กายมนุษย์ละเอียด

วันที่ 01 มิย. พ.ศ.2567

010667b01.jpg
กายมนุษย์ละเอียด
๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดยพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                เมื่อเราหลับตาแล้ว ก็ทำใจให้ปลอดโปร่ง ให้ว่างเปล่าจากภารกิจทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามจะเรื่องธุรกิจการงาน เรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ทิ้งไปซะให้หมดเลย หลับพอสบาย ๆ ทำใจให้ปลอดโปร่ง ปรับร่างกายให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายทุกส่วน โดยไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเราเกร็งหรือเครียด ปรับกันนะจ๊ะ ซัก ๑ หรือ ๒ นาที ปรับร่างกายและจิตใจให้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กัน ทำให้ดีนะจ๊ะ

 


                วันนี้มีบุญใหญ่ ๓ อย่าง มาพร้องรวมกันในวันนี้ คือตอนภาคเช้านี้ จะมีพิธีบูชาข้าวพระ ตอนภาคบ่ายก็จะทอดกฐินสามัคคี แล้วก็ต่อด้วยการเทปูนฐานรากสภาธรรมกายสากลกัน บุญใหญ่มาพร้อมรวมกันในวันนี้เนี่ยถือว่าเป็นวันดีที่เราทุกท่านจะต้องตั้งใจแสวงหาบุญกันให้เต็มที่ โดยการพยายามทำกายวาจาใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส อย่าให้มีความขุ่นมัวเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะมีสิ่งอะไรก็ตามที่ไม่ถูกหู ถูกตา ถูกใจเราน่ะ ก็อย่าไปสนใจนะจ๊ะ ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส จะได้เหมาะสมเป็นภาชนะรองรับบุญใหญ่กัน

 


              สำหรับลูกกัลยาณมิตรที่อยู่ต่างประเทศ คงไม่มีโอกาสได้มาเห็นภาพของพวกเราเหล่ากัลยาณมิตร ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ โดยไม่ได้หวาดหวั่นอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่ ๒-๓ วันก่อนหน้านี้ ฝนฟ้าก็ตกมีดีเปรสชั่นผ่านเข้ามา ทำให้บางแห่งเกิดฝนตกน้ำท่วม ถนนหนทางขาด แต่ว่าด้วยหัวใจของยอดนักสร้างบารมีก็ไม่มีใครหวาดหวั่นวิตกกังวลอะไร ฝนตกได้ตกไป น้ำท่วมได้ท่วมไป ทางขาดได้ขาดไป แต่ใจของเรามุ่งต่อการสร้างบารมี เพราะฉะนั้นอะไร ๆ ก็ไม่เป็นอุปสรรค 

 


                ดังนั้นในวันนี้เนี่ย เหล่ากัลยาณมิตรจำนวนมากทั่วประเทศ ได้เดินทางไกลกันมาประชุมกันสร้างบารมีกันที่นี่ ภายใต้สภาธรรมกายสากล ซึ่งในขณะนี้เราได้สร้างไปแล้วได้ส่วนหนึ่ง หลังคายังไม่ได้มุง แต่ว่ามีซาแลนด์แทนหลังคามุงคุมกัน เพราะฉะนั้นลูกกัลยาณมิตรที่อยู่ต่างประเทศ จะได้รับทราบว่าลูกกัลยาณมิตรภายในประเทศนี้เนี่ย ลำบากแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้หวั่นไหว ในอุปสรรคทั้งปวง มุ่งสร้างบารมีอย่างเดียว โดยยึดหลัก คำขวัญที่ว่า นักสร้างบารมีไม่มีวันว่างจากการสร้างบารมี คือไม่มีวันไหนที่ว่างเลยและก็จะไม่มีวัน ที่จะว่างเว้นจากการสร้างบารมี 

 


                เพราะฉะนั้นภายใต้ซาแลนด์สีเขียวที่ครอบคลุมหลังคา พื้นที่นั่งก็เป็นแผ่นดิน ปูด้วยกระสอบ มีแผ่นพลาสติกปูรองกันอีกชั้นหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันออก แสงแดดก็ยังสาดส่องมา แต่ทุกคนก็ไม่ได้หวั่นไหว รอบทิศมหาเมฆก็คลึ่มกันปกคลุมกันไปทั่ว จะแสงแดดก็ดี ฝนฟ้าก็ดี ที่นั่งจะเป็นแผ่นดิน หลังคามุงด้วยซาแลนด์ก็ดี สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หัวใจของยอดนักสร้างบารมีหวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะเจริญสมาธิภาวนา แสวงหาบุญกุศลกันทั้งวัน เพราะฉะนั้นลูกกัลยาณมิตรที่อยู่ต่างประเทศ ก็ขอให้ได้รับทราบเอาไว้ ว่าเราเหล่ากัลยาณมิตรทั่วประเทศ ได้กำลังทำสิ่งที่ใคร ๆ ยากที่จะทำได้อย่างนี้นะจ๊ะ

 

 

                และ ณ บัดนี้เราก็จะได้ทำกันไปพร้อมเพรียงกันทั่วโลก ในตอนภาคเช้านี้เราจะประกอบพิธีบูชาข้าวพระกัน การบูชาข้าวพระก็คือการนำเอาเครื่องไทยธรรม ซึ่งเป็นของหยาบ อันมีดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาว เรานำจากบ้านกันมาคนละเล็กคนละน้อย แล้วก็มาประชุมรวมพร้อมกันที่สภาธรรมกายสากล เพื่อที่จะได้น้อมนำเครื่องไทยธรรมซึ่งเป็นของหยาบเหล่านี้ มากลั่นให้ละเอียดบริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมกายในตัวของเรา แล้วก็อาราธนาพระธรรมกายในตัวของเราน่ะ น้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้า ในอายตนนิพพานนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน 

