที่พื้นรถ ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่มีอยู่รองนั่ง พร้อมกับเรียกเพื่อนทางท้ายรถคนอื่นว่า

“เฮ้ นี่... ไม่หนาวรึไง ลมแรงเหลือเกิน หนาวก็หนาว ผมเผ้าปลิวแยงหูแยงตา มานั่งข้างหน้ากะเรามั้ย ตรงนี้ไม่หนาว แต่เจ็บก้นหน่อย มันไม่มีเบาะนั่ง

แปลกจริงๆ ทุกคนตอบราวกับนัดกันไว้

“ไม่ไปหรอก ข้างหลังนี่เย็นดี มองอะไรข้างทางชัดด้วย

ข้าพเจ้าเรียกเพื่อนไม่ถึง ๕ นาทีผ่านไป ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ยินเสียงรถชนกัน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า เสียงดังเหมือนเสียงฟ้าผ่าเลยสักนิดเดียว รู้สึกแต่ว่ารถที่นั่งอยู่หมุนติ้วไม่รู้ว่ากี่รอบ พอได้สติรู้ว่ารถถูกชน สิ่งแรกที่คิดถึงคือพ่อกับแม่

“พ่อจ๋า แม่จ๋า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่หนูจะเรียนจบ อีกไม่กี่เดือนจะได้ทํางาน มีเงินเลี้ยงพ่อกับแม่แล้ว นี่กําลังเกิดเรื่องรถชนกัน มันหมุนใหญ่จะเหวี่ยงหนูออกไปตายกลางถนน พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยด้วย”

ความจริงเวลานั้นข้าพเจ้ามีอายุเกินกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ไม่เคยสนใจเรื่องศาสนา ไม่รู้ซึ้งถึงอํานาจพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ว่ามีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงใด เห็นอยู่ รู้อยู่แต่คุณของพ่อของแม่ เวลามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นก็จะนึกถึงท่านเป็นที่พึ่ง นี่ถ้ารู้เหมือนเดี๋ยวนี้ ก็ภาวนานึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ปลอดภัยกันทั้งคันรถแน่นอน

พริบตาที่ข้าพเจ้าคร่ำครวญถึงพ่อแม่อยากจะทํางานหาเงินเลี้ยงท่าน ไม่อยากตายนั่นแหละ ก็มองเห็นวัตถุสิ่งหนึ่งสีดําอันใหญ่ลอยลิ่วมาทับบนตัวข้าพเจ้า พร้อมกันนั้นความรู้สึกต่างๆ ก็ดับวูบเงียบลงครู่ใหญ่

เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดบ้าง ร้องให้ช่วยบ้างจากเพื่อนๆ ล้วนแต่ถูกรถเหวี่ยงกระเด็นไปคนละทิศละทาง บางคนหล่นข้ามไปอยู่คนละฟากถนน บางคนตกลงไปในคลองน้ำครํา บางคนชักดิ้นเร่าๆ เหมือนปลาถูกทุบหัว มีอาการต่างๆ กัน เลือดสาดไปทั่ว ที่นั่น ที่โน่น ที่นี่ บางคนสาหัสถึงสลบ หนังศีรษะหลุด กะโหลกศีรษะบุบ ฟันหน้าหายทั้งแถบ ฯลฯ ไม่มีใครเหลืออยู่ในรถแม้แต่คนเดียว

ข้าพเจ้าเองนั้นนอนคว่ำเหยียดยาวอยู่บนรถ รู้สึกว่ามีของสิ่งหนึ่งทับอยู่บนตัว ความตกใจไม่กล้ากระดุกกระดิก จนเวลาผ่านไปสักครู่จึงมีใครบางคนที่เห็นเหตุการณ์เดินมาถามว่า

“คุณ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบเชียว สลบหรือเปล่าเนี่ย”

ข้าพเจ้าผงกศีรษะขึ้น เสียงฝ่ายนั้นดีใจ

“ทำใจดีๆ ไว้คงไม่เป็นอะไรมากหรอก พวกหล่นลงข้างล่างโน่นเป็นตายเท่ากัน”

พอได้ยินเรื่องของเพื่อน ข้าพเจ้ารีบขยับตัวด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับพูดว่า

