รูปหล่ออย่างนี้ คุณตกนรกแน่ ๆ

วันที่ 16 มีค. พ.ศ.2560

รูปหล่ออย่างนี้ คุณตกนรกแน่ ๆ

 

รูปหล่ออย่างนี้ คุณตกนรกแน่ ๆ,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน

         ดูเหมือนจะเป็นปลาย ๆ ปี พ.ศ.๒๕๓๐ จําได้ว่าอากาศเวลานั้นค่อนข้างเย็น ข้าพเจ้านั่งอยู่ท้าย ๆ ศาลา “สภาธรรมกายสากล (หลังคามุงจาก)” ของวัดพระธรรมกาย นั่งเป็นประจําอยู่ทุกวันอาทิตย์ ไม่ได้เข้าไปนั่งรวมกับกลุ่มคนอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะมักจะมีผู้คนพากันมาพบ มาปรึกษาปัญหาความทุกข์ร้อนต่าง ๆ บ้าง มาถามข้อสงสัยในหลักธรรมทั้งภาคปริยัติปฏิบัติบ้าง ต้นเหตุที่พากันมาถาม ส่วนใหญ่มาจากการอ่านหนังสือจากความทรงจํานั่นแหละ อ่านแล้วก็คิดเอาว่าข้าพเจ้าคงมีความรู้มากมายปราดเปรื่อง มีเรื่องอะไรก็พากันมาหา ส่วนตัวข้าพเจ้าเองความที่ต้องการชักชวนให้เขาประกอบกุศลกรรมต่าง ๆ ช่วยงานพระศาสนาบ้าง ทําบุญเป็นเสบียงติดตัวพวกเขาเองบ้าง ช่วยให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้บุญในฐานะให้ธรรมะเป็นทานบ้าง ทําธัมมเทสนามัยกุศล หรือได้อนุโมทนาในการทําบุญกุศลของพวกเขาบ้าง จึงต้องนั่งประจําอยู่ตรงนั้น แยกห่างจากคนอื่น มิฉะนั้นจะทําความรําคาญให้บุคคลอื่น ๆ เพราะบางคนมีปัญหาและคําพูดที่น่ารําคาญจริง ๆ พูดวกวนซ้ำซาก เวียนไปเวียนมา ฟังแล้วมึนศีรษะไปตาม ๆ กัน

     วันนั้นหลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เด็กสาวอุบาสิกาของวัดผู้หนึ่งพาเด็กหนุ่มซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเธอเล็กน้อยมาหาข้าพเจ้า เมื่อพากันนั่งลงตรงหน้า เธอพูดขึ้นว่า

     “ป้าคะ หนูพาน้องคนนี้มาพบป้า เค้ายังไม่ใคร่รู้อะไรมากเกี่ยวกับการเข้าวัดหรอกค่ะ แต่หนูเห็นว่าเค้าน่าจะเป็นกําลังให้พระศาสนา เพราะดูเป็นคนเฉลียวฉลาด หนูจึงพาเค้ามากราบป้า เผื่อป้าจะพูดอะไรให้เป็นข้อคิดแก่เค้าน่ะค่ะ”

    ข้าพเจ้าเงยหน้ามองเด็กหนุ่มผู้นั้นเต็มตา แล้วก็ต้องชะงักอยู่ครู่ใหญ่ เป็นเด็กมีบุญเก่ามามากจริง ๆ รูปร่างสมส่วน ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ติ ไม่ว่าจะเป็นรูปหน้า คิ้ว ตา จมูก ปาก ได้สัดส่วนไปหมด แถมยังผิวคล้ำนิดหน่อยแบบลักษณะผู้ชายไทย

    เมื่อพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ข้าพเจ้าก็พูดขึ้นว่า

   “  คุณนี่น่าเป็นห่วงจริง ๆ ชีวิตคุณถ้าจะให้ปลอดภัย ต้องมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มีชีวิตธรรมดาเหมือนชาวโลกทั่วไปไม่ได้ ถ้าไม่เข้าวัด ตายแล้วคุณต้องตกนรกแน่ ๆ”