 


                การทำอย่างนี้เรียกว่าการบูชาข้าวพระ แต่ทั้งนี้มิได้หมายถึงว่า พระธรรมกายพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย จะได้เสวยอาหารเหมือนอย่างพระสงฆ์ขบฉันอย่างนั้นนะจ๊ะ การบูชาข้าวพระนี้ มีสืบเนื่องกันมายาวนานทีเดียว ในสมัยพุทธกาลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ เสด็จจาริกเที่ยวบิณฑบาตโปรดสัตว์ พร้อมกับหมู่พระอริยสาวก ผู้มีบุญในกาลก่อนได้มีโอกาสใส่บาตร แต่หลังจากที่ท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ต่างก็ระลึกนึกถึงพระองค์ท่าน 

 


                ได้สร้างพุทธปฏิมากรคือพระพุทธรูป ถอดแบบออกมาจากพระธรรมกายในตัว มีทรงเกตุดอกบัวตูม เป็นตัวแทนของพระบรมศาสดา ตั้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชา โดยตอนเช้า เมื่อมากราบไหว้พระพุทธรูป ก็นึกถึงว่าประหนึ่ง ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เตรียมอาหารหวานคาว ใส่ถ้วยเล็ก ๆ มาตั้งไว้ที่หน้าโต๊ะหมู่ ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้มีโอกาสได้ตักบาตร ใส่บาตรแด่พระองค์ท่าน เพื่อหวังบุญกุศลติดไปในภพเบื้องหน้า ด้วยการเจริญพุทธานุสสติ 

 


             ระลึกพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอารมณ์ กระทำกันอย่างนั้นเรื่อยกันมา การทำแบบนี้เรียกว่าการขอถึง พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยมีพุทธปฏิมากรเป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต่อมาเมื่อมีการบังเกิดขึ้นของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี ท่านได้สละชีวิตค้นพบวิชชาธรรมกายขึ้น ที่กลางโบสถ์วัดบางคูเวียง ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๑๐ เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้ว ท่านได้ศึกษาค้นคว้ากันเรื่อยมา จนกระทั่งพบว่าพระธรรมกายนั่นแหละคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เราคือธรรมกาย 

 


                     ตถาคตคือธรรมกาย หรือพูดง่าย ๆ พระธรรมกายนั่นแหละคือตถาคต คือพระพุทธเจ้า คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เมื่อท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้วน่ะ ใช้คำว่าดับขันธปรินิพพาน ก็หมายความว่าขันธ์ต่าง ๆ นั้นดับไป ขันธ์ทั้ง ๕ ของกายมนุษย์ก็ดี ขันธ์ ๕ กายทิพย์ก็ดี ขันธ์ ๕ กายรูปพรหมก็ดี ขันธ์ ๕ กายอรูปพรหมก็ดี ดับไปแล้ว ถอดไปแล้วก็เหลือแต่ธรรมขันธ์ คือพระธรรมกาย ซึ่งเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา เสด็จเข้าสู่อายตนนิพพาน เมื่อท่านค้นพบอย่างนี้เข้า ท่านก็ศึกษาค้นคว้ากันเรื่อยมาตลอดระยะเวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ 

 


                 ก็พบว่ามีมากมายก่ายกอง มากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔ คือมากกว่าเมล็ดทรายที่มีอยู่ในโลกนี้เนี่ยทั้งหมด มีไม่มีประมาณทีเดียว ลักษณะตรงกับพระธรรมกายในตัวของมนุษย์ทุกคน แต่ว่ากายโตใหญ่กว่า เกตุดอกบัวตูม ใสยิ่งกว่าเพชร นั่งสงบนิ่งอยู่ในอายตนนิพพาน นับพระองค์ไม่ถ้วนทีเดียว กิจอย่างอื่นไม่มี ท่านเป็นตัวของตัวเองตลอด เป็นอิสระเป็นตัวตนที่แท้จริง อยู่ในอริยาบถนั่ง เพราะไม่เมื่อยจึงไม่ต้องมีการเปลี่ยนอริยาบถ สงบนิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ เข้านิโรธสมาบัติอยู่ในกลางกายของท่าน 

 


                เพราะฉะนั้นการบูชาข้าวพระ ก็อาศัยหลักวิชชาธรรมกายอย่างนี้แหละ นำเครื่องไทยธรรมซึ่งเป็นของหยาบ กลั่นให้เป็นของละเอียดให้บริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมกายที่มีอยู่ในตัวของเรา และผู้รู้แจ้ง ที่ทำวิชชาธรรมกายเป็น ก็น้อมนำเอาเครื่องไทยธรรมอย่างนี้ กลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์จนมีความละเอียดเท่าเทียมกัน ด้วยวิชชาธรรมกาย ก็น้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน การบูชาอย่างนี้ก็เรียกว่าบูชาข้าวพระแบบเข้าถึง ตัวจริงของท่าน คือเข้าถึงธรรมกายในตัวของเราก่อน แล้วก็น้อมไปถึงธรรมกายของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายในอายตนนิพพาน ถ้าหากว่าใคร ได้เข้าถึงจริง ศึกษาวิชชาธรรมกาย จนกระทั่งแตกฉานทำได้จริงก็จะน้อมไปถวายอย่างนี้ได้

