ฉากหลัง

วันที่ 06 มิย. พ.ศ.2567

060667b01.jpg

ฉากหลัง
๒ มีนาคม ๒๕๔๐
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจให้ดีนะจ๊ะ ทุกท่านตั้งใจให้ดี ให้นั่งขัดสมาสโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ส่วนใครที่นั่งไม่ถนัด จะนั่งขัดสมาสชั้นเดียวก็ได้นะจ๊ะ ให้มีความรู้สึกว่า เราสบายก็แล้วกัน แต่ให้เอามือขวาทับมือซ้ายนิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับตาเบา ๆ แค่พอเปลือกตาปิดเบา ๆ แต่อย่าถึงกับปิดสนิทนะจ๊ะ หลับเบา ๆ แค่แตะ ๆ หรือปรือ ๆ ตาด้วยซ้ำไป หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตานะจ๊ะ ถ้าเราหลับตาเป็นเดี๋ยวเราจะเห็นภาพภายใน อย่างที่เราคาดไม่ถึงทีเดียว 

 


                เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่ศึกษาไว้ให้ดีนะ ท่านั่งท่านี้ถอดแบบออกมาจากพระธรรมกาย ที่อยู่ภายในตัวของเรา หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเข้าไปพบค้นพบ เห็นว่าท่านนั่งอย่างนี้น่ะ ก็เลยถอดแบบออกมา ใครเข้าถึงก็จะเห็นอย่างนี้เหมือนกัน เหมือนกันหมดเลยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธุ์ ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ล้วนแต่มีธรรมกายข้างในเหมือนกันไปหมด พิมพ์เดียวกันไปเลยนะจ๊ะ เหมือนปั๊มกันอกมาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นท่านั่งท่านี้จำเอาไว้ แต่เวลาเรากลับไปนั่งที่บ้าน เราอาจจะผ่อนคลายโดยไม่ต้องถึงกับคำนึงถึงกฎเกณฑ์มากเกินไป 

 


                ให้นั่งอยู่ในท่าสบายแต่ท่านี้ต้องศึกษาเอาไว้ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตัก พอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบาย คล้ายกับเรานอนหลับนะจ๊ะ แล้วก็ขยับเนื้อขยับตัวให้ดี ของใครของมันนะ ขยับร่างกายให้อยู่ในสภาพที่กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลายหมด ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเราเกร็งหรือเครียด ตั้งแต่กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ เปลือกตา ต้นคอ บ่าไหล่ทั้งสอง แขนถึงปลายนิ้วมือทั้ง ๒ นะจ๊ะ ผ่อนคลายให้หมด กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ขาทั้ง ๒ ถึงปลายนิ้วเท้า ผ่อนคลายให้หมดเลย ผ่อนคลาย เพราะฉะนั้นขยับเนื้อขยับตัวกันให้ดีนะ ให้ดี ของใครของมันนะจ๊ะ ขยับให้ดี ตรงนี้อย่าดูเบานะ 

 


                ถ้าเราเกร็งหรือตั้งใจมากเกินไป ตั้งใจจะเอาท่าสวยนะ เกร็งกัน เดี๋ยวมันก็ทำให้เราเกิดความตึงเครียด นั่งแล้วไม่ได้ผลหรอก ต้องผ่อนคลาย เพราะร่างกายของเรานี่เป็นร่างกายที่ไม่ได้มาตรฐานแล้วน่ะ จะเอาอย่างกายของพระธรรมกายในตัวน่ะไม่ได้หรอก เพราะกายท่านตรง สวยงามได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนบริบูรณ์ นั่งแล้วไม่ปวดไม่เมื่อย แต่กายมนุษย์นั้นน่ะมันเพี้ยนมาแล้วน่ะ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว กระแสกรรมมันบีบคั้น เหมือนรถที่ตัวถังบุบบี้อย่างนั้นน่ะ ถึงเครื่องเคราจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าตัวถังบุบมันก็ทำอะไรก็ไม่ค่อยสะดวก สรีระยนต์นี่เหมือนกันนะจ๊ะ ตัวถังของเรา กายเนื้อของเราเนี่ยมันบุบบี้ไปหมดแล้ว พิการกันหมดทุกคนในโลก ที่เค้าว่าประกวดนางงาม ชายงามอะไรอย่างนั้นน่ะ ไม่จริงหรอก พิการทั้งนั้นแหละ 

 


                เราจะรู้ได้ยังไงว่าพิการ รู้ต่อเมื่อเข้าถึงกายที่ไม่พิการ กายมาตรฐานที่อยู่ภายในตัวของเรา พอเราเห็นกายมาตรฐานว่าขนาดนี้พอดีน่ะ พอมาเปรียบเทียบกันก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ไม่พอดี มีขาดกับเกินน่ะ ขาดไปมั่ง เกินไปมั่ง แต่ของมาตรฐานอยู่ในตัวนะจ๊ะ เมื่อเราหลับตาแล้ว กล้ามเนื้อผ่อนคลายหมดแล้ว ก็ปรับที่ใจ ใจของเรานี่ต้องปล่อยวางภารกิจเครื่องกังวลทั้งหมด ถ้าเป็นนักเรียนก็เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาเล่าเรียน ต้องผ่อนคลายปล่อยวางชั่วคราวนะลูกนะ เรื่องการเรียนน่ะ ชั่วคราว ถ้าหากว่าเป็นผู้ครองเรือนก็วางภารกิจเกี่ยวกับเรื่องการครองเรือน ชั่วคราว ที่ประกอบธุรกิจการงานทำมาหากิน จะเป็นอาชีพอันใดก็ตาม ก็วางกันไปชั่วขณะ ทิ้งทุกสิ่งให้หมดเลย 

 


