จริงต้องได้

วันที่ 17 กค. พ.ศ.2568

17-7-68_11b%281%29.png

จริงต้องได้

 

ปรับกาย-ปรับใจ-วางใจ

                         ตั้งใจนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ หลับตาเบาๆพอสบายๆ ทําใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น แล้วก็หยุดนิ่งไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ

 

                         น้อมนำภาพองค์พระกลางดวงแก้วเอาไว้ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นึกถึงภาพองค์พระไปเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ค่อยๆประคองใจให้หยุด ให้นิ่งๆ ให้ใจใสๆ

 

บุญภาคบ่ายวันอาทิตย์

                         ภาคบ่ายนี้สำคัญไม่แพ้ภาคเช้า ซึ่งเราจะได้พร้อมใจกันระลึกนึกถึงบุญที่ทำผ่านมาในตอนเช้า เพื่อจะพร้อมใจกันอธิษฐานจิตและอุทิศส่วนกุศลไปยังบรรพบุรุษบุพการี หมู่ญาติของเราที่ละโลกไปแล้ว

 

                         แล้วจะได้น้อมนำเอาปัจจัยไทยธรรมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมกายของมหาปูชนียาจารย์ คือ พระเดชพระคุณหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย และทีมงานของท่าน ซึ่งมีคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นต้น จะได้น้อมนำไปถวายเป็นพุทธบูชา แล้วคุมบุญพิเศษนี้ให้กับเราและหมู่ญาติ เพราะฉะนั้นต้องฝึกใจให้หยุด ให้นิ่งๆ ให้ใจใสๆ นะลูกนะ ตั้งใจกันให้ดี

 

กรณียกิจแห่งชีวิต

                         การฝึกใจให้หยุดนิ่งเป็นกรณียกิจ เป็นกิจที่สำคัญสำหรับการมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะจะทำให้เราพบความสุขที่แท้จริง และพบความเป็นจริงของชีวิตเมื่อเราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัวแล้ว นี่เป็นกิจที่ควรจะต้องทำควบคู่กับการทํามาหากิน การศึกษาเล่าเรียน การครองเรือน แม้พวกเราจะทราบว่าเป็นกรณียกิจ แต่มักไม่ค่อยมีความขยันหมั่นเพียรที่จะปฏิบัติ หรือปฏิบัติก็พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจริงจังเพื่อให้ใจตั้งมั่นอยู่ภายใน

 

เหตุที่นั่งไม่ได้ผล

                         ที่ท้อก็เพราะนั่งแล้วมีความรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้า ไม่เห็นผลทันอกทันใจ ซึ่งการที่เรานึกคิดอย่างนี้ ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติธรรมย่อมมีผลขึ้นสักวันหนึ่ง แต่ต้องค่อยๆ สั่งสมความละเอียดของใจไปทุกๆ วัน เพราะใจเราหยาบด้วยการทำมาหากิน คิดพูดทำแต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์จิตหยาบ ฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ไม่ตั้งมั่น แล้วจู่ๆ จะให้มาหยุดนิ่งให้ได้ดั่งใจเลย มันไม่ได้นะลูกนะ ต้องอาศัยการฝึกฝนสั่งสมกันไปทุกๆ วัน

 

                         เรามักจะให้ความสําคัญกับความสนุกสนาน เพลิดเพลินผ่อนคลายอารมณ์ไปในเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ดูทีวีบ้างอ่านหนังสืออ่านเล่นให้เพลินๆ หรือไปเที่ยวเตร่ พูดคุยกันให้เสียเวลา ไม่ค่อยจะให้ความสําคัญกันอย่างจริงจัง ซึ่งความจริงแล้วถ้าตั้งใจปฏิบัติกันจริงๆ ทำให้ถูกหลักวิชชา ทบทวนคำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วหมั่นปฏิบัติ หมั่นสังเกต เราก็จะพบเหตุแห่งการบกพร่อง และช่องทางแห่งความสําเร็จ ความสมหวังย่อมจะเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน

 

                         พวกที่หาไม่ได้มีเพียงประการเดียวคือไม่ได้ทําหรือทําย่อหย่อน ไม่จริงจังก็ไม่ค่อยเห็นผล อย่าว่าแต่เป็นคฤหัสถ์เป็นฆราวาสเลย แม้แต่เป็นพระก็เหมือนกัน เฉพาะพระเณรวัดพระธรรมกายนะ หากรักจะเข้าถึง ชอบ รู้อานิสงส์ว่าเข้าถึงแล้วดี มีประโยชน์ แต่ถ้าปฏิบัติย่อหย่อน ไม่เอาจริงเอาจัง เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์บ้าง หรือว่าไปทําอะไรที่นอกเหนือจากนี้

 