 


                   เพราะฉะนั้นการบูชาข้าวพระแบบเข้าถึงในวันนี้จึงมีอานิสงส์มาก เพราะถูกตัวจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน บุญนั้นเป็นอสงไขยอัปมานัง นับกันไม่ไหว แค่ถวายบิณฑบาตแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์หนึ่ง อานิสงส์ก็นับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ส่งผลให้เรามีความสุขในสุคติภพ และในมนุษโลกท่องเที่ยวอยู่ ๒ ภูมิ คือเกิดเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์ก็ไปเป็นเทวดา หมดเวลาของเทวดาก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักทุคติเลย ไม่เกิดไปเป็นเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และสัตว์นรก 

 


                ใจจะตั้งมั่นอยู่ในพระรัตนตรัยตลอด จะสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทั้ง ๓ คือรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน แค่หนึ่งพระองค์ก็ได้บุญกันถึงขนาดนั้นแล้ว แต่นี่นับพระธรรมกายไม่ถ้วนของพระพุทธเจ้านี้ไม่ถ้วน บุญก็เกินควรเกินคาด ไม่อาจจะคำนวณได้เท่าไหร่ ที่เราทำกันได้อย่างนี้ก็เพราะความปรารถนาในกาลก่อน ที่ทำสืบเนื่องกันเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ว่าจะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม เพื่อจะมุ่งค้นคว้าเข้าไปเรื่อย ๆ ว่าที่สุดแห่งธรรมอยู่ที่ไหนไปสุดสายธาตุสายธรรมของตัวเอง ไปให้รู้จักธาตุธรรมทั้งมวล ให้หลุดพ้นจากบ่าวจากทาสของพญามาร จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปให้ถึงที่สุด เพราะฉะนั้นบุญใหญ่นี้จึงบังเกิดขึ้น เกินควรเกินคาด ที่จะสนับสนุนให้เราได้ต่อเนื่องกันไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม

 


                  เพราะฉะนั้นการบูชาข้าวพระแบบเข้าถึงนี้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นอสาธารณะ ไม่ทั่วไป เป็นอสาธารณะสำหรับผู้มีบุญ ที่มีความปรารถนาในกาลก่อน อย่างต่อเนื่องกระทั่งบัดนี้ว่า จะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นบุญใหญ่นี้จึงบังเกิดขึ้น เมื่อเราทราบเหตุผลนี้แล้วต่อจากนี้ไป เราจะได้ตั้งใจกลั่นกาย วาจา ใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส วิธีทำใจให้บริสุทธิ์นั้นน่ะ มีวิธีลัดที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้เร็วที่สุด ก็คือการทำใจหยุดใจนิ่งนั่นเอง ใจหยุดนิ่งนี่แหละจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ภายใน ถ้าหยุดนิ่งกระทั่งถูกส่วนเข้า ก็จะเห็นความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น

 


                   เป็นดวงธรรมสว่างปรากฏเกิดขึ้นที่กลางกาย อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ปรากฏเป็นดวงธรรมกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ กลมใสสะอาดบริสุทธิ์ ปรากฏเกิดขึ้นในกลางนั้น นั่นคือความบริสุทธิ์ในเบื้องต้น เมื่อใจเราหยุดต่อไปในกลางความบริสุทธิ์ของดวงธรรมเบื้องต้นนั้น ไม่ช้าเราก็จะเข้าถึงดวงธรรมถัด ๆ ไป ซึ่งมีเป็นชุด ชุดหนึ่งก็ ๖ ดวงธรรม ผุดเกิดขึ้นอยู่ที่กลางใจหยุดใจนิ่งนั้น คือดวงธรรม เป็นธรรมเบื้องต้นเรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน 

 


                 ถัดไปก็เป็นดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ดวงธรรมทั้งหมดนี้น่ะมีอยู่แล้วในตัวของเรา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราไป สมมติบัญญัติหรือนึกสร้างขึ้นมา จินตนาการขึ้นมา สิ่งนี้มีอยู่แล้วแต่ว่าเราน่ะไม่รู้ว่ามี แล้วไม่รู้จักวิธีที่จะเข้าถึง ไม่เคยเจอกันมาก่อน เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้จัก คำว่าธรรมเนี่ย ดวงธรรมเนี่ยมีความหมายมากมายก่ายกองทีเดียว มีผู้เคยรวบรวมคำว่าธรรมะในพระไตรปิฎกได้ถึง ๕๐ กว่าความหมาย แต่ที่น่าอัศจรรย์คือในความหมายดั้งเดิมของคำว่าธรรมะ ในคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธศาสนาก่อนที่จะมีนิกายต่าง ๆ แยกแยะกันออกมา เป็นพุทธนิกายน่ะ นิกายเดียวยังไม่มีหลาย ๆ นิกายอย่างในปัจจุบัน      

 