                ทำเสมือนว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยเจอะเจอภารกิจอื่นมาก่อนเลย ปล่อยวางทิ้งหมดเลย ต้องทิ้งอย่างงั้นนะจ๊ะ ต้องทำอย่างนั้นแหละ และก็อย่าเพิ่งมาคิดว่าตอนนี้เรากำลังจะตั้งใจนั่งทำสมาธิ จะต้องเอาสมาธิให้เกิดขึ้น อย่าเพิ่งไปคิดอย่างนั้น ให้คิดอย่างนี้ คิดว่าเราจะมานั่งพักผ่อน พักผ่อนแบบอริยะ แบบพระอริยเจ้า ผู้ปลดปลงภารกิจทั้งหลายทั้งมวลออกจากใจหมดแล้ว จะมาอยู่ในโลกส่วนตัวของเรา ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอก เป็นโลกส่วนตัวของเรา 

 


                ใจของเราได้ใช้กันมาตลอดเวลาเลย ถ้าช่วงสั้น ๆ ก็หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่อาทิตย์ต้นเดือนที่แล้วมา ถึงอาทิตย์ต้นเดือนนี้เนี่ย เราใช้ใจไปคิดเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องงาน เรื่องการ เรื่องที่นอกเหนือจากนี้เนี่ย ไปคิดจนกระทั่งไม่มีความสุขเลย มีแต่ความวิตกกังวล เซ็งเครียดเบื่อกลุ้ม สั่งสมอยู่ในจิตในใจเรา ถึงเวลาวันนี้เนี่ย เราจะปลดปลงภาระเครื่องกังวลใจเหล่านั้นให้หมดสิ้นจากใจไปเลย จะมานั่งพักผ่อนปล่อยวางภารกิจทั้งหลาย จะอยู่ ณ จุดที่ปลอดความคิด ที่ไม่มีความคิดอันใดเข้ามา รกรุงใจจะวางใจนิ่ง ๆ ว่าง ๆ เหมือนมองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเนี้ยะ ให้มันว่างเปล่า 

 


                จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เป็นอะไรก็แล้วแต่ มันก็แค่ธาตุมาปรุงมาประกอบรวมกัน ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ อากาศธาตุ มารวมกัน เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เป็นอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งธาตุหยาบธาตุละเอียด มองทุกอย่างให้มันว่างเปล่า ใจของเราจะได้ว่าง ๆ ใจที่ว่างนี่แหละที่ปลอดจากความคิดทั้งมวล เป็นใจที่เหมาะสมต่อการที่จะเข้าถึงธรรมภายใน ซึ่งละเอียดไปตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นใจต้องปลอดโปร่งว่างเปล่าจากภารกิจเครื่องกังวลทั้งหลาย ปลดปล่อยวาง เหมือนตายแล้วจากสิ่งเหล่านั้นชั่วคราว 

 


                ทำประหนึ่งว่าเราอยู่คนเดียวในโลก โลกส่วนตัวของเรา แล้วก็ทำใจนิ่ง ๆ เฉย ๆ สบาย ๆ ทำอย่างนี้นะจ๊ะ ให้ใจสบาย ให้แช่มชื่น ให้นิ่ง ๆ ใจจะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระรัตนตรัย หรือเข้าถึงพระรัตนตรัย ดังนั้นตอนนี้ทำใจให้หยุด ให้นิ่ง สบาย ๆ ซักพักหนึ่งนะจ๊ะ ทำให้ใจนิ่ง ๆ สบาย ๆ ถ้าหากว่าการทำอย่างนี้ใจยังนิ่งไม่พอ เราอดที่จะไปคิดในสิ่งที่เราคุ้นเคยไม่ได้ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่าน ก็แนะนำว่า เราก็ควรจะเอาใจของเรามาผูกพันกับบริกรรมนิมิต กับบริกรรมภาวนา อย่าให้เผลอจากบริกรรมทั้ง ๒ นะจ๊ะ 

 


                บริกรรมนิมิตก็คือ การสร้างมโนภาพ นึกทางใจ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกไว้ในใจแทน ๆ การคิดเรื่องอื่น แทนการคิดเรื่องการเรียน ครอบครัว ธุรกิจการงาน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้เนี่ย ท่านให้เอาใจมาผูกไว้กับพระรัตนตรัยน่ะ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรมคำสอน นึกถึงพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติตาม เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้าท่านดับขันธปรินิพพานไปแล้วขณะนี้ก็เหลือแต่พุทธปฏิมากรเป็นตัวแทน พูดง่าย ๆ ภาษาชาวบ้านก็คือมีพระพุทธรูปนั่นแหละ เป็นสิ่งแทนตัวของพระบรมศาสดา 

 


                ถ้าเราชอบเจริญพุทธานุสสติ รักพระพุทธเจ้า นึกคิดถึงท่านแล้วสบายใจ ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูป นั่งขัดสมาสทำสมาธิ ประทับอยู่ในกลางกายของเราน่ะ นั่งขัดสมาสทำสมาธิอยู่ในกลางกายเรา ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่ใจเราชอบ ให้อยู่ในกลางกายของเรา ถ้าชอบพระธรรมคำสอนของท่าน เราจะนึกถึงสิ่งที่แทนธรรมรัตนะเป็นดวงแก้วใส ๆ ก็ได้นะจ๊ะ นึกเป็นดวงแก้วใสบริสุทธิ์ อยู่ในกลางกายของเราแทนพระพุทธรูปแก้วขาวใสบริสุทธิ์ แต่ถ้า ๒ อย่างนั้นเรานึกไม่ถึง ไม่เคยเห็น หรือไม่ค่อยได้กราบไหว้บูชา นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจะนึกถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญแทนสังฆรัตนะก็ได้ 

 


                นึกถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำให้ท่านมานั่งประทับ อยู่ในกลางกายของเรา สิงสถิตในกลางกาย นั่งขัดสมาสทำสมาธิเหมือนกัน สามอย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้นะจ๊ะ หรือกำหนดอย่างหนึ่งแต่ไปเห็นอีกอย่างหนึ่งก็ไม่เป็นไร เช่นนึกถึงพระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ เกิดไปเห็นเป็นดวงใส ๆ หรือเห็นเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ใช้ได้ทั้งนั้นนะจ๊ะ หรือกำหนดดวงแก้วใส ๆ เกิดไปเห็นเป็นพระแก้ว หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ใช้ได้อีกเหมือนกัน หรือกำหนดเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ แต่เกิดไปเห็นเป็นพระแก้วขาวใส หรือดวงแก้วขาวใส ก็ใช้ได้เหมือนกัน อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนี้น่ะ ใช้ได้หมดนะจ๊ะ นึกอย่างหนึ่งเห็นอีกอย่างหนึ่ง ดีทั้งนั้นเลย 

