นึกได้ก็เห็นได้

วันที่ 08 กค. พ.ศ.2563

นึกได้ก็เห็นได้

 

 

 

ดี ที่สุดหยุดไว้

ตรงกลาง

แล้ว จักพบหนทาง

พ่อชี้

ลูก นิ่งสนิทจิตพร่าง

พราวสว่าง

รัก ถูกธรรมตามนี้

หลีกลี้กิเลสมาร

                                                                                                       ตะวันธรรม

 

        เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะ

 

         ทำใจของเราให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลดปล่อย วาง ทำใจให้ว่างๆ แล้วก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้นปราศจากอวัยวะ สมมติว่าไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง กลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ

 

ทางเดินของใจ ๗  ฐาน 

 

 

          คราวนี้เราก็มาทบทวนคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ที่ท่านอบรมสั่งสอนเกี่ยวก้บเรื่องทางเดินของใจซึ่งเป็นทาง ไปเกิดมาเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย รวมทั้งตัวของเราด้วย  อาทิตย์หนึ่งเรามาประชุมพร้อมกันต้องมา ทบทวนหลักวิชชาเอาไว้ แต่เมื่อเรากลับไปปฏิบ้ติที่บ้านในวันธรรมดา เราก็เอาใจไปไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เลย  

 

            ทางเดินของใจมีทั้งหมด ๗ ฐาน

            ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา

            ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา หรือตรงหัวตาที่นํ้าตาไหล ท่านหญิงอยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา

             ฐานที่ ๓ อยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา

             ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก

             ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก

             ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้องของเราในระดับเดียวกับสะดือโดย   สมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงใหัตึงเส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้ายซ้าย ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้แหละเรียกว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบใสบริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่

            ธรรมดวงนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีธรรมดวงนี้ เรามาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ธรรมดวงนี้จึงทรงรักษากายมนุษย์เอาไว้

            ถ้าผ่องใสไม่เศร้าหมองชีวิตก็รุ่งเรือง ถ้าเศร้าหมองไม่ผ่องใสชีวิตก็ร่วงโรย ถ้าธรรมดวงนี้ดับ ชีวิตก็ดับไปด้วย ธรรมดวงนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าใครฝึกใจให้หยุดนิ่งแล้วจะต้องเข้าถึงอย่างแน่นอน ที่เข้าไม่ถึงธรรมนั้นเป็นไม่มี ถ้าได้ทำก็ทำได้ ทำไม่ได้มีเพียงประการเดียวคือ ไม่ได้ทำ หรือทำไม่ถูกหลักวิชชา เท่านั้น เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันให้เราอุ่นใจว่า ทำความเพียรไปเถิด ให้ถูกหลักวิชชา ทุกวันทุกคืนให้สม่ำเสมอเราจะต้องเข้าถึงธรรมกันอย่างแน่นอนไม่ถึงเป็นไม่มี

           เพราะฉะนั้น เราจะได้เลิกวิตกกังวล เลิกท้อแท้ท้อถอยกัน เมื่อเรายังทำไม่ได้ผล เพราะธรรมดวงนี้เป็นเครื่องยืนยัน ว่าต้องได้แน่
          

           ฐานที่ ๗ อยู่เหนือจากฐานที่ ๖ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติว่า เราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า ฐานที่ ๗

 

            ทั้งหมด ๗ ฐาน เป็นทางเดินของใจ ไปเกิดมาเกิดต้องอาศัยทางนี้แหละ สำคัญทุกฐานแต่ที่สำคัญที่สุดก็คือฐานที่ ๗ เพราะว่าเป็น ที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ ที่ตื่น และเป็นทางไปสู่อายตนนิพพานทางหลุดทางพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลายได้ เป็นทางเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ความสมหวังในชีวิต และเป็นทางที่จะทำให้เราเข้าถึงความรู้ที่แท้จริง ที่เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิต  ทำให้ชีวิตรอดปลอดภัย มีชัยชนะ และเป็นทางที่จะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวด้วย

 

 ซ้อมร้อยวัน แพ้ชนะวันเดียว

 