                  แปลกทีเดียวคำสอนดั้งเดิมของคำว่าธรรมะ มาพร้องตรงกับคำสอนที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านค้นพบขึ้นมาในตัวเนี่ย คำสอนนี้เนี่ยท่านบอกว่าธรรม คำว่าธรรมเนี่ย มีลักษณะเป็นดวงกลม ๆ เหมือนดวงแก้ว นี่เป็นสิ่งที่แปลกนะจ๊ะ ในคำสอนดั้งเดิมในทางพระพุทธศาสนาน่ะ หลังจากพุทธปรินิพพานได้ประมาณ ๑๐๐, ๒๐๐ ปีก่อน ๕๐๐ ปี จะมีคำสอนเนี้ยตกค้างทิ้งเอาไว้อยู่ ซึ่งเดี๋ยวนี้กระจัดกระจายไปอยู่ตามคัมภีร์ต่าง ๆ ของนิกายต่าง ๆ โดยเฉพาะในมหายานกระจายกัน ซึ่งเค้าได้ระบุเอาไว้ว่า คำว่าธรรมนั้นน่ะ มีลักษณะเป็นดวงกลม ๆ ใสบริสุทธิ์ ใสเป็นแก้วเป็นเพชรทีเดียว เกิดขึ้น 

 


                 แต่หลังจากนั้นมาก็เลอะเลือนหายกันไป เพิ่งจะมาค้นพบกันใหม่ เมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมนี่มันมีอยู่ในตัวน่ะ แสวงหาธรรม ธรรมบางทีก็แปลว่าความถูกต้อง ความดีงาม แปลว่าทรงเอาไว้ก็ได้ แปลว่าความบริสุทธิ์ก็ได้ แต่ลักษณะนั้นจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ ที่จะเป็นความหมายตรงต่อหนทางของพระนิพพาน ดวงธรรมเหล่านี้จะมีเป็นชุด อยู่ในกลางกาย ๖ ดวงหนึ่งชุด พอสุดดวงที่ ๖ ก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด อยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ กายมนุษย์ละเอียดหน้าตาเหมือนตัวของเรานี่แหละ แต่ว่างดงามกว่า ยิ่งกว่าการส่องกระจกดูตัวเองน่ะ และกายนี้นั่งขัดสมาสทำสมาธิอยู่ในกลางอยู่ในกลางตัวของเรา 

 


                  เมื่อใจเราหยุดนิ่งถูกส่วน กายร่อนออกหมดแล้วนะ กายหยาบ สุดดวงธรรมดวงที่ ๖ ก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เป็นกายที่สวยงามกว่ากายมนุษย์หยาบ พอเข้าถึงกายนี้เนี่ย เราก็จะมีความรู้สึกว่ากายข้างในเนี่ยเป็นตัวจริงกว่ากายข้างนอก กายข้างนอกนี่เหมือนเป็นกายที่อาศัยชั่วคราว เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หลวงพ่อนึกถึงโยมคนหนึ่ง ท่านเป็นอดีตเสรีไทย สิ้นชีวิตไปแล้ว ท่านเคยเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าตอนเป็นเสรีไทย ท่านเป็นนักเรียนนอกเรียนที่อังกฤษ สมัครเป็นเสรีไทยรุ่นเดียวกับด๊อกเตอร์ป๋วยน่ะ แล้วก็ถูกส่งมาฝึกที่อินเดีย ฝึกเดินทางขึ้นเขาลงห้วย โดดร่มอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นน่ะ 

 


                ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักอะไรทั้งสิ้น เป็นชาวพุทธแต่ในนาม ในสัมมโนประชากรแค่นั้นเอง สัมมโนครัวเท่านั้นเอง ท่านถูกฝึกให้เดินไม่ให้หลับไม่ให้นอนเลย ๒๐ กว่าชั่วโมง โดยบนหลังก็มีเป้ของทหาร มีบริขารของทหาร มือถือปืนกลเบา ปืนกลเบาน่ะมันชื่อว่าเบาน่ะ แต่ความจริงมันหนัก เดินขึ้นเขาลงห้วย ฝึกไปอย่างนั้น ครูฝึกก็ไม่ยอมให้หยุดพักไม่ยอมให้นั่ง เดินเข้าไปอย่างนั้น รุ่นเดียวกันก็ล้มลุกคลุกคลานกันไป แต่ท่านก็ฝืนใจเดินต่อไปเรื่อย ๆ ท่านบอกขึ้นเขาลงห้วยพอถึงชั่วโมงที่ ๒๑ มันเหนื่อยมากแทบขาดใจทีเดียว แต่ก็มีมานะทิฏฐิใจแข็งว่าครูฝึกเค้ายังไปได้เราก็ต้องไปได้ ครูฝึกเป็นชาวต่างชาติ เราเป็นชาวไทย ถ้าหากว่าเราล้มซะตั้งแต่ตอนนี้เนี่ย มันก็อายเค้า 

 


                เกิดมานะทิฏฐิก็เดินไป ท่านเล่าให้ฟังบอกตัวมันชาไปหมดแล้ว จะแย่อยู่แล้ว ชั่วโมงถัดมาเนี่ยท่านบอกว่าท่านสิ้นสภาพความเป็นคน ก็ถามท่านสิ้นสภาพความเป็นคนเป็นยังไงน่ะ ท่านบอกความรู้สึกที่ความเป็นคนเป็นตัวกายมนุษย์หยาบมันหายไป เกิดอาการฟ้องเบาขึ้นและมีความสุขอย่างประหลาด ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกที่กายหยาบมันหายไป เห็นตัวเองซึ่งท่านก็ไม่รู้จักว่ามันอะไร นั่งขัดสมาสทำสมาธิอยู่กลางอก โตเท่าหนึ่งคืบหน้าตักหนึ่งคืบ ใสเป็นเพชร แต่ออกสีฟ้าอ่อน ๆ นิดหน่อย ใสเป็นเพชรทีเดียว และในสภาวะนั้นท่านบอกท่านมีความสุข มีกำลัง ไม่เหนื่อย ไม่หิว ไม่ง่วง ไม่กระหาย ไม่ทุรนทุราย มีความสุขอยู่กับสิ่งที่เห็น และเกิดความรู้แจ้งในตอนนั้นว่า กายที่ท่านเห็นที่เหมือนตัวท่านเท่าคืบนึงนั่นน่ะ คือตัวตนของท่าน 

