ธรรมจักขุ

วันที่ 26 พค. พ.ศ.2567

230567b01.jpg

ธรรมจักขุ
๖ มิถุนายน ๒๕๓๙

พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ต่อจากนี้ให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานนะจ๊ะ ให้นึกน้อมใจตามเสียงของหลวงพ่อไปทุก ๆ คนนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดกับหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ดูคนข้างเคียงเค้านะจ๊ะ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับเฉย ๆ พอสบาย ๆ คล้ายกับเรานอนหลับนะจ๊ะทุก ๆ คน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย เมื่อเราขยับเนื้อขยับตัวของเราดีแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ให้เราทำใจของเราให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้ปลอดโปร่ง ว่างเปล่าจากความคิดทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นความคิดเรื่องอันใดก็ตาม จะเป็นเรื่องธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องการศึกษาเล่าเรียน หรือนอกจากนี้ก็ตาม ให้ปลดให้ปล่อยให้วางชั่วขณะ ที่เราจะตั้งใจ ฝึกใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวนะจ๊ะ ทำใจของเราให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใสคล้ายกับเราอยู่คนเดียวในโลก เหมือนไม่เคยเจอภารกิจเรื่องกังวลอะไรมาก่อนเลย ทำตัวให้สบาย ๆ ใจที่สบายเท่านั้นจึงจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวได้

 


                พระรัตนตรัยหรือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ สามอย่างนี้ เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง ของมนุษย์ทุกคนในโลก ถ้าสำหรับชาวพุทธก็ของชาวพุทธทุกคนในโลก พระรัตนตรัยหรือสิ่งทั้งสามนั้นมีอยู่แล้วในตัวของเรา เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไปปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา แต่ว่ารัตนะทั้งสามนี้เป็นของละเอียด เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเนื้อด้วยตาเปล่า จับต้องสัมผัสไม่ได้ด้วยมือหยาบของเรา แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วจริง ๆ ที่อยู่ภายใน เป็นที่พึ่งที่แท้จริงของพวกเราทั้งหลาย ก็หมายความว่า เวลาเรามีทุกข์เราก็สามารถพึ่งท่านได้ เวลามีสุขก็ระลึกนึกถึงท่านได้เพิ่มเติมความสุขขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นสิ่งที่เป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา ที่เที่ยงแท้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นตัวเป็นตนที่แท้จริงของเราเลยทีเดียว คือเป็นตัวของตัวเอง เป็นตัวตนของเรา เป็นตัวตนเป็นตัวเรา ที่เป็นอิสระไม่มีอะไรจะมาบังคับบัญชาได้ อยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง สิ่งที่ดีทุกสิ่งรวมอยู่ในรัตนะทั้งสามที่อยู่ภายในตัว จะเป็นผู้รู้ก็ดีคือรู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอดในสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ตาม ความเป็นผู้ตื่นจากกิเลส จากโลกแห่งความฝันมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม หรือเป็นผู้อุดมไปด้วยความสุขอย่างเดียวที่ไม่มีประมาณ ความรู้ไม่มีประมาณ สดชื่นไม่มีประมาณ มหากรุณาไม่มีประมาณ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในรัตนะทั้งสามคือพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ที่อยู่ภายในกายเนื้อของเรานี่เอง ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าท่านมาบังเกิดขึ้นหรือยังไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม 

 


                รัตนะทั้งสามนี้ก็มีอยู่มาแล้วตั้งแต่ดั้งเดิมโดยไม่ทราบเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นยังไม่ทราบ แต่ว่ามีมาแต่เดิมอยู่ภายในตัวของมนุษย์ทุก ๆ คน ไม่ใช่เฉพาะชาวพุทธ จะมีความเชื่อถือแตกต่างจากเราไปอย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้ว มีสรณะทั้งสามนี้แหละอยู่ในตัวแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเราไม่รู้ว่ามีเพราะไม่มีใครมาชี้ให้เราดู ให้เราได้รู้จัก หรือรู้ว่ามีแต่ยังเข้าไปไม่ถึง อย่างไรก็ตามรัตนะทั้งสามนั้นมีอยู่แล้วในตัวของมนุษยชาติทุก ๆ คน เป็นของละเอียดที่อยู่ภายในเป็นกายที่สลับซับซ้อนเป็นรัตนะที่สลับซับซ้อนเข้าไปข้างใน คำว่ารัตนะที่ซับซ้อนเข้าไปน่ะ ก็หมายความว่า กายท่านใสเป็นแก้วถึงได้เรียกว่าพุทธรัตนะคือใสยิ่งกว่าเพชร ยิ่งกว่าแก้วรัตนะใด ๆ ทั้งสิ้น เพชรนิลจินดาอะไรต่าง ๆ ถ้ามาเทียบความใส ความบริสุทธิ์ ความใสที่เกิดจากความบริสุทธิ์ ของพุทธรัตนะแล้วเทียบกันไม่ได้ คือใสเกินใสจนไม่มีความใสใด ๆ ในโลกมาเทียบได้ และไม่มีตัวอย่างความใสชนิดนี้ในโลก   

 

 