             ฐานที่ ๗ นี้จึงสำคัญ เกิด ดับ หลับ ตื่น อยู่ตรงนี้ เกิดเรามาเกิดแล้ว แต่ดับ คือตาย ก็ต้องตายตรงนี้ และตรงนี้สำคัญเป็นทางไปสู่ปรโลก ถ้าใจใสไม่เศร้าหมองสุคติก็เป็นที่ไป ถ้าใจหมองไม่ผ่องใสทุคติเป็นที่ไป หลักวิชชามีอยู่ตรงนี้  เราฟังกันทุกอาทิตย์เพื่อตอกยํ้าความทรงจำของเราให้แน่นเข้าไปเรื่อยๆ จะได้ไม่ประมาทชะล่าใจ

 

                    ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงความตายและการไปสู่ปรโลกไม่ได้เพราะฉะนั้นต้องฝึกซ้อมตรงนี้เอาไว้ให้ดี ซ้อมกันทุกวัน  วันละหลายๆ ครั้ง ทำให้เป็นให้ได้ ให้มันใสให้ได้ ฝึกซ้อมหลายวัน แพ้ชนะกันวันเดียว ในวันสุดท้ายสงครามศึกชิงภพสุคติและทุคตินั้นแหละ เราจะเอามาใช้ตรงนี้

 

             ถ้าใจใสแล้วจะมีแต่ภาพดีๆ บังเกิดขึ้น เราจะหนีภาพไม่ได้ กรรมนิมิต กรรมารมณ์ หนีภาพการกระทำไม่พ้นเลยซึ่งกรรมนิมิตจะทำให้เราเข้าถึงคตินิมิต ก็จะมีภาพคตินิมิตอีกนั้นแหละ ภาพที่จะไปสู่สุคติหรือทุคติ ทั้งนั้นภาพสุดท้ายต้องสดใส ต้องสวยงามเป็นภาพสรุปงบดุลของชีวิตและภาพอะไรดีไม่เกินไปกว่าภาพดวงธรรมหรือองค์พระที่ฉายขึ้นให้ดูบนจอนั้นแหละ พอเป็นแนวทางให้เรารู้ว่าภาพสุดท้ายต้องอย่างน้อยอย่างนี้

 

            จะเริ่มต้นด้วยภาพอะไรก็แล้วแต่ เวลาใจใสแล้วต้องได้ภาพอย่างนี้ ดวงใสหรือองค์พระใสๆ ที่จะนำเราไปสู่สุคติภพ เพื่อทำให้ชีวิตหลังความตายนั้นมีแต่ความสุขสมหวังอันยาวนานกว่าตอนที่มีกายมนุษย์นี้อยู่ มันนานเสียจนกระทั่งเรานึกไม่ถึง หรือไม่ค่อยจะเชื่อด้วยว่ามันจะนานอะไรขนาดนั้น  ทั้งสุคติทุคติ ทุคติเป็นที่ที่ไม่ควรไป แต่สุคติเป็นที่ที่ควรไป

 

การฝึกใจให้หยุดนิ่งเป็นงานทึ่แท้จริง

 

            การที่เรามาฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ก็เพื่อต้องการให้ใจใสๆ เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้เราได้มีความสุขในปัจจุบันทันทีที่เข้าถึง เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ ที่เราไม่เคยนึกเลยว่า มีความสุขชนิดนี้มาก่อนจะทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องราวความจริงของชีวิตเพิ่มเติมขึ้นจากที่เราได้รู้ได้เห็นด้วยตามนุษย์ มันจะมีความรู้ที่เพิ่มเติมขึ้น เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ชีวิตปลอดภัยและมีชัยชนะ มีความสมหวัง เมื่อใจหยุดนิ่งแล้วจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็เป็นทางมาแห่งบุญด้วย

 

           เพราะฉะนั้น ต้องซ้อม ต้องฝึกเอาไวันี่ คือกรณียกิจ คือกิจที่แท้จริง หรืองานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติของตัวเราส่วนกิจอย่างอื่นเป็น อกรณียกิจ ที่จะไปเที่ยวเตร่สนุกสนานเพลิดเพลินมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

 