 


                หน้าที่ของเราคือดูเรื่อยไปน่ะ ดูไปอย่างสบาย ๆ สบาย ๆ นะจ๊ะ อย่าไปเคร่งเครียด ดูเหมือนดูทิวทัศน์น่ะ เหมือนดูน้ำตก ดูทะเล ภูเขา ดูดวงอาทิตย์ขึ้น ตก ดูพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือดูดวงดาวบนท้องฟ้าน่ะ ให้ดูเหมือนดูทิวทัศน์อย่างนั้น ดูเพลิน ๆ สบาย ๆ จะดูพระแก้วขาวใส ดวงแก้วใส หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำก็ดี ให้ใส ๆ ใช้ได้ทั้งนั้นนะจ๊ะ ดูไปอย่างสบาย ๆ ในกลางกายของเรา กลางกายนั่นน่ะ ถ้าตามหลักวิชชาแล้ว หมายเอาฐานที่ ๗ โดยกำหนดสมมติเอาเส้นด้าย ๒ เส้นมาขึงให้ตึง เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปข้างหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย จุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติเอานิ้วชี้นิ้วกลางวางซ้อนกัน ไปทาบตรงนั้น สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ 

 


                เพราะฉะนั้นคำว่ากลางกายของหลวงพ่อน่ะ คำเต็มคือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ จำง่าย ๆ เอาก็แล้วกัน ไม่ต้องไปคำนึงถึงกฎเกณฑ์ แต่ก็ต้องทำความรู้จักเอาไว้ จำง่าย ๆ ว่าอยู่ในกลางท้องของเราน่ะ คือเราหลับตาแล้วเราก็นึกถึง ๑ ใน ๓ อย่างนั้น เป็นพระแก้วใสบริสุทธิ์ หรือดวงแก้วใสบริสุทธิ์ หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำใสบริสุทธิ์ นั่งขัดสมาสทำสมาธิ นิ่งอยู่ในกลางกายฐานที่ ๗ นะ ตรงนั้นแหละ นึกไปอย่างสบาย ๆ ถ้านึกแค่นี้แล้วใจยังอดฟุ้งไม่ได้ ก็ภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ เรื่อยไปเลยนะจ๊ะ ทุกครั้งที่ภาวนาสัมมาอะระหัง จะต้องไม่ลืมนึกถึงบริกรรมนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่นึกถึงบริกรรมนิมิต จะต้องไม่ลืมภาวนาว่าสัมมาอะระหัง 

 


                ต้องไม่เผลอจากบริกรรมทั้ง ๒ คำว่าไม่เผลอก็คือในใจเราต้องมีอยู่แค่นี้แหละ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคำภาวนาสัมมาอะระหัง ควบคู่กันไปน่ะ อย่าเผลอนะจ๊ะ ทีนี้พอเราทำ ๒ อย่างเนี้ยะ คือนึกถึงบริกรรมนิมิตไปด้วย ภาวนาไปด้วย กำลังเพลิน ๆ เดี๋ยวจะเกิดอย่างที่ ๓ ขึ้นมา คือใจมันจะหยุดนิ่ง เป็นการนั่งที่แท้จริง ที่ใจปลดปล่อยวางภารกิจอย่างแท้จริง ในตอนแรก ๆ นั้นน่ะเราแสร้งทำน่ะ ปล่อยวางภารกิจ แต่ว่าเมื่อเราไม่เผลอจากบริกรรมทั้ง ๒ คือบริกรรมนิมิตกับบริกรรมภาวนา เดี๋ยวสิ่งที่ ๓ ก็เกิดขึ้นมา และเป็นใจที่ว่างเปล่าจากเครื่องกังวลอย่างแท้จริง ในใจก็จะมีแต่พระแก้วใส หรือดวงแก้วใส หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำใสบริสุทธิ์ ตอนแรก ๆ นะจ๊ะ เห็นจะไม่ค่อยชัดหรอก 

 


                เพราะฉะนั้นอย่าไปรำคาญนะจ๊ะ เราไม่ใช่เทวดา เราเป็นคนธรรมดา คนธรรมดาก็ต้องทำแบบคนธรรมดา อย่าไปเข้าใจผิดว่าเราเป็นเทวดา พอนั่งปุ๊บนึกปั๊บจะได้เห็นทันที มันมีมีบ้างเหมือนกันนะจ๊ะ ประเภทมนุสเทโวเนี่ย เป็นมนุษย์แต่เหมือนเทวดา พอหลับตาปั๊บก็เห็นได้ทันทีเลย แต่ตั้งแต่สอนมามีอยู่ไม่กี่คนนะ นั่นถือว่าเป็นกรณียกเว้นเอาไว้ เค้าสั่งสมบุญมามาก พอหลวงพ่อแนะนำนิดหน่อย ไอ้สิ่งที่เค้าทำคุ้นเคยกันบ่อย ๆ มาหลายภพหลายชาติ มันเคยชินน่ะ พอแนะนำไอ้ของที่คุ้นเคยอยู่ก็ทำเป็นขึ้นมาเลยนาน ๆ เจอซักคนนึง 

 