                นอกจากอยู่ในกายมนุษย์หยาบของเรานี่เอง ถึงเรียกว่าพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะคือความรู้ทั้งหลายแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ทั้งหลาย แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ รวมประชุมอยู่ในธรรมรัตนะมีลักษณะเป็นดวงธรรมกลมเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ งามไม่มีที่ติใสยิ่งกว่าเพชรเพราะความบริสุทธิ์แห่งธรรมนั้นเป็นเลิศ สังฆรัตนะซึ่งอยู่ตรงกลางธรรมรัตนะเป็นธรรมกายที่ละเอียดเป็นพุทธรัตนะที่ละเอียด ทรงรักษาธรรมรัตนะเอาไว้ ก็ใสบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นรัตนะภายในนี้ซ้อนอยู่ลี้ลับสลับกันเข้าไป อยู่ภายในเป็นเลิศกว่ารัตนะใด ๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ โลกอื่นคือในสุคติโลกสวรรค์ที่มีรัตนะที่สวยงาม แก้วที่มีรัศมีด้วยตัวเองกลมไม่ได้เจียระไนเป็นเหลี่ยมเหมือนแก้วในเมืองมนุษย์ มีรัศมีเป็นสมบัติอันเป็นทิพย์ของชาวสวรรค์ของเทวดาทั้งหลาย เป็นเครื่องประดับสัญลักษณ์ของผู้มีบุญที่อยู่ในเทวโลก ก็ยังไม่เทียบกับความงามของ รัตนะคือพุทธะรัตนะคือธรรมะ รัตนะคือสังฆะ รัตนะที่มีอยู่ในพรหมก็ดี กายที่เป็นพรหมมีเครื่องประดับประดาสวยงาม มีสมบัติอันเป็นทิพย์ สว่างเจิดจ้ากว่าในเทวโลก ก็ไม่อาจจะมาเทียบกับพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะนี้ได้ 

 


                รัตนะที่อยู่ในอรูปพรหม อรูปภพที่ประณีตยิ่งขึ้น สุกใสสว่างยิ่งขึ้นก็ยังใสสว่างไม่เท่ากับพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นเวลาที่พระสงฆ์ท่านสวดมนต์มีอยู่บทหนึ่ง ได้กล่าวว่า รัตนะทั้งหลายเหล่าใดในโลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี จะมาเทียบกับ "รัตนะ" คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ นี้ไม่ได้เลย ผู้รู้ผู้เห็นที่เขาแทงตลอด เค้ายืนยันกันอย่างนี้ แม้เราก็อาจจะไปเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรม คือเข้าถึงรัตนะทั้งสามนี้ก็ได้ ถ้าเราทำได้อย่างท่าน เราก็จะเข้าถึง ไปรู้ไปเห็นและจะเป็นพยานยืนยัน ในการตรัสรู้ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ท่านไปเห็นอย่างนี้น่ะ ว่ารัตนะทั้งหลายเอามาเทียบกันแล้ว สู้กันไม่ได้เลย โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี เทวโลก พรหมโลก อรูปภพ อรูปพรหม สู้ไม่ได้เลย สรุปง่าย ๆ ก็คือรัตนะทั้งหลายเหล่าใดในภพทั้งสาม ในแสนโกฏจักรวาล อนันตจักรวาล จะมีความงามแม้เพียงหนึ่งในล้านของรัตนะทั้งสามนั้นไม่ได้เลย นี่คือความลี้ลับสลับซับซ้อนที่มีอยู่ในกายมนุษย์ซึ่งเราไม่ทราบว่ามี หรือทราบว่ามีแต่ยังเข้าไปไม่ถึง ซับซ้อนกันอยู่

 


                พระพุทธเจ้าของเราพระบรมโพธิสัตว์ทุกพระองค์ที่ผ่านมา มากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้งสี่ ได้เข้าไปถึงความจริงอันนี้ เมื่อถูกส่วนใจหยุดนิ่งถูกส่วนแล้ว ท่านก็พบกับความลี้ลับซับซ้อนของรัตนะ ที่อยู่ภายในและก็รู้จักว่านี่คือ สิ่งที่นำมาซึ่งความปลื้มใจ ดีใจ ปีติ ที่ไม่มีขอบเขต ที่กว้างขวางเป็นอิสระอย่างแท้จริง เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่สมบูรณ์ที่สุด สิ่งอื่นที่จะมาเสมอเหมือนหรือจะยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สามอย่างนี้แหละคือที่พึ่งที่ระลึกของเรา เป็นของละเอียดมีมาดั้งเดิมไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่เราไปปรุงไปแต่งกันขึ้นมา แต่เนื่องจากเป็นของละเอียด เราจะเข้าถึงได้เราก็ต้องทำใจให้ละเอียดเท่ากับท่าน ใจเราละเอียดเท่ากับพุทธรัตนะ ก็เห็นพุทธรัตนะ ถ้าละเอียดเท่ากับธรรมรัตนะ เราก็จะเห็นธรรมรัตนะ ถ้าละเอียดเท่ากับสังฆรัตนะ ก็จะเห็นสังฆรัตนะ ทั้งสามอย่างนั้นน่ะ แม้จะเรียกต่างกัน มีคุณสมบัติต่างกัน แต่ก็รวมเป็นก้อนเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนเพชรที่มีทั้งสี มีทั้งแวว มีทั้งเนื้อแยกออกจากกันไม่ได้ แต่เรียกกันคนละอย่าง เพราะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนั้นถ้าจะเข้าถึงรัตนะทั้งสามอันนี้ได้ เราก็จะต้องทำความละเอียดให้เท่ากัน พอละเอียดเท่ากันก็จะดึงดูดเข้าหากัน เหมือนเครื่องส่งเครื่องรับวิทยุ ทีวีอย่างนั้น มันจะดึงดูดเข้าหากันเลย จะถูกดูควูบเข้าไปข้างใน เหนี่ยวรั้งเข้าไป เข้าไปถึงรัตนะทั้งสาม  