    ผู้ฟังฟังแล้วหน้าเสีย แต่ไม่กล้าซักถาม เพราะเพิ่งรู้จักข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก ก็ถูกทักทายอย่างไม่เป็นมงคลเสียแล้ว อุบาสิกาที่มาด้วยอดรนทนไม่ได้ จึงถามแทนว่า

    “ทําไมคุณป้าว่าเค้าตายแล้วต้องตกนรกเล่าคะ เค้าเป็นคนมีความประพฤติดี ไม่ทําบาปเลยค่ะ” ถามพร้อมกับมองด้วยสายตาที่ท้วงติง

     ข้าพเจ้ารู้ทันจึงหัวเราะเบา ๆ “นี่ป้าไม่ได้ดูทางในหรอกนะ ดูด้วยตาเนื้อนี่แหละ รูปหล่ออย่างนี้ อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องไปเกี้ยวผู้หญิงคนไหนหรอก ผู้หญิงวิ่งมารุมเป็นกระบุงเลยเชียวแหละ ไม่เชื่อถามเจ้าตัวดูซี หน้าตามีกังวลยังงี้นะ ไม่มีเรื่องอื่นหรอก มีเรื่องเดียว ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะรักใครดี รักคนนี้ก็สงสารคนโน้น รักคนโน้นก็เห็นใจคนนั้น ตอนนี้กําลังกลุ้มเรื่องนี้อยู่ จริงมั้ย” ข้าพเจ้าหันหน้าถามเด็กหนุ่ม ซึ่งยิ้มรับแห้ง ๆ พร้อมกับตอบรับคำ

    “ครับ ผมกําลังเป็นอย่างที่คุณป้าบอกเลยครับ กําลังกลุ้มจริง ๆ”

   “นี่แหละ ที่ป้าต้องยืนยันว่า เพราะคุณรูปหล่ออย่างนี้ จึงต้องตกนรกแน่ ๆ ป้าจะอธิบายให้คุณฟังนะ แล้วก็คิดตามไปว่า ที่ป้าพูดนี่จริงหรือเปล่า สมเหตุสมผลมั้ย

     ขนาดยังเป็นหนุ่มไม่เต็มตัวเลย เพิ่งเป็นนักศึกษาปีต้น ๆ เท่านั้น ผู้หญิงตอมกันหึ่งขนาดนี้ ถ้าเรียนจบมีงานมีการทําจะยิ่งถูกตอมกันขนาดไหน ทีนี้ตอนเป็นโสดนั่นนะ คุณจะให้ความหวังแก่ผู้หญิงคนไหนหรือให้ไว้หมดทุกคนก็ได้เอ้า คุณมีสิทธิ์ทําได้  ก็แค่ชอบพอรักใคร่กัน เราไม่ได้ไปล่วงเกินอะไรเค้า จัดหลีกให้ดี ๆ หน่อยก็พอไม่มีเรื่อง แต่เมื่อไหร่คุณตัดสินใจแต่งงานไปกับใครคนใดคนหนึ่ง คุณกลายเป็นคนมีเจ้าของแล้ว

