ตอนที่9 กบคนหลฺลิ...
พุทธศิลป์ถิ่นอารยธรรม
กนคนหลฺลิมีความสำคัญอย่างไร ทำไมเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อนคนจำนวนมากจึงหลั่งไหลมายังสถานที่แห่งนี้ และทำไมการขุดค้นพบแหล่งพุทธศิลป์ ณ ที่แห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน ยังนำมาซึ่งการค้นหาคำตอบในปริศนาต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน
ร่วมย้อนเวลาสืบค้นร่องรอยยังดินแดนถิ่นอารยธรรม แห่งศูนย์กลางพระพุทธศาสนาไปด้วยกัน
ณ ริมฝั่งแม่น้ำภีมะ ห่างจากหมู่บ้าน Sannati ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 3 กิโลเมตร ในเขตรัฐกรณาฏกะ ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย การค้นพบโดย Kapatral Krishna Rao เมื่อปีพ.ศ. 2497 เป็นจุดเริ่มต้นให้องค์การสำรวจโบราณคดีอินเดีย หรือ ASI (Archaeological Survey of India) ขุดค้นพบแหล่งโบราณคดีกนคนหลฺลิ (Kanaganahalli) ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาสมัยราชวงศ์ศาตวาหนะ
Dr. Christian Luczanits นักประวัติศาสตร์ศิลป์ ระบุว่าแหล่งโบราณคดีนี้มีอายุในช่วงราว 100 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึงคริสต์ศักราชที่ 300 ถือเป็นหลักฐานโบราณสถานที่สำคัญอย่างยิ่งแห่งหนึ่งของพระพุทธศาสนายุคต้นในประเทศอินเดีย
การขุดค้นพบคลังจารึกที่พระมหาสถูปเผยให้เห็นประติมากรรมอันงดงาม แสดงถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนายุคต้นในประเทศอินเดีย เป็นหลักฐานใหม่ที่กระตุ้นนักวิชาการสาขาวิชาบาลีและพุทธศาสนศึกษาให้กลับมาทบทวนทฤษฎีต่าง ๆ ที่เคยเชื่อถือกันมานาน
Prof. Oskar von Hinüber
และเมื่อครั้ง Prof. Oskar von Hinüber ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีและปรากฤตเดินทางมาร่วมงานสัมมนาวิชาการร่วมกับโครงการพระไตรปิฎกฉบับวิชาการ เมื่อปีพ.ศ. 2558 ก็ได้บรรยายถึงความสำคัญของแหล่งโบราณคดีกนคนหลฺลิในหัวข้อเรื่อง “Buddhist Text and Images New Evidence from Kanaganahalli” (คัมภีร์พระพุทธศาสนาและพระพุทธรูป: หลักฐานใหม่จากกนคนหลฺลิ)
Prof. Oskar von Hinüber ได้กล่าวถึงภาพรวมการค้นคว้าอ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้ว่า เราจะเข้าใจเรื่องราวของหลักฐานใหม่ที่ค้นพบได้นั้น ต้องโยงกลับไปที่ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดียยุคโบราณก่อน
เราจะเห็นได้ว่าอินเดียซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองมาหลายร้อยปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปอิทธิพลทั้งจากภายนอกและภายในทำให้พระพุทธศาสนาสูญหายไปจากแดนกำเนิด แต่สิ่งที่ยังหลงเหลือ คือ ศาสนสถานและศาสนวัตถุที่บอกเล่าเรื่องความรุ่งเรืองแห่งพระธรรมคำสอนในอดีตได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้หลักฐานบางชิ้นก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมเกินกว่าจะสามารถนำมาศึกษาได้ บางชิ้นอยู่ในสภาพชำรุดเพียงบางส่วนซึ่งผู้เชี่ยวชาญพยายามนำมาปะติดปะต่อถอดความ ในกรณีเช่นนี้มีหลายครั้งที่การถอดความในครั้งแรกอาจมีเนื้อความที่ดูเหมือนถูกต้อง แต่ต่อมาเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมโดยนำหลักฐานจากแหล่งอื่นมาเทียบเคียงจึงได้เนื้อความที่ถูกต้องสมบูรณ์ในภายหลัง
จึงเห็นได้ว่าสิ่งที่เคยมีการศึกษามาแล้วควรนำมาศึกษาซ้ำอีกเพื่อความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น แต่หลักฐานบางแหล่งก็ถูกเก็บรักษาอย่างดีจึงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และสามารถบอกเล่าเรื่องราวในตัวเองได้อย่างกระจ่างชัด
ตัวอย่างเช่น ภาพสลักหินจากสถูปภารหุตซึ่งอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือของอินเดียแสดงเรื่องราวท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างพระเชตวันมหาวิหารถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้านล่างปรากฏอักษรพราหมีจารึกอย่างชัดเจนว่า “เชตวน อานาธปิฑโก เทติ โกฎีสํถเตน เกตา” ภาพนี้มีเนื้อหาครบถ้วนและอยู่ในสภาพที่ชัดเจนสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นเรื่องราวในพระพุทธศาสนาที่รู้จักกันอย่างดี การตีความจึงทำได้ง่าย
ภาพสลักหินจากสถูปภารหุต
ในขณะที่จารึก Kesanapalli มีอักษร ๒-๓ ตัวที่คลุมเครือ ทำให้การตีความในครั้งแรกยังคลาดเคลื่อน ต่อมาเมื่อนักวิชาการมาศึกษาเพิ่มเติมในภายหลังจึงได้ข้อความที่ครบถ้วนสมบูรณ์