 


                วิธีทำที่จะให้เข้าถึงรัตนะทั้งสามนั้น มีเพียงวิธีเดียวคือวิธีการทำใจให้หยุดให้นิ่ง ใจที่แวบไปแวบมาในอารมณ์ต่าง ๆ ที่เราคุ้นเคย จะเป็นเรื่องคนเรื่องสัตว์เรื่องสิ่งของสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนั้นน่ะ ที่แวบไปแวบมา เอามาหยุดนิ่งอยู่ภายใน ตรงตำแหน่งที่รัตนะประดิษฐานอยู่ ตรงแหล่งกำเนิดของรัตนะทั้งสาม ใจนั้นจะต้องมาหยุดนิ่ง หยุดให้ถูกส่วนทีเดียว หยุดให้นิ่ง ตรงตำแหน่งที่รัตนะสิงสถิตอยู่ รัตนะทั้งสามนั้นท่านสิงสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด สมมติเรานำเส้นด้ายมาสองเส้นนำมาขึงให้ตึง เส้นด้ายเส้นหนึ่งซึ่งจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่หก ให้ยกถอยหลังขึ้นมาสองนิ้วมือ คือยกสูงขึ้นมาสองนิ้วมือ ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดขึ้นมาสองนิ้วมือ หรือสูงขึ้นมาจากสะดือสองนิ้วมือในกลางกายนั้นแหละเรียกว่าฐานที่เจ็ด 

 


                ถ้าหลวงพ่อพูดถึงฐานที่เจ็ด ก็หมายเอาตรงนี้นะจ๊ะ เป็นที่สิงสถิตของรัตนะทั้งสามดังกล่าวแล้ว เอาใจของเราที่แวบไปแวบมา หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านแยกออกเป็นสี่อย่าง ถ้าสี่อย่างนี้รวมกันได้ถึงจะเรียกว่าใจ คือความเห็นอย่างหนึ่ง ความจำอย่างหนึ่ง ความคิดอย่างหนึ่งความรู้อย่างหนึ่ง รวมมาเป็นอย่างเดียวถึงจะเรียกว่าใจ เราจำง่าย ๆ ก็คือทำความรู้สึกว่าใจเราอยู่ที่ตรงฐานที่เจ็ดหยุดตรงนี้นะ หยุดนิ่ง หยุดให้ถูกส่วนทีเดียว คือค่อย ๆ ประคับประคองใจไม่ให้ไปซัดส่ายคิดเรื่องอื่น คิดถึงแต่ฐานที่เจ็ดที่เดียว หยุดให้นิ่ง ถ้าหากนึกไม่ออกว่าฐานที่เจ็ดมันอยู่ตรงไหน ก็ต้องมีเครื่องหมายที่จะให้รู้ว่าฐานที่เจ็ดมันอยู่ตรงไหน เขาเรียกว่าบริกรรมนิมิต ให้กำหนดเครื่องหมาย คือสมมติขึ้นมาว่าตรงนี้คือฐานที่เจ็ด กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ต้องใสด้วยนะ ทั้งใส ทั้งสะอาด ทั้งบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูก สะอาดเหมือนเพชรลูกเลยก็คือนึกเพชรลูกนั่นเองแหละ ที่เจียระไนแล้วด้วย เพชรธรรมดาเป็นกรวดเป็นหินยังไม่ได้เจียรยังไม่ได้ ต้องเจียระไนแล้วกระทั่งความใสปรากฏ และเจียระไนชั้นเยี่ยมด้วยคือต้องไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว ไม่มีขนแมวเลย กำหนดนิ่ง โตเท่าแก้วตา เวลาเราส่องกระจกเห็นแก้วตาเราโตขนาดไหนก็ขนาดนั้นนะจ๊ะ โตขนาดนั้นแหละ คือกำหนดเล็ก ๆ ก็ดี ใจจะได้รวมได้ดี

 


                กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาด บริสุทธิ์ประดุจเพชรลูก ที่เจียระไนแล้วไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตา กำหนดเครื่องหมายตรงฐานที่เจ็ดนะ ตรงฐานที่เจ็ดตอนนี้บอกลัดไปเลย ที่จริงหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านแนะตั้งแต่ฐานที่หนึ่ง ปากช่องจมูก ฐานที่สองหัวตา ฐานที่สาม กลางกั๊กศีรษะ ฐานที่สี่เพดานปาก ฐานที่ห้าปากช่องคออาหารสำลัก ฐานที่หกก็ตรงสะดือ กลางกายระดับเดียวกันกับสะดือ ฐานที่เจ็ดก็เหนือขึ้นมาสองนิ้วมือ หลวงพ่อก็ลัดมาฐานที่เจ็ดเลย กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา จำง่าย ๆ ก็มีเพชรอยู่เม็ดหนึ่ง ใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางท้อง ตรงตำแหน่งที่เรามีความมั่นใจ ว่าตรงนี้ฐานที่เจ็ดหรือถ้าไม่มั่นใจ จำง่าย ๆ ว่าอยู่กลางท้องของเรา อยู่ในกลางท้อง กลางท้องตรงนั้น แล้วก็เอาใจนี้ตรึก คือนึกถึงบริกรรมนิมิตนี้ให้ได้ตลอดเวลา ตรึกนิ่งตรึกถึงบริกรรม ตรึกตรงนี้เรื่องอื่นไม่นึกเรื่องคน เรื่องสัตว์สิ่งของไม่นึก นึกถึงเพชร ใสบริสุทธิ์ที่เดียวนะ ตรึกนึ่ง แล้วก็หยุดลงไปตรงกลางคือเพชรขนาดว่าเล็กขนาดแก้วตาแล้วนี้ ใจจะต้องหยุดไปตรงจุดกึ่งกลางของเพชรที่โตเท่าแก้วตา คือหาจุดกึ่งกลางที่เล็กเหมือนกับปลายเข็ม ใจต้องเล็กเท่ากับปลายเข็มของเรา ปักแน่นติดนิ่ง หยุดลงไปตรงนั้น ใจหยุดคือเอาใจไปอยู่ตรงนั้น 