                  โลกใบนี้ที่เรามาเกิดไม่ใช่เป็นโลกแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่เป็นโลกแห่งการสร้างบารมี เติมบุญเติมบารมีของเราให้กลั่นกล้าเพิ่มเติมขึ้นมีทำมาหากินกับทำมาสร้างบารมีเท่านั้นที่เป็นเรื่องหลัก เมื่อกายหยาบต้องกินต้องใช้เราก็ต้องทำมาหากินกันไป ประกอบสัมมาอาชีวะกันไป แต่กิจที่แท้จริงคือการหยุดนิ่ง                  

 

                      หยุดนิ่งเป็นกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของต้วเราและมวลมนุษยชาติทั้งหลาย เพื่อให้ใจใส พอตอนสุดท้ายของชีวิตที่เราหลีกเลี่ยงภาพไม่ได้ เราก็จะต้องให้ได้ภาพที่ดี นี่พูดถึงการตายอย่างปกติที่ไม่ใช่ โดยอุบัติเหตุนะ เราหนีภาพไม่พ้นเพราะฉะนั้นต้องให้ใสเอาไว้

 

                      อาทิตย์หนึ่งเรามาปฏิบ้ติธรรมร่วมกันก็มาฝึกกันอย่างนี้แหละ ทำให้ม้นได้ ทำให้มันมี ทำให้มันเป็นกันเสีย

 

              ฝึกกันไปทุกๆ ว้น จะต้องสมหวังกันอย่างแน่นอน อย่าไปท้อแท้ อย่าไปท้อถอย อย่าไปเกียจคร้าน ขี้เกียจปฏิบ้ติธรรม แต่ขยันทำอย่างอื่น อย่าใช้ชีวิตอย่างนั้นกันนะ

 

            เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้จำกัด จำกัดจริงๆ ที่ผ่านมาก็ทิ้งเปล่าไปเสียตั้งเยอะ เพิ่งสร้างบารมีกันไปได้นิดๆ หน่อยๆ และเวลาที่เหลืออยู่เท่าไรก็ไม่รู้  นิดเดียวจริง ๆ เพราะฉะนั้นจะต้องเอาเวลา ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี้ เอามาใช้ให้มีคุณค่า ให้เป็นประโยชน์อันสูงสุดด้วยการสั่งสมบุญบารมีทั้งทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น

 

           โดยเฉพาะตอนนี้เรากำลังจะทำกิจสำคัญคือ เจริญสมาธิภาวนา ซึ่งฐานที่ ๗ จะอยู่เหนือฐานที่ ๖ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ จำตรงนี้ให้ดีนะ

 

ฝึกบ่อยๆ จะนึกได้และเห็นได้   

 

          คราวนี้เราก็นึกน้อมเอาภาพองค์พระในกลางดวงแก้ว ที่ท่านนั่งหลับตาเจริญภาวนาหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรานั้นน่ะ ภาพที่เอามาฉายให้ดูเป็นภาพองค์พระ top view คือมองจากด้านบนลงไปด้านล่าง ตั้งแต่ปลายเกตุดอกบัวตูม ที่ตั้งอยู่บนจอมกระหม่อม บนพระเศียรที่เรียงรายไปด้วยเส้นพระศกเส้นผมที่ขดเป็นทักษิณาวัตร หมุนขวาตามเข็มนาฬิกา เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เป็นถ่องแถวอย่างนั้น มองเห็นพระเศียรตั้งอยู่บนบ่า คอเราไม่เห็นหรอก บนบ่าทั้งสองบนไหล่ แขนทั้งสองฝ่ามือที่หงายขึ้น นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายเหมือนกายหยาบอย่างนี้แหละ วางบนหน้าตักที่ขาขวาทับขาช้าย   

 

          ภาพบนจอยังไม่ใสเท่าไร แต่ภาพความจริงจะใส ตั้งแต่ใสเหมือนนํ้า ใสเหมือนกระจก ใสเหมือนเพชรที่ต้องแสงมีประกายเจิดจ้า นั่งอยู่บนแผ่นฌานในกลางดวงแก้วที่ครอบเอาไว้ จำภาพนี้ให้ดีนะ    

 

 