                แต่ส่วนมากจะเจอประเภทขี้เกียจข้ามชาติน่ะ คือชาติที่ผ่านมาทำวันนึงหยุดไปห้าวัน ทำห้าวันหยุดไปเดือนนึง คือถ้านับจำนวนเวลาแล้วทำตั้งเป็น ๑๐ ปี แต่มันไม่ทุกวัน มันห่าง ๆ เป็นช่วง ๆ ขยันหน่อยฟิตหน่อยก็นั่ง พอตอนหลังเอาอีกแล้ว ขี้เกียจอีกแล้ว ให้ภาวนาไปภาวนอนนี่แน่ะ ล้มหมอนนอนเสื่อหลับปุ๋ยไปแล้ว ข้ามชาติกันมาเลยนะจ๊ะ มันไม่ประติดประต่อน่ะ พอชาตินี้มาเอาอย่างนี้อีก มันก็เลยนึกไม่ออก ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรายังเป็นคนธรรมดาไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดูแล้วผิดแผกจากคนอื่นนะจ๊ะ

 


                เพราะฉะนั้นเนี่ยเรานึกใหม่ ๆ มันจะยังไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร แต่การนึกถึงบริกรรมนิมิตนี้ มันเหมือนเส้นผมบังภูเขานะ ถ้าหากเราทำอย่างนี้เป็น คือนึกเหมือนเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นน่ะ หรือของที่เรารัก เรารักของอะไรน่ะ สมมติดอกกุหลาบ ดอกบัว เพชรซักเม็ดนึง แหวนเพชรน่ะ เพชรโต ๆ น่ะ พอเรานึกก็เห็นชัดขึ้นมาเลย โดยไม่ได้ใช้ความพยายามในการนึกเลย แต่ถึงจะชัดขึ้นมาเลยก็ยังค่อย ๆ ชัดขึ้น การนึกถึงบริกรรมนิมิตเหมือนกัน ก็ต้องค่อย ๆ ค่อย ๆ นึก ตรงนี้แหละถึงหลวงพ่อถึงต้องเอาคำว่า ใจเย็น ๆ นะลูกนะ ในการนึกน่ะ เราจะไปใจร้อนไม่ได้ ถ้าอยากได้เร็วจะได้ช้านะ อดทนหน่อยเถิดหนาจะได้เห็นน่ะ 

 


                ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ต้องใจเย็น ไม่ช้าเห็นธรรมกายสบายเลย ก็ต้องใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึกไป องค์พระเป็นอย่างไร ดวงแก้วเป็นอย่างไร หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นอย่างไร และนอกรอบในชีวิตประจำวันน่ะต้องอุ่นเครื่องกันทุกวันทีเดียว ตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งเข้านอนน่ะ นึกถึง ๓ สิ่งนี้บ่อย ๆ สิจ๊ะ เราเป็นชาวพุทธด้วยน่ะ นึกว่านึกเล่น ๆ เพลิน ๆ ว่ามีพระอยู่ในตัว หรือมีดวงธรรมอยู่ในตัว มีหลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ในตัว ไปไหนมาไหน เราก็จะได้อบอุ่นใจน่ะ นึกอย่างงั้นบ่อย ๆ จะได้เคยชิน พอมาถึงวันอาทิตย์ต้นเดือนเนี่ย เดี๋ยวหลวงพ่อแนะนิดเดียวแค่นั้นเอง ชัดใสแจ่มทีเดียว ตอนเนี้ยะ 

 


                ชัดใส ความใสของบริกรรมนิมิต เมื่อเปลี่ยนเป็นอุคหนิมิตคือชัดเหมือนลืมตาเห็นเลย เหมือนลืมตาเห็น ถ้าละเอียดกว่านี้น่ะ นึกให้ใหญ่ก็ได้ นึกให้เล็กก็ได้ ขยายใหญ่แค่ไหนก็ใหญ่ได้ ใหญ่เท่าตัวก็ได้ ใหญ่เท่ากับสภานี้ก็ได้ ใหญ่เท่ากับจังหวัดก็ได้ ใหญ่เท่ากับประเทศไทยก็ได้ ใหญ่เท่าทั่วโลกก็ได้ ใหญ่คุมไปหมด ไม่มีขอบเขตเลย นั่นเป็นปฏิภาคนิมิต แล้วมีความละเอียด ที่พูดนี่เค้าทำกันเป็นเยอะแล้วนะ และความใสความบริสุทธิ์และสิ่งที่ขยายออก มาพร้อมกับความสุขภายใน เป็นความสุขที่ใจเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ถูกกิเลสครอบงำชั่วคราวทีเดียวน่ะ 

 


                ใจจะขยายมีความปีติเบิกบาน โล่งโปร่งเบาสบาย เป็นอิสระ ใจนี้นุ่ม นุ่มชุ่มเย็นที่เดียวนะจ๊ะ ใจจะนุ่มชุ่มเย็นสบายสบาย อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นแหละต้นทางที่จะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วภายในตัวของเรา สิ่งที่มีอยู่แล้วคืออะไร ดวงธรรมภายใน ดวงธรรมภายในที่คล้ายกับบริกรรมนิมิต แต่ว่าแตกต่างกันฟ้ากับดิน สมมติเรากำหนดดวงแก้วนะจ๊ะ กลมรอบตัว พอใจนิ่งถูกส่วนมันวูบเข้าไปข้างใน ถึงสิ่งที่มีจริง มันดูแล้วกลมเหมือน ๆ กันนะ แต่พอเข้าไปถึงดวงธรรมภายในเราจะมีความรู้สึกดวงแก้วที่เรากำหนดนั้นมันไม่ค่อยกลมเท่าไหร่ แต่ดวงธรรมที่เราเข้าถึงนั้นกลมดิกเลย แล้วโปร่งบางเบาสบาย 

 


                มาพร้อมกับความสบาย ความสุขที่ละเอียดอ่อน มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ของใจ มาพร้อมกับความรู้แจ้ง ในระดับที่เราเข้าถึงดวงธรรมนั้นน่ะ มาพร้อมกับกำลังใจที่อยากจะทำความดี มาพร้อมกับมหากุศล อยากให้ทุกคนในโลกได้เข้ามาถึงจุดตรงนี้น่ะ เป็นเหมือนอย่างที่เรากำลังเป็นอยู่และก็มองเห็นทุก ๆ คนนี่เหมือนญาติ เหมือนญาติ เหมือนพี่น้องกันทีเดียว เมื่อเข้าไปถึงข้างในนี้เนี่ย กายภายในก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วภายใน กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กระทั่งกายธรรม มีอยู่แล้วภายในตัวของเรา มีมาตั้งนานทีเดียว นานเมื่อไหร่ 