 


                ถ้าหยุดก็หมายความว่าอยู่อย่างสนิท ถ้าหากยังไม่หยุดก็ให้มันไปอยู่ตรงนั้นไปก่อน อยู่นิ่ง ๆ นิ่งก็มีเทคนิคตรงนี้หน่อย มีเคล็ดลับหน่อยต้องนิ่งอย่างสบาย ๆ ใจหยุดนิ่งตรงนี้นะ อย่างสบาย ๆ ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดไปที่จุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ ให้ใสที่สุดเท่าที่จะใสได้นะ ให้ใสบริสุทธิ์ทีเดียว หยุดให้นิ่งอย่างเบา ๆ เบา ๆ อย่างไรเรียกว่าเบา สมมติว่าเราจะขีด เอาเข็มมาขีดบนใบบัวไม่ให้ใบบัวช้ำแต่ให้มีรอยขีด ต้องขีดเบา ๆ ถึงจะติด หรือจะวางเข็มนะจ๊ะเข็ม เข็มเย็บผ้า เข็มหมุดลอยบนผิวน้ำน่ะ ถ้าวางแรงไปมันก็จม ต้องค่อย ๆ วาง เบา เบา ๆ ทีเดียวนะ เบา พอวางเบา ๆ เดี๋ยวเข็มมันก็ลอยน้ำได้ อาศัยความตึงผิวลอยได้ ไม่หน้าเชื่อว่าโลหะมันลอยได้หรือให้เบาเหมือนขนนก ปุยนุ่นที่ลอยมาในอากาศที่มันนุ่ม ละเอียดอ่อน ค่อย ๆ ลอยลงและก็ตกถึงพื้นอย่างเบา ๆ ใจเหมือนกันนะจ๊ะ   

 

 

                นึกถึงไปจุดกึ่งกลางของบริกรรมนิมิต ตรงนี้สำคัญนะเป็นเทคนิคทีเดียว เป็นเคล็ดลับเลยทีเดียวนะ วางเบา ๆ วางนิ่ง ๆ วางก็คือ ดูไปเฉย ๆ นึกเฉย ๆ นึกเหมือนไม่ได้นึก แต่ไม่ได้นึกก็คือ นึกคล้าย ๆ กับมองโดยไม่ใช้ลูกนัยน์ตา ดูผ่าน ๆ เนี่ยะเบา ๆ อย่างนี้ เค้าเรียกว่าเบา ๆ นะ เบา เบา วางเบา ๆ อย่างสบาย ๆ สบาย ๆ ก็ทำใจให้มันหลวม ๆ เหมือนใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ทำให้ร่างกายสบาย ใจของเราก็ไปหยุดนิ่งอย่างเบา ๆ หลวม ๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่าสบาย สบายก็ให้สังเกตดูปฏิกิริยาที่ร่างกาย ถ้าปวดหัวมึนศีรษะคือ ถ้ารู้สึกตึงไม่ถึงกับมึนนั้นเรียกว่าไม่สบาย ถ้าหากว่าเริ่มมึนจากตึงมามึน ไอ้นั่นเริ่มลำบากแล้ว จากมึนมาปวดหัวเกร็งหมดทั้งเนื้อทั้งตัว นั่นทุกข์ทรมาน ไม่ถูกนะจ๊ะ แต่ถ้าหากว่าเรากำหนดแล้วนิ่ง เบา สบาย จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า ไม่เห็นอะไรก็ได้ อยากจะอยู่กับอารมณ์นี้นาน ๆ จะนานสักกี่กัปกัลป์ก็ตาม ก็อยู่ได้ โดยไม่คิดเรื่องอะไร มีความพึงพอใจกับความรู้สึกชนิดนี้ อย่างนี้เรียกว่าสบาย สบาย ทำใจให้สบาย สบาย หยุดนิ่งเบา ๆ ถ้าหากทำอย่างนี้แล้ว ยังไปคิดเรื่องอื่นอีกเพราะความคุ้นเคย ก็ภาวนาสัมมาอะระหังควบไปด้วย

 


                บทภาวนาสัมมาอะระหังนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง เค้าประสบความสำเร็จในชีวิตในทางโลกก็เพราะคำว่าสัมมาอะระหังนี้ก็เยอะทีเดียวนะ แค่สัมมาอะระหัง ๆ ๆ เรื่อยไปเนี่ยประสบความสำเร็จมาเยอะแล้ว แต่ที่นี้เราจะเอามาประสบความสำเร็จในทางธรรม เราก็ภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ มีเคล็ดลับเหมือนกัน มีเทคนิคในการภาวนา จะต้องภาวนาอย่างสบายคล้ายกับเราร้องเพลงในใจอย่างนั้น เหมือนเป็นสำนึกลึก ๆ ที่เสียงของคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลาง จุดกึ่งกลางของเพชรลูก ดังออกมาจากจุดกึ่งกลาง ถ้าจำง่าย ๆ ก็ดังออกมาจากในท้อง แทนที่ดังในสมอง ก็ให้ดังในท้อง สัมมาอะระหัง ๆ ไปเรื่อยนะ หรือให้คล้ายออกมาจากในโอ่ง ในตุ่มน้ำอย่างนั้นน่ะ เหมือนตัวเราเป็นโอ่งเป็นตุ่ม ดังออกมา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ภาวนาก็นึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างสบาย ๆ แล้วก็ทำใจเย็น ๆ ทำใจเย็น ๆ ภาวนาไปด้วยความเพลิน ด้วยความสุข ด้วยความมีปีติที่ว่าเราได้มาทำความดี มาระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกนึกถึงความบริสุทธิ์ โดยเอาเพชรลูกเป็นจุดเริ่มต้น ในการเข้าถึงความบริสุทธิ์ภายใน ให้มีปิติมีสุขอย่างนี้ทีเดียวนะ ให้มีความภาคภูมิใจ 

 


                สัมมาอะระหัง ไปเรื่อยเลย นี่เป็นความดีที่สำคัญ เป็นหนทางไปสู่มรรคผลนิพพานทีเดียวไม่ใช่เป็นความดีเล็ก ๆ น้อย เป็นความดีที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าการให้สิ่งใด ๆ ทั้งมวลเลยทีเดียว เพราะว่าเมื่อเราภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ ใจสบาย ไม่คิดไปเรื่องอะไรเลย สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ตรึกเห็นแต่เพชรลูกใส ๆ บริสุทธิ์ นึกถึงแต่เพชรที่ใส บริสุทธิ์อย่างนุ่มละเอียดอ่อนละมุนละไมไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้าคำภาวนาสัมมาอะระหังนั้น จะเลือนหายไปเอง คล้ายกับเราลืมภาวนาไป มันจะเลือนหายไปเหมือนลืมภาวนา สัมมาอะระหังก็จะเข้าไปกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดวงใส ๆ จะเหลือจุดใส ๆ สว่าง กับใจที่หยุดนิ่งอย่างเดียวคือหยุดนิ่งไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าใจเราเย็นพอนะจ๊ะ ถ้าใจเราเย็นพอไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ ไม่ช้าจะเกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมา เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติ 

 


                เราจะค้นพบว่าเมื่อใจหยุดแล้ว ความสุขชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่แตกต่างจากที่เราเคยเจออย่างเทียบกันไม่ได้ทีเดียว แล้วเราก็จะค้นพบว่าความไม่คิด ให้ความสุขที่มีปริมาณมากกว่าความคิดที่ฟุ้งซ่าน หรือคิดเรื่องอื่น ที่ไม่ได้เรื่องแม้จะเป็นเรื่องเดียวก็ตาม เราจะค้นพบตรงนี้เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ทีเดียวนะจ๊ะ และในขณะที่ความสุขแผ่ซ่านจากจุดตรงกลางฐานที่เจ็ด แผ่จากนั้นขยายไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเราไม่ได้สัมผัสความสุข คือยิ่งมีความสุข ในภาวะอันแสนสุขนั้นจะมีปรากฏการณ์สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาตรงนั้นเลยเหมือนผุดเกิดขึ้นมาตรงกลางคล้ายส่งมาจากนิพพานเลยทีเดียว เกิดขึ้นมาในกลางนี้ จะเป็นดวงใสทีเดียวนะจ๊ะ ในภาวะอันแสนสุขตรงนั้น จะมีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้น เป็นจุดสว่างทีเดียว ตอนแรกเรานึกเป็นใสใช่ไหมจ๊ะ ตอนนี้เป็นจุดสว่างเกิดขึ้นมาคล้ายกับเราลืมตา ลืมตาเปล่ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้า จะเป็นจุดเล็ก ๆ ใสบริสุทธิ์ ปรากฏเกิดขึ้นมา ความสุขนี้มาพร้อมกับความผาสุกรื่นรมย์ ความสดชื่น ความมีชีวิตชีวาอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน   

 


                เราจะมีความรู้สึกใจเรานี่เกลี้ยงเกลา จากสิ่งที่เป็นมลทินของใจทั้งหมดเลย รู้สึกสะอาดที่เราสัมผัสได้ รู้สึกบริสุทธิ์ที่เราสัมผัสได้ เป็นความสุขที่มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ และก็เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่เรายอมรับว่านี่คือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ที่เราบังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีชีวิตมาเป็นมนุษย์นี้ แต่เดิมนั้นเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็คิดว่าใจเราบริสุทธิ์แล้ว หรือพูดอย่างบริสุทธิ์แล้ว ทำอย่างบริสุทธิ์แล้ว แค่นี้ก็เพียงพอ ไม่คิดไปเบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นชีวิตแค่นี้ก็เพียงพอไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว แต่ปรากฏพอมาถึงตรงนี้แล้วมันไม่ใช่ สิ่งที่เราคิดตอนโน้นกับประสบการณ์ในตอนนี้ มันแตกต่างกันอย่างกับฟ้าดินเลยทีเดียว เป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่เรายอมรับว่านี่คือความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็บังเกิดขึ้นในตอนนี้แหละ สัมมาทิฏฐิก็เกิดขึ้น เริ่มมีความเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า และจะเริ่มเชื่อว่าเอ้อ ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้บรรลุมรรคผลนิพพานนั้นมีจริง 