     ทีนี้ป้าขอยืนยันอีกครั้งเถอะนะ หุ่นอย่างคุณเนี่ยให้มีเจ้าของแล้วยังไง ผู้หญิงสมัยนี้เค้าไม่สนใจหรอก ก็เค้าหลงใหลคุณนี่ เค้ายอมเป็นเมียน้อยคนที่เท่าไรก็ยอม หนําซ้ำไม่ต้องให้เงินเลี้ยงดูเค้าหรอก เค้าก็ยอม ดีไม่ดีช่วยทํามาหากิน หาเงินมาให้คุณใช้ด้วยซ้ำไป เมื่อเค้ายอมทุกอย่าง มองทางโลกแล้วคุณมีแต่ได้กําไรรูปเดียว คุณไม่ใจอ่อนเหรอ ยิ่งคุณเป็นคนใจดีมีเมตตาอย่างที่เป็นอยู่นี่ คุณต้องเสียท่าเข้าวันหนึ่งจนได้ แล้วเจ้าความหล่อที่มีอยู่เนี่ย มันก็อยู่กะคุณหลายปีอยู่เหมือนกัน อาจจะเป็น ๑๐-๒๐ ปี เพราะผู้ชายแก่ช้า ไม่รู้คุณจะต้องผิดศีลข้อกาเมฯ (ศีลข้อที่ ๓) กี่ครั้งกี่หน ผิดศีลข้อนี้มันก็โยงไปถึงศีลข้อ ๔ ต้องโกหกภรรยาตัวจริง ดีไม่ดีผิดต่อไปถึงศีลข้อ ๒ ต้องยักยอกทรัพย์จากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง ไม่พอใช้หนักเข้าเพราะหลายเมีย ก็มีลูกหลายคน เลยต้องทุจริตคอรัปชั่นในหน้าที่การงาน งานดี สุจริต มีรายได้น้อยไม่พอใช้ ต้องไปทำอาชีพที่รวยง่าย ๆ เช่น เรื่องเกี่ยวกับอาชีพปาณาติบาต ทำฟาร์มกุ้ง หอย ปู ปลา หมู วัว ฯลฯ

   เห็นมั้ย แค่นี้ก็แบกนรกไปไม่รู้กี่ขุมแล้ว หรือคุณจะเถียงว่ารักเดียวใจเดียว หัวเด็ดตีนขาดยังไง ไม่มีทางนอกใจเมีย ไหนตอบยืนยันให้ป้าฟังหน่อยเถอะ ป้าจะได้รู้ตัวเองว่าทายคุณผิด

หนุ่มรูปหล่อยิ้มอาย ๆ แต่ก็กล้าตอบ ทําให้คนที่ฟังอยู่ด้วยหลาย ๆ คนนึกนิยม

  “คุณป้าพูดถูก ผมตกนรกแน่ ๆ ผมใจไม่เข้มแข็งจริง ๆ สงสารเค้าหมดทุกคนเลย เพราะแต่ละคนก็ดีกะผมทั้งนั้น ผมชักกลัวแล้วครับ คุณป้าช่วยแนะนําผมหน่อย ชีวิตผมจะทํายังไงดี”

    ข้าพเจ้าตอบ พร้อมทั้งอธิบายให้เห็นว่าตัวของเด็กหนุ่มเป็นผู้มีบุญเก่าที่กระทําไว้ในชาติปางก่อนมาก จะต้องเป็นผู้เคยรักษาศีลมาบริสุทธิ์อย่างดียิ่ง อานิสงส์ของศีลทําให้เขาเกิดมาได้รูปร่างที่สวยงาม อานิสงส์ของทานทําให้เขาเกิดในครอบครัวที่มีอันจะกิน และต้องเจริญภาวนาสร้างปัญญาบารมีไว้ด้วย จึงได้เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้

   นอกจากมีบุญเก่าไว้มากแล้ว บุญนั้นยังบันดาลให้ได้พบโชคอันเป็นมหาสมบัติที่ยิ่งใหญ่ ได้เกิดในเวลาที่ยังมีพระพุทธศาสนาอยู่

   เกิดในประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเผยแผ่ และตนเองมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน

   เกิดในครอบครัวที่นับถือพระพุทธศาสนา ไม่มีใครขัดขวาง

   สําหรับตนเองยังได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีอวัยวะทุกอย่างสมบูรณ์ และมีสัมมาทิฏฐิ

  ทั้ง ๖ ประการนี้ถือเป็นมหาสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่ได้พบ ข้าพเจ้ายังพูดตบท้ายต่อไปอย่างจริงจังว่า

      “ถ้าป้าเป็นคุณ ป้าจะไม่ยอมเสียโอกาสวิเศษอันนี้ จะศึกษาและปฏิบัติตามคําสอนของพระพุทธศาสนา ป้าจะรีบสร้างบุญสร้างบารมีให้เต็มที่ ไม่นั่งสนใจเป็นห่วงเรื่องผู้หญิง สนใจแล้วก็ต้องไปแต่งงาน แต่งงานแล้วก็มีลูก นั่งเลี้ยงลูก ลูกโตก็นั่งเลี้ยงหลาน แล้วก็แก่ก็ตาย ไม่ได้อะไรไป ดีไม่ดีขาดทุนย่อยยับ ผิดศีลตกนรก