จารึก Kesanapalli
สำหรับมหาสถูปอายุเก่าแก่กว่า ๒,๐๐๐ ปี ที่ค้นพบแถบหมู่บ้านกนคนหลฺลินั้น ปรากฏเรื่องราวพุทธประวัติชาดกและพระพุทธรูปมากมาย แม้สภาพบางส่วนจะเป็นซากปรักหักพัง แต่การค้นพบจารึกอักษรพราหมีและส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรมและศิลปะ ณ แหล่งโบราณคดีนี้ก็มีนัยสำคัญที่เปิดโลกทัศน์การค้นคว้าวิจัยภาษาศาสตร์ โบราณคดี และสะท้อนรูปแบบการเมือง เศรษฐกิจ กรอบวัฒนธรรม รวมทั้งความคิดของผู้คนในยุคพระพุทธศาสนาตอนต้นที่แสดงออกเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้
ณ ที่แห่งนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ มีประเด็นใหม่ ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการเองก็ยังหาข้อสรุปชี้ชัดไม่ได้ เพียงลงความเห็นและความเป็นไปได้อ้างอิงตามหลักวิชาการไว้เพื่อการศึกษาต่อในอนาคต อาทิเช่น
องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระมหาสถูปจารึกคำว่า ปุผคหนิ (Puphagahaṇi) กลายเป็นคำนิยามใหม่ทางโบราณคดี ซึ่งยังไม่สามารถระบุชี้ชัดว่า “ปุผคหนิ” นั้นหมายถึงอะไร มีความสำคัญอย่างไรในด้านสถาปัตยกรรม
แม้นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจะนำไปเทียบเคียงกับคำว่า “ปุปฺผาธาน” ในคัมภีร์มหาวังสะ ก็ยังตีความออกได้เป็นสองนัย คือ หมายถึงดอกไม้ที่ใช้ประดับตกแต่ง หรือภาชนะสำหรับใส่ดอกไม้บูชา ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัด
บนปุผคหนิปรากฏจารึกอ่านได้ว่า “มนิกา รส มหามริตโน สภาริยส สปุตกส สทุหุตกส สชามาตุกส ทาน เจติยปุผคหนิ”
เมื่อสันนิษฐานจากขนาดของพระสถูปแล้วคาดว่าน่าจะมีประมาณ 100 ปุผคหนิ แต่ยังไม่สามารถสรุปจำนวนที่แน่นอนได้ แม้จะพบจารึกบนปุผคหนิที่มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ ทสหิ, วิสยิ และปนาส ซึ่งแปลว่า 10, 20 และ 50 ตามลำดับ
แต่ไม่มีข้อมูลอธิบายความหมายของตัวเลขเหล่านี้อย่างชัดเจน จึงตีความได้แตกต่างกันออกไป บ้างสันนิษฐานว่าอาจหมายถึงจำนวนเงินที่ผู้บริจาคถวาย บ้างสันนิษฐานว่าอาจเป็นเลขลำดับบอกตำแหน่งของปุผคหนิ ทุก ๆ ช่วง 10 ปุผคหนิก็เป็นได้
จุดที่น่าสนใจคือข้อความจารึกมีการระบุรายละเอียดผู้บริจาคและจุดประสงค์ของการถวายสิ่งก่อสร้างอยู่ด้วย เช่น ข้อความระบุการถวาย “อายาคถภา” ซึ่งหมายถึง ทางเข้าทั้ง 4 ด้านของพระมหาสถูป จารึกว่า “อายาคถภา จตาโร เทยธม” ทำให้ทราบว่านอกจากผู้บริจาคเป็นชาวเมืองในเขตศาตวาหนะแล้ว ยังปรากฏรายนามผู้มีจิตศรัทธาจากเมืองอมราวดีด้วย
ข้อความระบุการถวาย “อายาคถภา”จารึกว่า “อายาคถภา จตาโร เทยธม”
จึงน่าคิดวิเคราะห์ว่าเหตุใดจึงมีผู้เลื่อมใสจากเมืองอมราวดีมาร่วมสร้างมหาสถูปแห่งกนคนหลฺลิด้วย ทั้งที่เมืองอมราวดีมีสถูปใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่า มหาสถูปที่สร้างในเวลานั้นต้องมีความสำคัญไม่น้อย พุทธศาสนิกชนไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใดจึงต่างเดินทางมายังหมู่บ้านกนคนหลฺลิเพื่อร่วมก่อสร้าง ด้วยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีส่วนในการสถาปนามหาสถูปที่มควาสำคัญเช่นนี้
ข้อความระบุปีที่ถวายและนามผู้บริจาค ชื่อ แม่ชีธมฺมสิริ
การบรรยายของ Prof. Oskar von Hinüber ตลอด 2 ชั่วโมง ครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นประโยชน์ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ โบราณคดี และด้านอื่น ๆ แต่นอกเหนือจากความรู้ทางวิชาการแล้ว ทำให้เกิดความตระหนักว่า
มหาสถูปที่ครั้งหนึ่งเคยตระหง่านตระการตา คลาคล่ำไปด้วยพุทธศาสนิกชน มาบัดนี้หลงเหลือเพียงซากแห่งความทรงจำในอดีตที่เคยรุ่งเรือง รอเวลาให้คนรุ่นหลังย้อนกลับไปศึกษาเพื่อกระตุ้นเตือนให้หันมามองดูว่า สิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่ในวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลายเป็นภาพสะท้อนอดีตให้คนรุ่นหลังมาศึกษาต่อไปด้วยความชื่นชม
เรียบเรียงจาก บทความวารสารอยู่ในบุญ ฉบับตุลาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
ศึกษาหลักฐานพุทธศิลป์...ย้อนแดนดินถิ่นอารยธรรม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
Dr. Christian Luczanits ที่เอื้อเฟื้อให้ใช้เพื่อการศึกษา
https://www.luczanits.net/gallery3/index.php/docu/Kanganhalli