 


                พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้คำหนึ่งว่า สิ่งเหล่านี้มีมาแต่ดั้งเดิม ไม่ว่าพระตถาคตเจ้าจะมาตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้ ท่านก็ใช้คำอย่างนี้เหมือนกันน่ะในพระไตรปิฎก คือมีมานาน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราสืบไปนะจ๊ะ สืบสาวไปเรื่อยว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะพ้นจากทุกข์ทั้งมวล นั่นคือต้องไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม สุดไปเลย ต้องไปให้ถึงตรงนั้นเลย ปล่อยชีวิตเข้าไปถึงกันเลย จึงจะรู้เรื่องรู้ราวกิจที่เรากำลังจะทำวันนี้เนี่ย เป็นกิจที่สำคัญนะจ๊ะ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวของเราน่ะ ตัวของเรานี่มันมีความทุกข์นะ มีอยู่ทุกวันเลยแหละ เป็นทุกข์ที่สังเกตออกบ้าง ไม่สังเกตบ้าง เคยชินมั่ง จนกระทั่งมันจำเจ ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ 

 


                มันมีทั้งทุกข์ประจำและก็จะมาเหมือนอาคันตุกะจรมาอย่างนั้นน่ะ อยู่ตลอด ๒๔ น. เลย ไม่ว่าจะนอนหลับฝันไปก็ยังมีความทุกข์ มันมีความสำคัญตรงนี้ คือชีวิตเราน่ะมันเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องสาวไปดูว่าอะไรน่ะเป็นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็สรุปได้ซึ่งเราถ้าได้พิจารณาจริง ๆ ก็จะพบว่าความอยากนั้นแหละเป็นทุกข์ ความทุกข์ทั้งหลายเนี่ยสาวไปจะสุดที่ความอยาก อยากได้ อยากมี อยากเป็น แค่อยากรวยอย่างเดียว นี่ก็ทุกข์ตั้งแต่เริ่มคิดแล้วน่ะ ก็อยู่ ๆ ไม่ใช่คิดปั๊บแล้วมันจะรวยเลย ไอ้อย่างนั้นน่ะมันมีบางคนที่เค้าสร้างบารมีมานาน อย่างท่านโชติกเศรษฐี ชฎิลเศรษฐี ท่านเมณฑกเศรษฐี นั่นท่านไม่ต้องคิดเพราะสั่งสมมหาทานบารมีมามาก เปิดหน้าต่างก็เห็นภูเขาทองโผล่มา อย่างนี้ในประวัติศาสตร์นี่มันมีอยู่ไม่กี่คน แต่ก็มีอยู่ นั่นเค้าทำของเค้ามามาก 

 


                แต่ส่วนใหญ่แล้วเนี่ย ส่วนใหญ่ เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์น่ะ มันไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นแค่คิดว่าอยากจะรวยอย่างเดียวเนี่ย เราก็ต้องคิดว่าจะรวยอย่างไร แค่คิดนี้ก็ปัญหามันก็ตามมาแล้วนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นความอยากเนี่ย อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากอะไรต่าง ๆ ที่ประกอบไปด้วยความเพลินน่ะ นันทิราคะสหคตา ความอยากที่ประกอบไปด้วยความเพลินน่ะ เพลิน เป็นเหตุให้เกิดภพใหม่ ความอยากอย่างนี้เนี่ย เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์แต่อยากพ้นทุกข์อยากไปนิพพานนั้นไม่ใช่นะ อันนี้นะจ๊ะเป็นคนละเรื่องกันทีนี้ก็สาวไปอีกอะไรล่ะ เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความอยาก 

 


                เราก็จะพบว่ามันมีกระแสชนิดหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มองไม่เห็น หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้คำว่าฉากหลัง มีฉากหลังซ้อน ๆ กัน สอนให้คิด ให้พูด ให้ทำพอทำไปแล้วก็มีวิบาก มีผลของการกระทำนั้น มันกระตุ้นอยู่ข้างในลึก ๆ มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น หยิบเอามาให้ดูก็ไม่ได้ มันต้องไปเห็นข้างในน่ะ คือใจมันต้องหยุดนิ่งถูกส่วน จนกระทั่งญาณทัสสนะเกิด เกิดในระดับที่ว่าต้องเข้าถึงพระธรรมกายแล้วน่ะ จึงจะเห็น กายมนุษย์ละเอียดก็ไม่เห็น กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม ไม่เห็นเลย แต่พอมาถึงกายธรรมแล้วน่ะ 

 


                ถึงกายธรรม พระธรรมกายในตัว กายทั้งก้อนต้องเป็นธรรมล้วน ๆ บริสุทธิ์ล้วน ๆ เลยถึงเรียกว่ากายธรรม บริสุทธิ์ล้วน ถ้าเป็นน้ำก็กลั่นแล้ว ไม่ใช่แค่กรองมาหรือเอาแค่สารส้มแกว่ง ตะกอนยังตกที่ก้นอยู่ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องกลั่นแล้วกลั่นอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าถึงธรรมกายเราถึงจะเห็นว่า มันมีสิ่งที่ลึก ๆ ละเอียดซ่อนเร้นอยู่ แต่ไม่อาจจะปิดบังธรรมจักขุของพระธรรมกายได้ เพราะธรรมกายท่านก็จะไปเห็น เห็นด้วยธรรมจักขุ และก็รู้ได้ด้วยญาณทัสสนะ เห็นว่ามันอะไร มันกระตุ้นเราอยู่ตลอดเวลา ให้อยากได้ อยากมี อยากเป็น เป็นนั่น เป็นนี่ตลอดเวลาเลย บางทีอยากจะทำความดี 

 