   เป็นป้านะ ป้าจะไม่เอาหุ่นหล่อ ๆ ยังงี้ มาล่อให้ผู้หญิงหลงรักหรอก ป้าจะเอาหุ่นนี้ไปบวชเป็นพระ เป็นพระภิกษุหนุ่มรูปงามน่ะ ใครเห็นใครก็ศรัทธา เหมือนหลวงพ่อของเราไงล่ะ ใครเห็นก็ต้องสะดุดใจว่าในพระพุทธศาสนาภาคปฏิบัตินี้ ต้องมีอะไรดี ๆ อยู่แน่ ไม่งั้นคนรูปหล่อขนาดนี้ไม่เสียสละชีวิตอุทิศให้พระพุทธศาสนาหรอก

  เอารูปงามๆ ของคุณมาชักจูงคนให้เข้าหาพระพุทธศาสนา ให้เขาได้ประกอบกุศลกรรม ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือจะเอารูปงาม ๆ นี่มาหลอกล่อให้พวกผู้หญิงหลงใหล เป็นเหตุให้เราทําบาปตายแล้วลงนรก อย่างไหนดีกว่ากัน

  คุณบวชแล้วก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วย สั่งสอนอบรมผู้คนได้ง่ายด้วย ตายแล้วก็ไปสุคติ กับมีชีวิตครองเรือนตายแล้วไปอบายภูมิ ถ้าเลือกไม่ถูกก็บรมโง่แล้วคุณเอ๊ย

    อีกฝ่ายนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดฟัง คงจะไม่เคยมีใครว่าเขาด้วยคำแรง ๆ อย่างนี้ โง่ คําเดียวไม่พอ ต้องเติมคําว่า บรมเข้าไปให้หนักแน่น

   นิสัยของข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้ เสียหายมานานแก้ไขไม่สําเร็จ สอนใครไม่ใคร่อ่อนหวาน คอยแต่จะใช้มีดใช้ขวานผ่าตัดเสียร่ำไป เด็กหนุ่มรูปหล่อคนนี้คงเคยได้รับแต่คําพูดอ่อนหวานจากผู้คน เมื่อถูกข้าพเจ้าพูดด้วยถ้อยคําประเภทเผ็ด ๆ จึงค่อนข้างงุนงง

  เพื่อทําให้บรรยากาศคลายเครียด ข้าพเจ้าจึงเล่าถึงอานิสงส์ของการบําเพ็ญเนกขัมมะว่าเป็นประโยชน์มากมายต่อชีวิตในชาติปัจจุบันและอนาคตชาติภายภาคหน้าอย่างไรว่า ตนเองบวชมีอานิสงส์ถึง๖๔ มหากัป มหากัปหนึ่ง ๆ ยาวนานแค่ไหน ตลอดเวลาเหล่านั้นจะมีโอกาสสร้างบารมีต่อเนื่องกันไป นับเป็นกําไรชีวิตอย่างยิ่ง ดีกว่าการไปตกนรกเป็นกัป ๆ

    “เกิดมาเป็นผู้ชาย ไม่ได้บวช ก็เหมือนซื้อล็อตเตอรี่ถูกรางวัลที่หนึ่งนับจํานวนไม่ถ้วน แต่ไม่เคยไปขึ้นเงินเบิกเอามาใช้เลยซักฉบับเดียว ป้าเป็นผู้หญิง เป็นเพศอาภัพบวชไม่ได้ (เพราะสมัยนี้ไม่มีการบวชภิกษุณีกันแล้ว ระเบียบการบวชภิกษุณี ต้องมีพระภิกษุเป็นพยานทั้งสองฝ่าย คือทั้งที่เป็นเพศชาย และเพศหญิง เมื่อพระภิกษุณีไม่มีผู้บวชตั้งแต่สมัยพุทธกาลล่วงไปได้ ๕๐๐ ปีโน้น จึงเป็นอันสิ้นสุดการบวชเป็นภิกษุณีกันไป) เหลือแต่ผู้ชายเท่านั้นที่บวชเป็นพระภิกษุได้ ป้าได้แต่เสียดายแทนพวกคุณ โง่จริง ๆ ถูกรางวัลที่ ๑ แล้วไม่ยอมเบิก ยอมเป็นคนจนบุญ อยากรวยบาป”