 


                 ส่วนกายหยาบนั้นน่ะอาศัยชั่วคราว มีง่วงมีเหนื่อย มีหิวมีเพลีย มีกระหาย แต่กายนี้มันไม่มี ท่านบอกว่าท่านติดใจภาพนี้มาตลอดเลย ไม่เคยลืมตอนที่เล่าให้ฟังก็อายุ ๗๐ เศษแล้วน่ะ ท่านบอกเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกได้อยู่ แต่ทำไม่ได้อย่างตอนนั้น เพราะตอนนั้นความเป็นความตายอยู่เฉพาะหน้า เมื่อมีสิ่งอะไรที่พอเป็นที่พึ่งยึดได้ก็ยึดตรงนั้น แต่สิ่งที่ท่านชัดเจนที่สุดก็คือกายมนุษย์ละเอียดที่ท่านเห็น และท่านก็มาเข้าใจในภายหลัง หลังจากที่บอกว่านั่นแหละกายมนุษย์ละเอียดแหละ ปกติมันก็อยู่กลางกายเรา แต่เวลาหลับก็ทำหน้าที่ฝันไป นี่กายมนุษย์ละเอียดอยู่ในกลางดวงธรรม ที่ชื่อว่าดวงวิมุตติญาณทัสสนะนะจ๊ะ 

 


                แต่ในทางพระพุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วน่ะ ยังมีกายอีกที่นอกเหนือจากนี้ ประเสริฐเลิศกว่ากายนี้เข้าไปอีก มีเป็นชั้น ๆ เข้าไปทีเดียว ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ที่เข้าใจว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงน่ะ เมื่อใจหยุดลงไปในกลางกายมนุษย์ละเอียดถูกส่วนเข้าน่ะ เดี๋ยวก็เข้าถึง เข้าถึงนะจ๊ะ คือเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วน่ะ ดวงธรรมอีก ๖ ดวงในทำนองเดียวกันน่ะ ที่สุกใสสว่างกว่า แล้วก็เข้าถึงกายอีกกายหนึ่งคือกายทิพย์ สวยงามหนักยิ่งขึ้น เกิดความรู้สึกใหม่ว่า กายทิพย์นี้แหละเป็นตัวเรา กายมนุษย์ละเอียดเมื่อกี้นี้คิดว่าใช่ กลายเป็นไม่ใช่อีกแล้ว กายที่ละเอียดกว่าคือกายทิพย์ มีความรู้สึกว่าน่าจะเป็นตัวเรา 

 


                 พอเอาใจหยุดต่อไปอีก ในกลางกายทิพย์ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวงในทำนองเดียวกันอย่างเนี้ย แต่ดวงธรรมก็โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อย กายก็โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็เข้าถึงกายรูปพรหม พอเข้าถึงกายรูปพรหม ความคิดก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว แต่เดิมเข้าใจว่ากายทิพย์เป็นตัวตนที่แท้จริง ตอนนี้เข้าใจว่ากายรูปพรหมคือตัวตนที่แท้จริง กายทิพย์นั้นชั่วคราว เมื่อดำเนินจิตต่อไปอีกหยุดนิ่งในกลางกายรูปพรหม ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ชุด อีก ๖ ดวง อีก ๑ ชุดอีกแล้ว สุดกลางดวงที่ ๖ ก็เข้าถึงกายอรูปพรหม ถึงกายอรูปพรหมก็มีความคิดเช่นเดียวกันนะว่าแต่เดิมเข้าใจว่ากายรูปพรหมนั้นเป็นตัวตนที่แท้จริง พอถึงกายอรูปพรหมก็เข้าใจว่ากายอรูปพรหมคือตัวตนที่แท้จริง กายรูปพรหมไม่ใช่ นี่ความรู้มันก็จะละเอียดขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เป็นไปตามลำดับ 

 


                พอใจหยุดในกลางกายอรูปพรหมถูกส่วนเข้า ก็เข้าถึงดวงธรรมอีก๖ ดวง กลางดวงที่ ๖ ก็เข้าถึงกายธรรม กายธรรม ตอนนี้เกิดความมั่นใจว่ากายธรรมนี่แหละเป็นตัวตนที่แท้จริง นอกนั้นไม่ใช่ กายอรูปพรหมก็ไม่ใช่ กายรูปพรหมไม่ใช่ กายทิพย์ไม่ใช่ กายมนุษย์ละเอียดไม่ใช่ กายมนุษย์หยาบที่เราอาศัยนั่งทําสมาธินี้ก็ไม่ใช่ แต่จากกายธรรมนี้ไปก็เห็นแต่กายธรรมพิมพ์เดียวกันไปตลอดเลย แต่โตใหญ่บริสุทธิ์แตกต่างกันไป ยิ่งขึ้นเรื่อยไปตามลำดับ เราเป็นชาวพุทธต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริง ที่เป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่ระลึกคือพึ่งท่านได้ ดับทุกข์ได้และเป็นสิ่งเดียวที่จะต้องระลึกนึกถึงตลอดเวลา คือกายธรรมนี่เอง 