                แต่ไม่มีกำลังใจจะทำ บางอย่างรู้ว่าไอ้นี่ไม่ดีก็ยังอดทำไม่ได้บางที่ไม่ควรไปก็ไป บางที่ควรไปก็กลับไม่ไปนะ มันมีสิ่งที่ซ่อนเร้นข้างหลัง ซึ่งเมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้ว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่านแล้วก็จะเห็นชัดทีเดียว ว่าอ้อมันอยู่ตรงนี้เอง ที่ซ่อนเร้นอยู่ ตอนแรกก็เห็นว่าอ้อนี้มันเป็นกัณหธรรม ธรรมหรืออกุศลธรรม ครอบงำอยู่ คำว่าครอบ เค้าพูดอุปมาหรือว่าครอบจริง ๆ พอไปเห็นแล้วมันไม่ใช่อุปมาเลย มันไม่ใช่อุปมา มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอจากนั้นไป  เดี๋ยวก็สาวไปเห็นตัวเลย มีตัวมีตน มีภพที่อยู่ เพียบพร้อมเต็มไปหมดเลยว่าอ้อนี่ 

 


                นี่เองที่อยู่เบื้องหลังเป็นฉากหลัง ที่คอยกระตุ้นให้เราอยาก และก็กระทำความผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด แล้วก็มีวิบาก มีผล มีบาปศักดิ์สิทธิ์ ผลน่ะวนเวียนกันอยู่ในภพเนี่ย วนเวียนอยู่เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน สัตว์นรก วนกันอยู่อย่างนั้นแหละ คือจะเห็นชัดเจนเพราะฉะนั้นกิจที่เรากำลังทำนี้ เค้าเรียกว่ากรณียกิจ กิจที่ควรทำ เพราะทำแล้วเนี่ยจะไปรู้ไปเห็นเรื่องราวของตัวเรา แล้วจะทำให้เราหายสงสัยในหลาย ๆ เรื่อง พอเข้าไปถึงในนั้น วิชชามันจะเกิด เค้าเรียกว่าจุตูปปาตญาณน่ะ เห็นว่าทำไมชีวิตถึงหลากหลาย เราจะเห็นเลยว่า ทุกอย่างมันมีเหตุกับผล ได้ผลที่เป็นเหตุให้ชีวิตหลากหลาย 

 


                เพราะประกอบเหตุอะไรเอาไว้ ก็จะเห็นได้ชัดเจน แล้วก็จะมีวิชชาต่อไปอีกว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่เฉพาะชาติเดียวอย่างนี้หรือ หรือสืบเนื่องกันมาเหมือนลูกโซ่อย่างนั้นน่ะ สืบเนื่องกันมา ก็มีวิชชาถัดไปคือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ เห็นเป็นเรื่องไปตลอดเลย เนี่ยวิชชาทั้ง ๓ ก็จะเกิดขึ้น เมื่อเข้าถึงธรรมจักขุ เข้าถึงพระธรรมกาย แล้วบังเกิดธรรมจักขุและญาณทัสสนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เนี่ย เป็นวันที่เรากำลังทำกิจที่สำคัญยิ่ง ยิ่งกว่าการทำมาหากิน การทำมาหากินนั้นก็จำเป็น เพราะเราสังขารมนุษย์เนี่ยมันต้องเลี้ยงด้วยธาตุหยาบ สิ่งที่หยาบ ๆ 

 


                เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องไปประกอบทำมาหากินอย่างนั้นแหละ แต่อย่าลืมกิจที่สำคัญว่าเมื่อมีแล้วสิ่งหยาบ ๆ นั้นแล้วน่ะ ควรจะเอามาทำอย่างไร และเพื่อประโยชน์อะไร ดังนั้นหลักสำคัญของชีวิตจริง ๆ คือมุ่งเข้าไปสู่ภายใน หยาบเราก็ทำ ทำเพื่อจะได้มีโอกาสมุ่งเข้าไปสู่ชีวิตภายใน ไปแสวงหาความรู้ภายในที่ไม่มีที่สิ้นสุดเลย ที่เรายังไม่รู้อะไรเลย แม้แต่นิดเดียวเมื่อเข้าใจอย่างนี้ดีแล้วนะจ๊ะ ต่อจากนี้ไป ให้ตั้งใจนะ เอาใจหยุดนิ่ง ๆ เอาใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาจะเป็นพระแก้วขาวใสบริสุทธิ์ก็ได้ จะเป็นดวงแก้วขาวใสบริสุทธิ์ก็ได้ หรือจะเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ขาวใสบริสุทธิ์ก็ได้ หรือถ้านึกอะไรไม่ออก ยังทำอะไรไม่ได้ ก็ให้ทำหยุดทำนิ่งเฉย ๆ นะจ๊ะ ทำนิ่งเฉย ๆ สบาย ๆ ต่างคนต่างทำนะ ทำกันไปเงียบ ๆ หลวงพ่อจะเตือนเป็นช่วง ๆ นะจ๊ะ

 


                 ตอนนี้ลองทำดู ปรับกายผ่อนคลายกายให้มันสบาย ใจก็นิ่งอย่างเดียว หยุด นิ่ง เฉย ให้ใจนุ่มชุ่มเย็นอยู่ภายในนะจ๊ะ ใจนุ่ม ๆ นิ่ง ๆ เฉย เมื่อมีความรู้สึกว่าร่างกายเบาพองโตขึ้น ขยายขึ้น ปล่อยมันไปนะ อย่าลืมตา มันขยายจนกระทั่งเราลืมกายหยาบไปเลยเนี่ย เหมือนไม่มีตัวตน อย่าตกใจนะ บางคนใจหายแว๊บเลย เคยมีความรู้สึกที่ร่างกาย อยู่ ๆ มันหายไปเฉย ๆ อย่ากลัวนะจ๊ะ ไม่เป็นอันตรายอะไร นั่นเป็นลักษณะที่ใจเรากำลังเคลื่อนจากหยาบไปสู่จุดที่ละเอียดแล้ว จงทำหยุดทำนิ่งต่อไปอย่างสบาย ๆ ทำไปเงียบ ๆ นะ ใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย อย่าให้เคลื่อนเลย ให้นิ่งเฉย ๆ นิ่งอย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ 