     เมื่อเห็นว่าให้คําแนะนําต่าง ๆ อย่างดุเดือดมาพอสมควร ข้าพเจ้าก็ขอให้เขานําไปคิดไตร่ตรองดูเอาเอง ท่านผู้อ่านอาจนึกไม่ถึง เด็กหนุ่มผู้นั้นได้มาวัดตลอดมาอย่างสม่ำเสมอจนทุกวันนี้ มาช่วยงานด้านต่าง ๆ ของวัดอย่างขยันขันแข็ง ข้าพเจ้าเห็นเขาช่วยจนกระทั่งงานถีบ ๓ ล้อ ขนของใช้นําไปไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เห็นแล้วข้าพเจ้าก็แอบดีใจอยู่เงียบ ๆ

      “เจ้าประคุณเอ๋ย ขอให้วงการพระพุทธศาสนาได้พระภิกษุรูปงามอีกสักองค์มาช่วยงานเถิด

      แล้ววันหนึ่ง บิดามารดาของเด็กหนุ่มได้มาหาข้าพเจ้าที่วัด

    “แต่เดิมก็กลัวลูกชายจะเจ้าชู้เหลวไหล เห็นเข้าวัดได้ก็ดีใจ แต่ตอนนี้เข้ามากเกินไป ไม่ใคร่ยอมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเสียแล้ว เกรงจะสอบตก ขอให้คุณป้าพูดให้ไปเรียนหน่อย”

     จําได้ว่าข้าพเจ้ารับคํา เรื่องการศึกษาทางโลกนับเป็นสิ่งสําคัญเหมือนกัน ถ้าพระภิกษุสงฆ์ผู้มีหน้าที่ประกาศพระศาสนามีความรู้เป็นบัณฑิตทางโลกมาก่อนบวช เมื่อทําการสั่งสอนอบรมผู้คน ท่านมักได้รับความเลื่อมใสและการยอมรับ ถ้ามิฉะนั้นแล้ว พวกมิจฉาทิฏฐิบางคนมีใจดูหมิ่นว่า พระภิกษุนั้น ๆ เป็นคนโง่ เรียนทางโลกไม่ได้ จึงหนีมาบวช คิดดูถูก ก็ไม่สนใจทําตามคําสั่งสอน

       ด้วยความจําเป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงมักขอร้องบรรดาผู้ที่สนใจทางธรรมทุกคน ขอให้เล่าเรียนอย่างน้อยให้จบปริญญาตรีทางโลกก่อน

       ท้ายที่สุด ข้าพเจ้าได้พบหนุ่มน้อยผู้ที่เล่าถึงนี้อีก ราวกลางปี ๒๕๓๒ เขามาขอคําแนะนําว่า

       “ทํายังไงดีครับป้า พ่อกับแม่ผมไม่ยอมเข้าวัดซักที ท่านยังประมาทในชีวิตกันอยู่ทั้งคู่เลยครับ”

        ช่างเป็นความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่ที่น่าชื่นใจแท้ ข้าพเจ้าแนะนำให้ตามสมควร แต่ไม่ลืมย้ำหนักแน่นว่า

    “เราทุกคนต้องเป็นห่วงตัวเองให้มาก พยายามสร้างบุญสร้างบารมีให้มากที่สุด ตั้งแต่อยู่ในคุณความดีพอสมควรเสียก่อน เป็นห่วงใคร ๆ เพราะสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นเกิดศรัทธาได้ง่าย โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรม ถ้าใจเป็นห่วงเป็นกังวลใครต่อใครอยู่ตลอดเวลาแล้ว จะเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรม”

      นี่คือเรื่องการคิดเป็น คิดได้ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง


 

 

 

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล 

จากความทรงจำ เล่ม๔

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0022177656491597 Mins