         นึกบ่อยๆ ที่นอกเหนือจากเวลานั่งให้นึกเอาไว้ นึกบ่อยๆ เดี๋ยวเราก็นึกได้ นึกได้มันก็เห็นได้ มันจะเป็นขั้นเป็นตอนนะ ที่เรายังเห็นไม่ได้ เพราะเรายังนึกไม่ได้ ที่นึกไม่ได้เพราะไม่ค่อยจะนึกกัน มันไปนึกเรื่องอื่น เรื่องคน สัตว์สิ่งของ ทำมาหากิน ครอบครัว เรื่องอะไรที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าเท่าไรหรอก ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร และเอาไปใช้ในตอนช่วงสุดท้ายของชีวิตไม่ได้ มักจะไปนึกเรื่องอย่างนั้น เปิดทีวีดู เปิดวีดีโอ ดูหนัง ดูละคร อะไรกันไป ซึ่งขืนเอาภาพเหล่านั้นให้ติดกลางใจ เวลาตายจะไปไหนก็นึกเอาก็แล้วกันแต่ภาพที่สำคัญนี่ไม่ค่อยจะได้นึก ซึ่งเป็นภาพที่สำคัญต้องเอามาใช้ ถ้าเรานึกบ่อยๆ ก็นึกได้นะลูกนะ นึกได้มันก็เห็นได้จะเป็นขั้นเป็นตอนไป

 

ความรู้ภายในจากใจที่หยุดนิ่ง   

 

         เรานึกได้มันก็เห็นได้ พอเห็นได้เราก็ศึกษาได้ ศึกษาความรู้ภายใน ความรู้อันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ เราก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมจากที่เราได้เคยศึกษาว่า ชีวิตมนุษย์มีแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ วนเวียนกันอยู่อย่างนี้เรื่องกลัว กิน กาม เกียรติ หรือได้อ่านหนังสือ ได้เรียนรู้กฎแห่งกรรมเรื่องอบายภูมิอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่ว่ามันยังเป็นความรู้ในระดับพื้นผิว ทราบแต่มันยังไม่ซึ้ง ยังตื้นๆ อยู่ 

 

        ทีนี้พอเราทำอย่างนี้ได้ เราก็เรียนรู้ได้เพิ่มเติมว่า เออ ภายในกายของเรานี่น่ะ เมื่อใจหยุดแล้วมันมีแสงสว่างในตัวที่นอกเหนือจากแสงสว่างภายนอกที่เราเคยเห็น แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว แสงไฟฟ้าที่มนุษย์ประดิษฐ์ แสงไฟ แสงเทียน อะไรอย่างนั้นเป็นต้น แล้วมันมีแสงในตัวด้วยนะ แต่ว่าเนียนละมุนละไมตา แตกต่างจากแสงภายนอก เห็นไหมจ๊ะ ความรู้เราเพิ่มเติมแล้ว เออ มันมีความสุขที่แปลกแตกต่างลึก กว้าง ไม่มีถ้อยคำที่จะนำมาใช้กับความสุขภายในที่เราได้ไปสัมผัสนี้ แต่เรารู้ด้วยใจ ยากที่จะรู้ด้วยถ้อยคำ เห็นไหมเรามีความรู้เพิ่มแล้วว่า เออ มันมีความสุขชนิดนี้อยู่นะ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย และก็รู้เพิ่มเติมไปอีกว่า ข้างนอกที่เราเคยเจอไม่น่าจะเรียกว่า ความสุข มันจะเรียกว่า ความเพลิน มากกว่า สนุกสนาน เพลินๆ ให้มันผ่านไปวันๆ อย่างนั้น

 

          พอหยุดไปได้อีกระดับหนึ่ง เออ มันมีดวงธรรมภายในนะดวงกลมๆ ภายในก็กลมเหมือนดวงแก้วภายนอก แต่ทำไมความรู้สึกมันแตกต่างกัน จากการที่เราเห็นดวงแก้วภายนอกกับเห็นดวงธรรมภายใน เห็นดวงแก้วภายนอกเห็นแล้วก็เฉย ๆไม่สุขไม่ทุกข์ มันธรรมดา ๆ แต่เห็นข้างใน มันปลื้ม มันรื่นเริง

 

           เห็นภายใน มันรื่นเริง เหมือนเรากำลังดูเพลินๆ เปลี่ยนไปอีกมิติหนึ่ง เหมือนเราหล่นไปในสถานที่รื่นเริงที่มีความบันเทิงใจ แตกต่างจากสถานที่รื่นเริงที่เราเคยเจอนั้นนะ มันมีชีวิตชีวาไปทุกระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และดูเหมือนจะขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นความรู้เพิ่มเติม