 


                ใครที่เข้าถึงดวงธรรมภายในก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่กลางดวงธรรม ใครที่เข้าถึงกายภายใน ก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่กายภายใน จะเป็นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม หรือกายอรูปพรหมก็ตาม หยุดนิ่ง ใครเข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดนิ่งไปที่กลางกายธรรม หยุดอย่างสบาย ๆ หยุดให้สบาย ๆ นะจ๊ะ นิ่ง ๆ ที่จริงถ้ามันหยุดแล้วมันก็สบายอยู่แล้วน่ะ ถ้าหากเราหยุดจริง ๆ เดี๋ยวมันจะเข้าไปเป็นสิ่งนั้นเลยนะ ไปเป็นดวงธรรม เป็นกายภายใน แล้วก็เป็นพระธรรมกายน่ะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเข้าเท่าไหร่ก็มีความสุข มีปีติ มีความเบิกบาน มีความบริสุทธิ์ผ่องใส เราก็หยุดนิ่ง ๆ เบา ๆ 

 


                ถ้าใครวางใจเบา ๆ เป็นนะจ๊ะ เดี๋ยวเป็นเลย ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นน่ะ ไม่นานเท่าไหร่ นิ่งเฉย จะเป็นได้ต้องทิ้งทุกสิ่งไปเลยเนี่ย แล้วก็นิ่ง ใครที่เห็นกายธรรมผุดซ้อนขึ้นมา แล้วขยายกว้างออกไป ผุดมาทีละองค์ ๆ ๆ เราก็ดูเรื่อยไปเลยนะ ดูไปเฉย ๆ ดูการผุดขึ้นขององค์พระ ขึ้นมาแล้วก็ค่อย ๆ ขยายออกไปน่ะ ก็ดูไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็ช้า ๆ ทีละองค์ หนักเข้าก็ทีละหลายองค์ หลายองค์ ผุดเกิดขึ้นมา ยิ่งใจเราหยุดนิ่งเท่าไหร่ การผุดนั้นก็จะต่อเนื่องเป็นสายทีเดียว เหมือนเส้นทางสายกลางนี้มีแต่องค์พระทั้งนั้นน่ะ ยิ่งผุดขึ้นมาเท่าไหร่ ใจเรายิ่งสบาย ยิ่งบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เป็นหมดทุกองค์เลยน่ะ

 

 

                คราวนี้พอใจเราหยุดนิ่งดีแล้ว เราก็นึกน้อมเครื่องไทยธรรมนะจ๊ะ นึกน้อมไว้ในกลางกาย ถ้าใครยังทำไม่เป็นนี่ เข้าใจตรงนี้ยากซักนิดนึง พอน้อม น้อมแล้วมันเหมือนชะโงกมอง เหมือนมองเข้าไปในท้อง ของใหญ่แล้วเนื่องจากตัวไม่ขยายเนี่ยมันก็นึกว่า จะนึกให้ใหญ่มันก็นึกไม่ออก เราเตรียมของมาใหญ่ เยอะ พอเรานึกไว้ในท้องเลยเหลือนิดเดียว หลวงพ่อเห็นใจนะจ๊ะ เข้าใจ แต่ไม่เป็นไร เพราะการนำถวายด้วยคุณยายท่านคุมขึ้นไปถวายเองน่ะ เราก็นิ่งเอาไว้ ส่วนใครที่ทำเป็นแล้วเนี่ย ในระดับหนึ่ง คือเห็นองค์พระผุดเกิดขึ้นมา แต่ยังทำวิชชาธรรมกายไม่เป็น จะเริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้น 

 


                เพราะความจริงแล้วเนี่ย มันไม่ใช่เป็นอย่างนั้นน่ะ มันไม่ได้ชะโงกมองหรอก มันเป็นไปเลยน่ะ มันเห็นเป็น เห็นรอบตัวเลย ใสบริสุทธิ์ ขยายใหญ่ไปเรื่อย ส่งกันต่อกันไปเรื่อยเลย ต่อ ๆ กันไปนะ องค์นี้ผุดมาส่งต่อไปอีกองค์นึง ส่งกันต่อ ๆ ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ คุณยายก็คุมพวกเราหมดทุกคน คุมเครื่องไทยธรรมอาหารหวานคาว ดอกไม้ธูปเทียนไปถวาย เป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าน่ะ ทับทวีไปเรื่อยเลยเนี่ย ขึ้นไป ถวายไปทุกพระองค์เลย สั่งพุทธจักรน้อมไป จักรพรรดิทับทวีถวายไปเรื่อย ๆ จนถึงพระบรมพุทธเจ้าน่ะ ส่งกันต่อ ๆ ขึ้นไป 

 


                คุณยายก็ทับทวีกันขึ้นไป ให้สุดรู้สุตญาณไปเลยน่ะทับทวีไปคำว่าทับทวีนะมันต้องใจหยุดนิ่งสนิทแล้วถึงรู้จัก เราจะเห็นขบวนการภายใน เกิดขึ้นมากมายก่ายกองทีเดียว อย่างเป็นระบบระเบียบ มีอานุภาพ เห็นแล้วน่าปลื้มปีติในผลบุญ บุญซึ่งเป็นทุกสิ่งของชีวิตทีเดียว เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่เป็นปุถุชน จนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า จะเป็นสิ่งอยู่ข้างในลึก ๆ ในกลางกายของทุก ๆ คน เมื่อจิตเป็นกุศลนะ เมื่อเราเอาชนะความโลภ ความโกรธ ความหลงได้นะ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา 

 