 


                  ถ้าหากว่าเป็นชาวพุทธแค่เพียงอาภรณ์ประดับกาย ในทะเบียนสัมมะโนครัวแล้วยังไม่รู้จักว่าที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้นน่ะคืออะไร อยู่ตรงไหน มีลักษณะอย่างไร เข้าถึงแล้วมีรสมีชาติอย่างไรนี่ เราก็เป็นชาวพุทธกันไปอย่างนั้นแหละ พุทธศาสนาที่คนไม่ค่อยเห็นคุณค่ากันทั้ง ๆ ที่ของน่ะดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่คนเข้าไม่ถึง ไม่รู้จักก็มองเห็นว่าไม่มีคุณค่า ไม่มีความสำคัญ ที่จริงแล้วน่ะนี่คือทั้งหมดของชีวิต เพราะชีวิตของเราจะต้องเดินทางไกลต่อไปอีก หลังจากตายแล้ว แต่เชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดไม่หมด เราก็ยังจะต้องเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ แต่จะไปเป็นอะไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ต้องมีอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าเชื้อแห่งการเกิดจะดับไป จะหมดไปนั่นแหละ 

 


                  ดังนั้นสรณะที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้นมีเพียง ๑ เดียวคือพระธรรมกายในตัว ซึ่งท่านเป็นพุทธรัตนะ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ผู้พ้นแล้ว เป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา เป็นตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งอื่นนะจ๊ะ เราเกิดมาจนกระทั่งอายุมาขนาดนี้ บวชเรียนกันมาขนาดนี้ ถ้ายังเข้าไม่ถึงตรงนี้ ความเป็นชาวพุทธยังไม่สมบูรณ์นะจ๊ะ ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ ต่อจากนี้ไปเราจะยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริง เราจะทุ่มเทชีวิตจิตใจ ปฏิบัติให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ในตัวนี้ให้ได้ ถ้าถึงได้แล้วปิดประตูอบายอบายภูมิไม่ต้องไป มีสุคติเป็นที่ไปทุกชาติ กระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม ต่อจากนี้ไป สำหรับท่านที่มาใหม่จะได้แนะวิธีทําใจให้หยุดให้นิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยนะจ๊ะ

 


                ให้เอาใจหยุดนิ่งไปที่ศูนย์ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ฐานที่ ๗ คือตรงนี้นะจ๊ะ สมมติเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น ท่านที่มาใหม่นึกตามไปนะ เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ เล็กเท่ากับปลายเข็ม เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน จุดตัดที่ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่สำคัญมากที่สุดเลยนะจ๊ะ เพราะว่าเป็นทางที่เราจะเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ดังกล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น ท่านสิงสถิตอยู่ในกลางนี้ เราจะต้องเอาใจของเรามาหยุดที่ตรงฐานที่ ๗

 


                 ถ้าหากว่าเราไม่มั่นใจว่าตำแหน่งในกลางท้อง ที่เราจะเอาใจไปหยุดนิ่งตรงนี้เป็นฐานที่ ๗ ก็ให้กำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจคือ สร้างมโนภาพให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา จะนึกถึงความบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ โดยนึกเอาพุทธปฏิมากร พระพุทธรูปเป็นตัวแทนของท่าน นึกถึงความบริสุทธิ์ของท่าน จนกระทั่งพระพุทธรูปนั้นใสเป็นแก้ว จะนึกถึงพระแก้วเป็นตัวแทนของพุทธเจ้าก็ได้นะจ๊ะ ขนาดใหญ่เล็กแล้วแต่ใจของเราชอบ ให้ท่านนั่งขัดสมาสทำสมาธิอย่างเรานี่แหละ ลักษณะเกตุดอกบัวตูม ปางสมาธิ ใสบริสุทธิ์เป็นแก้ว นั่งหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา อยู่ในกลางท้องน่ะ นึกถึงตัวท่าน ตัวท่านอย่างเดียวนะ ถ้าฐานใหญ่เทอะทะละก้อทิ้งไป เหลือแต่องค์ท่านน่ะ เป็นพระแก้วใส ๆ บริสุทธิ์นะจ๊ะ เนี่ยนึกถึงท่านอย่างนี้นะ ให้พระแก้วเป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ใจของเราจะได้ไม่ซัดส่ายไปที่อื่น หรือใครจะชอบพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะนึกเอาดวงแก้วแทนดวงธรรมซึ่งเป็นที่รวมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นดวงแก้วกลม ๆ แทนพระแก้วใส ๆ ที่ใจเราชอบนะจ๊ะ 

 