“ลุกไม่ขึ้น มีอะไรทับอยู่บนหลัง คุณช่วยดูหน่อย”

“ขอโทษที ลืมไป เดี๋ยวนะจะช่วยยกออกให้ ยางอะไหล่รถน่ะ มันปาฏิหาริย์ขึ้นไปทับคุณอยู่ได้พอดีเลย ยังงี้นี่เล่าคุณจึงไม่หล่นจากรถ เหลืออยู่เพียงคนเดียว ดูซิมีบาดเจ็บอะไรมั้ย

เมื่อเขาช่วยเอายางเส้นนั้นออกไปแล้ว ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งได้ ทดลองยืนขึ้นสำรวจตนเอง ไม่มีบาดแผลอะไรเลย กระดูกส่วนใดก็ไม่ชํารุด มีที่เหนือเข่าห้อเลือดอยู่ ๒-๓ แห่ง คงเกิดจากแรงกระแทกของยาง เวลามันหล่นทับลงบนตัวข้าพเจ้านึกไม่ออกว่ายางเส้นนี้อยู่ตรงส่วนใดของรถ มันหลุดลอยกระเด็นมาทับข้าพเจ้าให้ตัวล้มลงติดพื้นรถพ้นแรงเหวี่ยง จากการที่รถชนกันได้อย่างไร ประหลาดจริงๆ เป็นคนเดียวที่ปลอดภัยที่สุด

ในครั้งนั้นข้าพเจ้ามิได้เฉลียวใจเรื่องกุศลจิตที่เกิดขึ้นขณะนึกถึงพระคุณของบิดามารดาได้แต่นึกว่าเป็นโชคดีของตนเองที่แคล้วคลาดมาได้

ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าสนใจศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาจึงได้ทราบว่า เมื่อใดที่เรานึกถึงสิ่งดีๆ อะไรก็ตาม บุญจะเกิดขึ้นในใจทันที เรียกว่า กุศลมโนกรรม บุญอันนี้เองสามารถต้านทานบาปกรรมที่ติดตามมาทวงหนี้ทันอยู่ในขณะนั้น อย่างเช่นที่ปรากฏอยู่เสมอว่า มีผู้คนแขวนพระเครื่องชนิดนั้นชนิดนี้ไว้ที่คอแล้วรอดจากเหตุร้ายต่างๆ ก็เป็นไปในทํานองนี้นี่เองเพราะผู้แขวนสิ่งที่ใช้สมมติแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อได้รับภัยอันตรายใดๆ ก็มักจะนึกถึงพระพุทธรูปที่ตนแขวน คือนึกถึงพระพุทธองค์นั่นเอง พระพุทธคุณก็จะปกป้องคุ้มครองรักษาหรือจะว่าให้ถูกต้องตรงหลักของกรรมจริงๆ ก็คือ เมื่อนึกถึงผู้มีคุณสูงสุดในโลกนี้ คือ พระบรมศาสดาแล้วบุญย่อมเกิดขึ้นเป็นกุศลมโนกรรมค้ำคูณชีวิตผู้กระทําต้านทานอํานาจของบาปกรรมไว้ได้

อุปมาเหมือนเราเดินทางด้วยเท้า ขณะก้าวขาเดินไปแต่ละก้าวนั้น มีสุนัขวิ่งไล่มาจะกัดเรา เราก็ต้องวิ่งหนี แต่ฝีเท้าของเราสู้ของสุนัขไม่ได้ ในไม่ช้ามันจะต้องวิ่งทันและกัดเราได้แน่ๆ ทีนี้ถ้าขณะนั้นมีรถมอเตอร์ไซค์ หรือรถเก๋งผ่านมารับตัวเราเสียก่อน สุนัขก็ไล่กัดเราไม่ได้ สุนัขเปรียบไปก็คือกรรมชั่วที่เคยทําเอาไว้กําลังให้ผลนั่นเอง รถที่มารับเราก็คือกรรมดีที่เรากระทําขึ้นทันทีทันใดในขณะนั้น ช่วยได้ดังนี้
 
 
 
 
ชื่อเรื่องเดิม รอดตายเพราะคิดถึงพ่อเเม่
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม3 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.033224252859751 Mins