                พอเราเป็นอย่างนั้นขึ้นมาเนี่ย ใจอุดมไปด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา กระแสธารแห่งบุญก็มาจรดกลางกายเลย เปิดพรึ่บขึ้นมาเลยเนี่ย สว่างอยู่ในกลางกายของเราเนี่ย พรึ่บเต็ม เหมือนอย่างบูชาข้าวพระวันนี้เนี่ย พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ขบฉันแบบ พระสงฆ์ขบฉันหรอกนะจ๊ะ เราถวายเป็นพุทธบูชา ท่านก็รับเอาไว้เป็นบุญของพวกเราน่ะ บุญน่ะเกิดขึ้นในกลางกายเราเลยเนี่ย เกิดขึ้นรวมมาเป็นดวงใสบริสุทธิ์ ในกลางนั้นก็มีสมบัติทั้งหลายน่ะ มีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีคุณสมบัติ ลาภยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพานนะ ซ้อนอยู่ในนั้นเต็มไปหมดเลย ติดหมดทุกกาย 

 


                สายสมบัติก็เชื่อมโยงกันมาเลย สายสมบัติก็มาจากแหล่งผลิตน่ะ มันอยู่ภายในลึก ๆ ละเอียด ๆ เชื่อมโยงที่กลางกายน่ะ ถ้าสายสมบัติก็เชื่อมโยงติดแน่น ไม่ขาดตอน เป็นช่วง ๆ เดี๋ยวก็จะดึงดูดสมบัติหยาบในเมืองมนุษย์เนี่ย ให้เรามาได้ใช้สร้างบารมีอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้นเลย แต่ที่ทุกวันนี้ เราใช้สมบัติกันไม่เต็มที่เนี่ยมันมีสิ่งหนึ่งน่ะ ซึ่งมันคอยย่อยแยกออกไปน่ะ ย่อยแยกออกไป ทำให้รวมกันไม่ติด ต้องไปตามรวมกันมาน่ะ ถึงจะติดกับตรงกลาง ติดเชื่อมติด แก้กันอยู่ทุกวันนี้เนี่ย เกี่ยวกับเรื่องสายสมบัติน่ะ ที่จะเชื่อมให้ติดกัน ถ้าติดแล้วละก็ มนุษย์ไม่ต้องทำมาหากินเลย เป็นอยู่ได้ด้วยบุญ จะมีสมบัติเกิดขึ้น ตอนนั้นเราจะนั่งหลับตากันอย่างเดียวน่ะ 

 


                นี่มันไม่ติด ติดมั่งหลุดมั่ง บางคนสายสมบัติก็โต บางคนก็เล็ก บางคนก็ริบหรี่ทีเดียวน่ะ ในกลางของแต่ละคน เป็นสิ่งที่ต้องเห็นได้ด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกาย เห็นมั้ยล่ะจ๊ะว่ามันสำคัญน่ะ มันจำเป็น จะเห็นแค่กายหยาบกายเนื้ออย่างเดียวมันไม่พอนะทีนี้คุณยายก็ทับทวีไปถวายให้สุดรู้สุดญาณไปเลย แล้วก็ขอบุญ ขอบารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิเฉียบขาดของพระนิพพานแก่ ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ เลย ว่าพวกลูกศิษย์ลูกหาของยาย ลูกหลานยายเนี่ย ทุกคนมีความตั้งใจดี สั่งสมบุญบารมีกันมา แม้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้นก็ตามเนี่ย ก็มีกำลังใจที่จะเอาชนะสิ่งนั้น สร้างบารมีกันเรื่อยมา 

 


                ขอบุญพิเศษให้เชื่อมโยงมาติดให้หมด ให้ดึงดูดสมบัติหยาบมาสร้างบารมี ไม่รู้จักหมดจักสิ้น ที่มีอุปสรรคต่าง ๆ นานานะ เค้าทำไว้มากน้อยแค่ไหนก็ให้ละลายหายสูญไปให้หมด ให้ธุรกิจการงานทุกคนเจริญรุ่งเรือง ประกอบสัมมาอาชีวะให้เจริญรุ่งเรือง ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เป็นครอบครัวธรรมกาย นักศึกษาก็ให้เป็นบัณฑิตเป็นนักปราชญ์ ประเทศชาติก็ให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นปิ่นนานาประเทศ โครงการเศรษฐกิจตกต่ำอะไรต่าง ๆ ก็ให้ละลายหายสูญ เอาบุญพิเศษเชื่อมโยงหมด บุญที่ได้จากการบูชาข้าวพระ ให้ถึงแก่ผู้มีบุญทุกท่าน เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ ทุก ๆ คน ที่ช่วยกันทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองน่ะ 

 


                เอาบุญนี้ให้ถึงแก่หมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว จะระลึกชื่อได้ก็ตามระลึกไม่ได้ก็ตาม ให้มีส่วนแห่งบุญที่ได้บูชาข้าวพระนี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ก็ให้มีส่วนแห่งบุญ มีทุกข์ก็ให้พ้นทุกข์ มีสุขแล้วก็มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วให้ลูกหลานยายทุกคน มีดวงตาเห็นธรรม ได้เข้าถึงพระธรรมกาย ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกายอย่างสะดวก สบาย อย่างง่ายดาย มีบุญพิเศษที่จะไปทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตร จะไปชักจูงแนะนำใคร ให้มาสร้างบารมีก็ให้สะดวกสบาย บุญพิเศษทั้งหมดนี่เลย 

 


                คุณยายเชื่อมโยงมาให้ติดที่ศูนย์กลางกายให้หมด ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็เอาบุญหล่อเลี้ยงต่ออายุไขแต่ถ้าหากว่าถึงคราวหมดอายุไข ก็บุญนี้ส่งต่อไปเลย อยู่ในสุคติโลกสวรรค์ ให้มีความสุข มีสมบัติอันเป็นทิพย์ มีอายุทิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์ มีพละทิพย์ มียศ มีอธิปไตยทุกอย่างพร้อมหมดเลย อันเป็นทิพย์ ส่งต่อไปเลย เนี่ยคุณยายคุมให้ดี ต่อจากนี้ไปก็ให้ต่างคนต่างอธิษฐานจิตกันตามใจชอบกันนะจ๊ะ 


 

 
 
 
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.018220317363739 Mins