                ถ้าเราชอบดวงแก้วเราก็นึกดวงแก้ว ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจเรา สมัครใจชอบอย่างไหนก็เอาอย่างนั้นนะ นึกถึงดวงแก้วให้ใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางท้อง ใสเหมือนกับเพชรหรือจะนึกถึงสังฆรัตนะ นึกถึงใครไม่ออกก็นึกถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย แทนสังฆรัตนะ ขนาดใหญ่เล็กแล้วแต่ตัวเราชอบ ให้ท่านนั่งขัดสมาสทำสมาธิอยู่ในกลางตัว อยู่ในกลางท้องของเราก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง ใน ๓ อย่างนี้ที่ใจเราชอบ เป็นพระแก้ว เป็นดวงแก้ว หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ นึกแล้วก็น้อมตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ กลางท้องของเรา ทำใจหยุดใจนิ่งให้ดี ใจหยุดนิ่งเฉย สบาย ๆ พร้อมกับภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาเรื่อยไปจนกว่าใจของเราจะหยุดจะนิ่ง เห็นองค์พระแก้วใสบริสุทธิ์ชัดเจน หรือเห็นดวงแก้วใสบริสุทธิ์ชัดเจน หรือเห็นหลวงพ่อวัดปากน้ำใสบริสุทธิ์ชัดเจนนะจ๊ะ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ

 


                ใจของเรายังหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เอาใจหยุดนิ่งให้ดีนะจ๊ะทุก ๆ คน ตั้งใจให้ดี อย่าลืมตา อย่าพูดอย่าคุยกันนะ ตอนนี้สำคัญนะจ๊ะ ตั้งใจให้ดี เอาใจหยุดนิ่งอย่างสบาย ๆ ไปที่กลางกายฐานที่ ๗ ถ้าเราหยุดนิ่งได้ถูกส่วนเดี๋ยวเราก็จะเห็น เห็นดวงธรรมใสบริสุทธิ์ เห็นกายมนุษย์ละเอียดเห็นกายทิพย์ เห็นกายรูปพรหม เห็นกายอรูปพรหม แล้วก็เห็นกายธรรม เราจะเห็นชัดทีเดียว ซ้อนกันอยู่ภายใน ใสบริสุทธิ์ ถ้าเราละเอียดเราจะเป็นกายนั้นไปเลย เป็นไปทุกกาย ๆ ทีละกายไปเรื่อย กระทั่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรม กายธรรมท่านจะเป็นตัวเรา เราเป็นท่าน กลืนกันเป็นอันเดียวกันไปเลย 

 


                  การบูชาข้าวพระนั้นน่ะ เราจะต้องอาศัยกายธรรมอย่างเดียวกายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม ทำไม่ได้ ได้แค่เป็นทางผ่าน พอเราเข้าถึงกายธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรม ใสบริสุทธิ์สว่าง ต่อจากนี้ไปก็เป็นเรื่องของกายธรรม กายธรรมที่จะศึกษาวิชชาธรรมกาย เป็นเรื่องของกายธรรมแล้ว เราก็น้อมเอาเครื่องไทยธรรมตั้งไว้ในกลางกายนะจ๊ะ ทำเท่าที่เราทำได้กันไปก่อน เพราะผู้ที่จะน้อมถวายคือคุณยายที่จะไปถวายในวันนี้เนี่ย เราก็น้อมตั้งไว้ในกลางกาย ที่เค้าทำวิชชาเป็นแล้ว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรม จะมีความรู้สึกเป็นกายธรรมเป็นอันเดียวกันไปเลย 

 


                 ใสบริสุทธิ์จะเห็นเครื่องไทยธรรมชัดสว่าง อยู่ในกลางกายธรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย คุณยายก็น้อมเครื่องไทยธรรม ทับทวีขึ้นไปถวายแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า ในอายตนนิพพานนะ นับพระองค์ไม่ถ้วน คือเต็มไปหมด เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ สว่างไสวด้วยธรรมรังสีของพระธรรมกายพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย เต็มไปหมดเลย ใสสว่าง คุณยายก็น้อมทับทวีขึ้นไปน่ะ ถวายให้สุดรู้สุดญาณ ไปให้สุดเลยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เนี่ยทับทวีกันขึ้นไป 

 


                   เมื่อเป็นกายธรรมแล้วนี่ทุกอย่างก็เป็นอัตโนมัติ ทับทวีเครื่องไทยธรรมก็ใสเป็นแก้วใสเหมือนกับธรรมกายอย่างนี้แหละ สว่างมีรัศมีเต็มไปหมดเลย เต็มไปหมดเลย ทั่วถึงทุกพระองค์ เท่าที่รู้ญาณจะไปถึง เท่าที่ธรรมจักขุจะเห็น ญาณทัสสนะกว้างไกลครอบคลุมไปถึงไหน เครื่องไทยธรรมก็ไปถึงนั้นเมื่อเรากล่าวคำถวายแล้วน้อมไปถวาย ปุญญาภิสันธา ท่อธารแห่งบุญก็บังเกิดขึ้น เกิดกระแสบุญเป็นอัตโนมัติทันที มาจรดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ จากอายตนนิพพาน จากทุกพระองค์ที่เราไปถึง เข้าถึงแค่ไหนก็มาแค่นั้นน่ะ มาจรดที่กลางกายใสบริสุทธิ์ สว่าง เป็นดวงบุญติดอยู่ในกลางกายทุกกายไปเลย

 


                ดวงบุญก็กลมคล้าย ๆ กับดวงธรรมอย่างนั้นแหละ แต่มีกระแสบุญอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่เป็นปุถุชนจนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า ให้เราได้สมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทั้ง ๓ คือรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภยศ สรรเสริญสุข มรรคผลนิพพานนะ ติดอยู่ในกลางนั้นไปเลยทุกชาติ ติดหมดชาติต่อไปในการมาสร้างบารมีของเรานั้นน่ะ เราจะสร้างได้อย่างสะดวกสบายง่ายดาย ไม่ลำบากเหมือนกับชาตินี้เนี่ย เพราะว่าบุญที่เราทำถูกจุดแห่งบุญ ถูกอู่แห่งบุญคือธรรมกายของพระพุทธเจ้า บุญนั้นบริสุทธิ์ เราได้ทำใจให้บริสุทธิ์เลื่อมใสในพระรัตนตรัย