 


                เพราะแค่เราแค่เห็นจุดใส ๆ สว่างยังเกิดความรู้สึกชนิดนี้เลย ตรงนี้แหละจะเป็นกำลังใจที่จะทำให้อยากนั่งต่อไปแล้ว แล้วก็จะเกิดความกระหายอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้น พอถึงตรงนี้ใจก็จะหยุดนิ่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ พอถูกส่วนจุดสว่างนั้นก็ขยายเป็นดวงใสบริสุทธิ์ กลมรอบตัวโตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ที่เดียว ไข่ไก่ป่ากลาง ๆ ไข่ขนาดกลาง ๆ ฟองไข่แดงกลม ใส บริสุทธิ์ นี่แหละคือธรรมเบื้องต้น ดวงธรรมเบื้องต้นหรือความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่ท่านเรียกว่าปฐมมรรค ปฐมมรรคคือหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ของพระอริยะเจ้าเบื้องต้น เป็นความบริสุทธิ์ที่สว่างกลมรอบตัว กระทั่งเรามีความรู้สึกว่าสิ่งที่กลม ๆ อยู่ในโลกนั้นยังกลมไม่เท่า กับดวงธรรมที่เรากำลังเข้าถึงอยู่ในขณะนี้เลย มันกลมมันใสบริสุทธิ์สว่างอยู่ภายใน ใจก็จะเริ่มมีปีติมีความเบิกบานเป็นหนึ่ง ความสุขก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งเนื้อทั้งตัว แล้วก็ขยายกว้างออกไป จนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายของเรากลมกลืนไปกับบรรยากาศ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบรรยากาศกับสรรพสิ่งทั้งมวลที่เกลี้ยง ๆ ที่บริสุทธิ์ใส 

 


                ถ้าหากว่าใจเรายังหยุดอยู่อย่างนั้นเรื่อย ๆ หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าดวงธรรมนั้นก็จะขยายกว้างออกไป ออกไปเองเลย ไม่ต้องไปนึกขยายให้มันโต จะขยายออกไปเองเลย เหมือนมีชีวิตทีเดียว หรือคล้าย ๆ กับจะต้อนรับให้เราเข้าไปสู่ข้างในใสเกินใสทีเดียว ไม่รู้จะใช้คำอะไรมาใช้กับคำความใสของดวงธรรมที่ขยายออกไป ยิ่งขยายออกไปเท่าไหร่ใจของเราก็จะยิ่งขยาย อาการที่ใจขยายนั้นแหละเค้าเรียกว่าความเบิกบาน เบิกบาน เหมือนความบานของดอกไม้ที่โผล่เหมือนดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำเมื่อได้รับแสงอาทิตย์แล้วเบ่งบานออกอย่างนั้น แต่นี้มันบานอย่างไม่มีขอบเขตขยายกว้างออกไป เราก็จะเห็นดวงธรรมภายใน ผุดเกิดขึ้นมาเป็นชุดเลยทีเดียว ใหม่ ๆ ก็เห็นช้าก่อน ต่อ ๆ ไปก็จะเห็นเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ผุดเกิดขึ้นคล้าย ๆ กับเราเดินทางจากดวงธรรมหนึ่งไปอีกดวงธรรมหนึ่ง จากความบริสุทธิ์หนึ่งไปถึงความบริสุทธิ์ที่ยิ่งกว่า เหมือนรถหลาย ๆ ผลัดที่ส่งกันต่อ ๆ กันไป ให้ถึงที่หมายอย่างนั้นน่ะ

 


                จะเห็นดวงธรรมผุดเป็นชุดขึ้นมาเลย ซ้อน ๆ ๆ พอสุดดวงที่หก ที่ขยายใหญ่ ใจใสบริสุทธิ์ก็จะเข้าถึงกายภายใน กายมนุษย์ละเอียดที่หน้าตาเหมือนกับตัวเรา เหมือนกับตัวของเรานี่ ตัวของเรารูปร่างยังไง กายข้างในก็คล้าย ๆ ที่ใช้คำว่าคล้าย ก็เพราะว่าสวยกว่า ละเอียดกว่า ประณีตกว่า กายข้างนอกนั้นนั่งงอ ๆ แต่กายข้างในนั่งตรง จะอ้วนจะผอมอะไรก็แล้วแต่นั่งตรง ตรงแบบไม่ได้ฝืนอิริยาบถ ตรงอย่างสบายใจ กายมนุษย์ละเอียดจะเห็นชัดขึ้นมาในกลางดวงธรรม ดวงที่หกที่เรียกว่าดวงวิมุตติญาณทัสสนะจะผุดเกิดขึ้นมา กายมนุษย์ละเอียดนี้ก็มีอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่มีอยู่แต่เป็นของละเอียด เมื่อใจของเราละเอียดเท่ากับกายมนุษย์ละเอียด เราก็จะถูกดึงดูดให้เข้าไปถึงแล้วเห็นได้ถึงได้เรียกว่าเข้าถึงคือใจนี่แล่นเข้าไปหา ถูกดูดเข้าไปเลยก็จะเห็นกายมนุษย์ละเอียดชัดเจนแจ่มใส เกิดมาทั้งทีก็ให้ได้เห็นกายมนุษย์ละเอียดก็ยังดี ให้รู้ว่าเอ้อ ไม่ใช่มีกายมนุษย์หยาบแค่กายนี้กายเดียว พอตายแล้วก็ไปอยู่ที่เชิงตะก่อน คือความรู้มันก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ว่าเอ่อ จริง ๆ แล้วมันมีอีกกายหนึ่ง กายนี้คล้าย ๆ กับเห็นในฝัน  

