๘ พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว มีจริง
ประการสุดท้ายของสัมมาทิฏฐิ คือ มีความเชื่อว่า สมณะหรือนักบวชที่หมดกิเลสได้มีจริง พูดง่ายๆ เชื่อว่า พระพทุธเจ้ามีจริง เชื่อว่าคนที่ดี่สมบรูณ์แบบเป็นพระอรหันต์ มีจริง ถ้ามีความเชื่อความเข้าใจอย่างนี้ การที่จะมีกำลังใจสูงที่จะทำความดีให้ยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งถึงกับประกาศว่า เกิดมาเพื่อสร้างบารมีล่ะก็ เพราะมีความเชื่อมั่นในข้อนี้ เขาจึงจะมีกำลังใจอันยิ่งใหญ่ที่จะเตือนตัวเองว่า ฉันเกิดมาเพื่อมา สร้างบารมีหรือเกิดมาสร้างความความชั่วไม่เอา คนลักษณะนี้เขาจะต้องมีสัมมาทิฏฐิประการที่ ๘ เป็นตัวค้ำ
ถ้าไม่มีประการที่ ๘ ก็ไม่เอา มีโอกาสจะทำความดี มันก็ไม่ทุ่มเต็มที่ เพราะยังลังเลอยู่ว่าจะมีหรือไม่มีก็ยังไม่รู้เลย จะเอาแค่ทำเผื่อเหนียวไว้ก่อน ถ้าทำเผื่อเหนียวแล้ว เขาจะไม่ทุ่มเท เมื่อไม่ได้ทุ่มเท ก็ทำแบบกะพร่องกะแพร่ง ทำงานแทนที่จะเอากันเต็มกำลัง มันก็เหลือทำเช้าชามเย็นชาม หนักเข้าๆ ก็เลยเหลือเช้าช้อน เย็นช้อน ปากก็บอกว่าทำเช้าชามเย็นชาม แต่ผลออกมาทำ เช้าช้อนเย็นช้อน ตัวเองก็อยู่ไม่ได้ ครอบครัวก็อยู่ไม่ได้ บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้
แต่ว่าถ้ามีความเชื่อว่าสมณะชีพราหมณ์ที่ปราบกิเลสได้มีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง พระอรหันต์มีจริง บุคคลที่ทำ ความดีแล้วได้ดีจริงมีอยู่ ถ้าเราจะทำบ้าง มีความเชื่อมั่นอย่างนี้ การทุ่มเทสร้างความดีก็จะทำเต็มที่ในฐานะที่เป็น นักบริหาร นักปกครอง หรือแม้ที่สุด อาจจะยังไม่เชื่อว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง แต่เพียงเชื่อว่าทำดีต้องได้ดีจริง แม้เพียงระดับนี้ได้ดีจริง ก็สามารถไปปลูกฝัง สัมมาทิฏฐิ ให้กับคนในบังคับบัญชาของเราได้ แต่ถ้าเมื่อไร มีครบทั้ง ๘ ประการนี้ ก็บอกว่าลอยลำแล้ว
ถึงคราวจะมีโอกาสทำความชั่ว ก็สามารถ ติดเบรคให้กับตัวเองได้เต็มที่ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ใครจะเห็น หรือไม่เห็น ใครจะมา เป็นโจทก์เป็นพยานมาชี้ตำหนิอะไร เราไม่สนหรอก ถ้ารู้เป็นความชั่วเป็นไม่เอา ถ้าเป็นความดี ก็ทุ่มเทกันเต็มที่เลย
จากหนังสือ สัมมาทิฏฐิ รากฐานการพัฒนาชีวิต
โดยคุณครูไม่เล็ก