 

           เดี๋ยวก็เพิ่มเติมเห็นกายในกายล่ะ เออ ภายในนี้มีกายมนุษย์ละเอียด มีกายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กระทั่งมีกายธรรม เห็นพระรัตนตร้ยในตัว ความรู้จะเพิ่มเติมไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดเลย

 

           เหมือนเราเอาเถาปิ่นโตมาเปิด ชั้นแรกว่าอร่อยแล้วชั้นถัดไปอร่อยเพิ่มชั้น เป็นเถาปิ่นโตที่ไม่มีชั้นที่สิ้นสุด ต่อเป็นชุด เป็นชั้น เป็นตอน เป็นภาค เป็นพรืดไปเลยเยอะแยะสนุกสนานบุญบันเทิง นี่คือเรื่องราวความรู้ภายในที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งออกไปในมหาสมุทรแห่งความรู้แจ้งเห็นจริง ความรู้อันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีขอบเขต unlimited knowledge ทีเดียว ความรู้ที่ไม่มีขอบเขต โอ้โฮ สนุกสนานเบิกบานไปเรื่อยๆเราจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมกันไป

 

หมั่นฝึกฝน เดี๋ยวใจก็หยุดนิ่งได้เอง 

 

          อย่าขี้เกียจนั่ง ให้ขยัน และก็เป็นทางมาแห่งบุญของเราด้วย บุญจะเกิดขึ้นทุกวันทุกคืน ร่างกายมันเสื่อมไปทุกๆวัน โรคภัยไข้เจ็บก็ปรากฏเกิดขึ้น ความชรา ความเหี่ยวย่นที่เราไม่ต้องการมันปรากฏ และเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรี่ยวแรงก็ลดน้อยถอยลงไป เพราะฉะนั้นใช้กายมนุษย์หยาบนี้ให้เป็นประโยชน์นะลูกนะ ศึกษาฝึกฝนกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใจของเราก็จะหยุด จะนิ่งได้ พอหยุดนิ่งได้ก็เข้าถึงความเป็นจริงของชีวิต     

 

         ตอนนี้เราจำภาพนี้เอาไว้ ภาพองค์พระกลางดวงแก้ว จำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ นึกไป จำไม่ได้ เราก็ลืมตามาดูบนจอ แล้วเวลาเราไปนั่งที่บัาน หรือในอิริยาบทอื่น เราก็เอามาตั้งไว้ตรงนี้เลย ไม่ต้องไปเริ่มฐานที่ ๑ มาถึงฐานที่ ๗ นะ มาหยุดมานิ่ง ตรงนี้แหละ ใจหยุดใจนิ่ง ให้ใจใส 

 

            นึกบ่อยๆ ก็นึกได้ นึกได้บ่อยๆ ก็เห็นได้เห็นได้บ่อยๆ ก็เข้าถึงได้ เข้าถึงบ่อยๆ ก็ศึกษาได้จะเป็นขั้นตอนอย่างนี้ เขาทำกันได้เยอะแยะเราเป็นคนเช่นเดียวกับเขา ถ้ามีความเพียรไม่น้อยหน้าเขา เราก็ต้องทำได้นะลูกนะ

 

         ต่อจากนี้ไป ให้ตรึกถึงองค์พระใสๆ นั่งอยู่ในกลางดวงแก้วหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา มองไปอย่างสบายๆ ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น เมื่อยก็ขยับ คันก็เกา ฟุ้งก็ลืมตามาดูบนจอ หายฟุ้งเราก็หลับตาลงไปใหม่ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการกันไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็จะสมหว้งดังใจตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้ดีนะ จะภาวนา สัมมา อะระหัง ประกอบไปด้วยก็ได้หรือจะไม่ภาวนาก็ไม่เป็นไร ฝึกใจหยุดนิ่ง ให้ใจใสๆ ฝึกประคองใจไป ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในด้วยกันทุกๆ คน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ นะ     

 

พระเทพญาณมหามุนี วิ.

วันอาทิตย์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 3 

          โดยคุณครูไม่ใหญ่

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015398701032003 Mins