 


                แต่ฝันนั้นมันก็ไม่ค่อยชัดเจน ถึงชัดเจนก็ไม่มากเท่ากับตอนนี้ แล้วฝันก็บังคับให้ฝันแต่เรื่องดี ๆ ก็ไม่ได้ มันก็มีดีมั่ง ไม่ดีมั่ง  จะให้จำก็ไม่ได้ บางทีก็จำได้มั่ง จำไม่ได้มั่ง แต่นี่กายมนุษย์ละเอียดเห็นชัดเจนทีเดียว ชัดเจนเมื่อใจเราละเอียดเท่ากับกายมนุษย์ละเอียด ใสแจ่มนั่งขัดสมาธิแบบเดียวกับเราเลย ตัวตรงนิ่ง เป็นความนิ่งที่ดูแล้วมีชีวิต ที่เรารู้แล้วว่านี่เป็นสิ่งที่มีชีวิตไม่ใช่นิ่งเหมือนรูปปั้นทั่ว ๆ ไป แตกต่างกัน นิ่งและก็มีความรู้สึก เมื่อเราเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกายมนุษย์ละเอียด คล้ายเราเป็นกายมนุษย์ละเอียดเป็นอันหนึ่งอันเดียวเลย เป็นกายมนุษย์ละเอียด เหมือนเรารู้สึกว่าเราเป็นกายมนุษย์หยาบยังเนี้ย เราก็จะเป็นสิ่งนั้น เป็นกายมนุษย์ละเอียด ที่ชัดเจนแจ่มใส เกิดความรู้ใหม่เกิดขึ้นมาว่าอ้อ กายหยาบนี่มันเหมือนเสื้อผ้า เหมือนบ้านเรือนที่ให้อาศัยอยู่ชั่วคราว มันไม่ใช่ของจริงของแท้ เมื่อหมดเวลาเข้ามันก็แตกแยกสลายออกไปเป็นดินน้ำลมไฟ กลืนไปหมด หายไปหมด มันเหมือนเสื้อเหมือนผ้า แล้วก็เต็มไปด้วยปฏิกูล เป็นรังแห่งโรคภัยไข้เจ็บ เป็นที่รวมประชุมของโรคภัยไข้เจ็บ ประสิทธิภาพก็มีไม่ค่อยมาก ไม่เหมือนกายมนุษย์ละเอียด จะแว๊บไปที่ไหนก็ได้ แว็บไปถึงเลย ไม่ต้องขึ้นยวดยานพาหนะก็แว๊บถึง แว๊บถึงได้เลยนี่กายมนุษย์ละเอียด

 


                เพราะฉะนั้นมันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไปนะจ๊ะ เป็นชั้น ๆ เข้าไปอย่างนี้แหละ นี่เป็นความรู้ที่น่าศึกษา น่าติดตาม ไม่รู้ไม่ได้เลยทีเดียวนะ เข้าไปอย่างนี้ เป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไป อาศัยกายมนุษย์ละเอียดนั่งทำใจหยุดต่อไปอีกนะ ถึงจะเข้าไปถึงรัตนะภายในได้น่ะ ถึงจะเข้าไปถึงอีกกายหนึ่งน่ะ เป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไป สรุปได้อย่างย่อ ๆ ว่าจะมี กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม ซ้อนกันอยู่ภายใน และก็มีกายธรรมคือพุทธรัตนะในที่สุดนั้นน่ะ ซ้อนอยู่ข้างใน อยู่ลึก ๆ ละเอียด พุทธรัตนะก็มีลักษณะสวยงามมาก ไม่เหมือนพระพุทธรูป แต่ก็คล้ายพระพุทธรูป เค้าพยายามจำลองออกมาให้เหมือน มีเกตุดอกบัวตูมอยู่บนพระเศียร กายใสบริสุทธิ์ ใสกว่ากายมนุษย์ละเอียดกายทิพย์ พรหมหรือกายอรูปพรหม เป็นความใสที่แตกต่างจากความใสในโลก ความใสในโลกเวลากระทบแสงแล้วมันเคืองตา แต่ความใสของพุทธรัตนะภายในเป็นความใสที่เย็นตา ยิ่งใสมากก็ยิ่งสว่างมาก ยิ่งสว่างมากก็ยิ่งเย็นตาเย็นใจมาก ใสบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นมา เราจะรู้สึกอบอุ่นทีเดียว มีความรู้สึกมั่นใจ ปลอดภัยไม่ว่าภัยใด ๆ ทั้งสิ้นก็ตาม ภายในอบายภูมิ ไม่ต้องไปกันหละนรก ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เพราะเราอยู่ในภูมิอันสูงแล้ว เป็นพุทธรัตนะ ภัยในสังสารวัฏ ไม่กลัวกันแล้ว พอถึงตรงนี้ไม่กลัวกันแล้ว 