 


                เครื่องไทยธรรมก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ทั้งหลายมาตรงกันพร้องกันประชุมพร้อมกันหมด เพราะฉะนั้นพญามารก็กันสมบัติไม่อยู่ เวลาสมบัติจะเกิดขึ้นน่ะ รูปสมบัติก็งามแข็งแรงอายุยืน ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีประมาณเกิดขึ้น ไม่ขลุกขลักเหมือนชาตินี้ อยากจะทำบุญทั้งทีก็รอขายที่ขายบ้านน่ะ มันยังลำบากทั้ง ๆ ที่มีศรัทธานะ บุญมันยังไม่เต็มเปี่ยม หรือเป็นประธานรวม อยากจะทำคนเดียวให้มันอิ่มใจก็ทำไม่ไหว ก็ต้องรวมกันมาทำ หรือจะทำเป็นหลังก็จะต้องมีศรัทธามากมายก่ายกองกว่าจะถอนใจดังหนึบออกไปได้ 

 

 

                แต่ถ้าบุญขนาดนี้สมบัติเกิดขึ้นอย่าว่าแต่หลังเดียวเลย จะกี่หลังก็ทำได้ จะทำประธาน จะเป็นประธานหลัก อยากจะถวายสร้างสภาธรรมกายสากลเดี๋ยวนี้ ก็ต้องคอยเวลาให้เหมาะสมกว่าจะมีความพร้อมทำได้เป็นหลัง แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่บังเกิดขึ้นต่อไปในภพเบื้องหน้า สมบัติจะมากมายก่ายกองที่จะเกิดขึ้น คุณสมบัติ ความเฉลียวฉลาด รู้แจ้งแทงตลอดทั้งทางโลกทางธรรม ทันเหลี่ยมคูผู้คน ทันโลก แทงตลอดทุกความรู้ทุกศาสตร์ต่าง ๆ ทุกชาติไปเลย ก็สะดวกสบาย วิชชาธรรมกายอยากรู้อยากเห็นนัก ในชาตินี้มันลำบาก ชาติต่อไปก็ง่ายดายสะดวกสบายทุกอย่างไปเลยนะ

 


                เพราะฉะนั้นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน เกิดขึ้นด้วยการทำถูกจุดของบุญ อู่ของบุญคือธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานอันนี้แหละ ส่วนผลบุญในปัจจุบันนี้ ก็ต่อเนื่องกันลงมา ผังในอดีตของแต่ละคนซึ่งเป็นผังของชีวิตที่เค้า เราทำมาแต่ชาติในอดีตนั่นน่ะ ทำดีมั่งทำชั่วมั่ง เฉย ๆ มั่ง ประสมปนเปกันไปอยู่ ไอ้ช่วงไหนทำไม่ดี ผังสำเร็จนั้นมันติดตัวมาจากในอดีต ทำให้ขลุกขลัก ทำให้ลำบากทำให้มีอุปสรรค เห็นสมบัติอยู่ข้างหน้าแต่ก็คว้าไม่อยู่ อะไรอย่างนี้เนี่ย 

 


                บุญนี้ก็จะช่วยขจัดปัดเป่าหนักก็เป็นเบา เบาก็หายไปเลยน่ะ เนี่ยบุญในปัจจุบันอันนี้จะเกิดขึ้น อุปสรรคต่าง ๆ ก็ละลายหายสูญหมด ถ้าหากสู้จนหมดอายุขัย สร้างบารมีกันต่อไป บุญกุศลที่ติดอยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ก็ส่งผลขึ้นไปสู่สุคติภูมิ พอเป็นชาวสวรรค์ดวงบุญของกายทิพย์บังเกิดขึ้น มีสมบัติทิพย์ มีวิมานใหญ่โตสวยงาม มีสมบัติอันเป็นทิพย์เกิดขึ้นมีบริวารเป็นทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ สัมผัสทิพย์ สมบัติทิพย์หมดทุกอย่าง สวยสดงดงามทีเดียวมีจิตใจอยากจะประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่เพลิดเพลินแบบชาวสวรรค์ทั่วไป นี่คืออานิสงส์โดยย่อที่เราจะได้รับจากการบูชาข้าวพระครั้งนี้นะจ๊ะ

 


                ต่อจากนี้ไปคุณยายก็คุมบุญให้พวกเราทุกคนตั้งผังสำเร็จ ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ อุปสรรคต่าง ๆ นานาให้ละลายหายสุญ ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย คิดอะไรให้สมความปรารถนา ส่วนพวกเราเจ้าของบุญเอาใจหยุดอยู่ในกลางกาย แล้วก็ตรึกระลึกนึกถึงบุญอธิษฐานจิตของเรา ด้วยความมั่นใจในบุญกุศลที่เราทำกันในวันนี้ ความสำเร็จก็จะบังเกิดขึ้นนะจ๊ะ ทำใจให้ดี ต่างคนอธิษฐานให้ กันไปด้วยความมั่นใจในบุญทุก ๆ คนนะลูกนะ 

 


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0011934161186218 Mins