 


                เกิดความรู้อันยิ่งใหญ่เมื่อเข้าถึงพุทธรัตนะ คือธรรมจักขุจะเกิดขึ้น จะมีดวงตาที่เห็นได้รอบทิศ ทุกทิศทุกทาง ตอนเป็นกายมนุษย์หยาบอยู่จะมองอะไรนี่มันจะต้องเหลียวไปดู ดูไกลมันก็ไม่ชัดเท่ากับดูใกล้ จะดูทางซ้ายก็ต้องเหลียวซ้าย ดูขวาก็เหลียวขวา จะดูข้างหลังก็ต้องกลับหลังหัน ดูข้างล่างก็ต้องก้มลงไปดู ดูข้างบนก็ต้องเงย แต่นี่ไม่ต้องอย่างนั้นเลย นิ่งเฉย ๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว เกิดธรรมจักขุขึ้นมา เห็นได้รอบทิศ ทุกทิศทุกทาง เป็นการเห็นที่แตกต่างจากที่เคยเห็น เป็นเห็นที่วิเศษทีเดียว ดี ประณีต เห็นของปราณีตก็ได้หยาบก็ได้ เป็นการเห็นที่แจ่มแจ้งจะดูใกล้ไกล ดูที่มืดดูที่สว่างเห็นชัดเจนเท่ากัน

 

                เห็นอย่างนี้ภาษาบาลีเค้าใช้คำว่า วิปัสสนา คือเห็นได้วิเศษ ได้แจ้ง ได้ต่างเพราะมีธรรมจักขุ เกิดขึ้น เห็นได้รอบตัว เห็นไปทุกทิศทุกทาง ถ้าสมมติว่าทุกคนนี่เห็นได้ทุกทิศทุกทาง อะไรมันจะเกิดขึ้น ถ้าเห็นได้ทุกทิศทุกทาง เห็นได้ทุกทิศทุกทางอย่างนี้ เห็นในอดีตก็ได้ เรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเอง เรื่องราวของตัวเองเห็นได้ตลอดเลย อะไรจะเกิดขึ้น รู้เรื่องเลยว่าเอ๋ ชีวิตที่มาอยู่ในปัจจุบันนี้ เราได้ประกอบเหตุอะไรเอาไว้ และจุดดั้งเดิมของชีวิตเรานั้นมาจากไหน ก็สาวไปหาเหตุเลย สาวไปเรื่อย ๆ มองไปสืบไปดูทีเดียว เห็นต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเรา และก็ดูผู้อื่นมั่ง ดูสรรพสัตว์ทั้งหลายทำไมถึงมันมี ถึงมีสัตว์นรก มีเปรต มีอสุรกาย มีสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็นับไม่ถ้วนชนิด เปรตก็หลายตระกูล อสูรกายก็มาก นรกก็เยอะแยะไปหมด  ทำไมถึงมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นมาแต่เดิมหรือว่ามันเป็นอย่างไง

 


                  แล้วมนุษย์ทำไมมีหลากหลายจังเลย ภาษาก็ไม่เหมือนกัน ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีก็ไม่เหมือนกัน ความนึกคิดความเชื่อก็ไม่เหมือนกัน และก็มองไปสืบ แล้วเทวดา ทําไมวิมานก็ไม่เหมือน รัศมีก็ไม่เหมือน ทําไมกายเขาแตกต่างจากเรา พรหมอรูปพรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้ารู้อย่างนี้แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น ถ้าวิชชาอย่างนี้เกิดขึ้น มันก็จะเกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ความเห็นของเราก็จะเปลี่ยนไปเลย เราจะมีความเห็นตรง ตรงไหน ตรงไปสู่อายตนนิพพาน ไม่แวะข้างทางแล้ว ไม่อยากจะรู้เรื่องอื่น อยากจะรู้เรื่องราวของพระนิพพานแล้ว ไม่อยากจะไปเป็นอย่างอื่นแล้ว อยากจะไปเป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าหากว่าเห็นอย่างนี้ เมื่อธรรมจักขุเกิดขึ้น ญาณทัสสนะเกิดขึ้น ปัญญา วิชชา แสงสว่าง บังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันอย่างนี้อะไรมันจะเกิดขึ้น  นี่คือสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของพวกเรานะจ๊ะ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราไปปรุงแต่งหรือไปทำให้ขึ้นมา ลูกทุกคนเป็นผู้มีบุญ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา มาได้ทราบวิธีการที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงสรณะที่พึ่งที่ระลึกภายใน เป็นผู้มีบุญมาก

 

เมื่อเราได้ทราบวิธีการปฏิบัติคร่าว ๆ แล้ว ต่อจากนี้ไป ก็ให้ชำระกาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส เมื่อกาย วาจา ใจ สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่ แต่ตอนนี้ให้ลูก ๆ ทุก ๆ คนเอาใจหยุดนิ่ง ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด ตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ที่จุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ แล้วก็ภาวนาในใจนะจ๊ะ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง ขณะนี้อากาศกำลังเป็นใจ เยือกเย็นสบายสบาย กำลังเอื้ออำนวยให้ผู้มีบุญทุก ๆ คน ได้เข้าถึงธรรม ให้ใช้ภาวะ โอกาสที่อากาศกำลังดีนี้ เป็นสิ่งเกื้อหนุนในการปฏิบัติธรรมทุก ๆ คนนะจ๊ะ 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013035496075948 Mins