                         ถ้าให้เวลาไปกับอย่าง นั่งร้อยปีก็ไม่ได้ผล เพราะว่าเสียเวลากันไปเปล่าๆ กับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เสียทั้งเวลาการปฏิบัติเสียทั้งค่าใช้จ่ายในการเล่นอินเทอร์เน็ต หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้นซึ่งกว่าจะได้คอมพิวเตอร์มาสักเครื่อง ญาติโยมต้องทํามาหากินด้วยความยากลําบาก กว่าจะเกิดกุศลศรัทธามาถวาย แล้วเอาแต่ถ้าเอาปัจจัยมาชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทํางานพระศาสนาไปทําอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานพระศาสนา สิ่งนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์แถมเกิดโทษกับบุคคลที่ใช้เครื่องนี้อย่างผิดวัตถุประสงค์ บาปก็เกิดขึ้นกับตัว บุญก็ห่างไกล ธรรมะไม่ต้องพูดถึง จะส่งผลในภพชาติต่อไป ต้องทุกข์ยากลำบาก ต้องเป็นหนี้ ต้องมาใช้หนี้กันเป็นวัวเป็นควาย เป็นต้น

 

                         เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตวัดพระธรรมกายก็ต้องเอาใจใส่ ใช้เวลาที่มีจํากัดในโลกนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตอนที่กำลังแข็งแรง ยังสดชื่นอยู่ สังขารยังพอประดับประคองกันไหว โรคยังน้อย ความปวดเมื่อยยังน้อย เครื่องกังวลยังน้อยควรจะรีบฉกฉวยโอกาสที่ดีนี้มาทำความเพียร มาปฏิบัติธรรม เดี่ยวเราก็ฝันในฝันกันเป็น เดี๋ยวก็เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว อย่าปล่อยให้โอกาสนี้เป็นวิกฤติ คือผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะความไม่เอาจริงจึงไม่ค่อยได้ผลแห่งการปฏิบัติทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต

 

                         ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใหม่ เอาสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ซึ่งเป็นเล่ห์เหลี่ยมของพญามาร เขามาบังคับให้เราคิดเราพูด เราทําอย่างนี้ ต้องเอาสิ่งนี้ออกจากใจ ให้ในใจมีแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท หมั่นศึกษาฝึกฝนปฏิบัติตน สักวันหนึ่งเราจะต้องสมหวังกันอย่างแน่นอน ที่ไม่สมหวังไม่มี เพราะพระรัตนตรัยก็อยู่ในตัวของเรา ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอก ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็อยู่ในตัวของเรา ใจก็ของเรา แต่เราปล่อยให้ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ถ้าเราเอาใจกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิมมาหยุดนิ่งกันอย่างนี้ได้ต้องเข้าถึงกันทุกคน

 

                         ตอนแรกก็ฟุ้งมากหน่อย เมื่อยมากหน่อย มืดมากหน่อยเคลิบเคลิ้มบ้าง ง่วงบ้าง พอเรานั่งบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆ หายไปจากฟุ้งมากมาฟุ้งน้อย เมื่อยมากมาเมื่อยน้อย มืดมากมามืดน้อยแล้วจะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มืด ไม่เมื่อย ไม่ฟุ้ง ใจจะใสสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้นในตัว ความสุขที่เกิดจากใจสว่างก็เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เป็นความสุขที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอประณีตกว่า ละเอียดกว่า สุขุมลุ่มลึกกว่า

 

                         แล้วความสุขนี้จะไม่ซ้ำกันเลยในทุกครั้งที่แสงสว่างเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากแสงน้อยมาแสงมาก แล้วเจิดจ้าขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ตกศูนย์วูบลงไป เข้าถึงดวงธรรม เห็นดวงใสๆความสุขก็พรั่งพรูออกมาเลย เหมือนเราเจาะไปเจอตาน้ำ น้ำก็พรั่งพรูออกมา ทะลักออกมา เอ่อล้นออกมา

 

                         ความสุขก็ขยายมาสู่ระบบประสาท กล้ามเนื้อ ทำให้เรานั่งไม่ค่อยจะเมื่อย มีความสุขทั้งกาย สุขทั้งใจ เมื่อเห็นดวงใสๆ ก็จะเบิกบาน แม้ความสุขในระดับนี้ ก็เป็นพื้นฐานแห่งความสำเร็จในชีวิตประจำวัน เพราะว่าจะเข้าไปปรับปรุงให้ระบบของความคิดเป็นระเบียบขึ้น มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คิดได้โปร่งขึ้น พูดได้คล่องขึ้น ทําได้สําเร็จมากขึ้น เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

 

                         จากดวงในดวง ก็เห็นกายในกาย กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เป็นชีวิตภายในที่น่าอัศจรรย์ใจที่เราเห็นได้ เข้าถึงได้ สัมผัสได้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนว่า คนอย่างเราจะเข้ามาถึงตรงนี้ได้ เราจะปลื้มจะมีปีติ และภาคภูมิใจ ใจจะเบิกบานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

                         ในที่สุดเราจะเข้าถึง พระรัตนตรัยในตัว ถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ ถึงสังฆรัตนะ ใจยิ่งเบิกบาน ยิ่งสบายๆ จะมีความมั่นใจในที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง มั่นใจในคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นชาวพุทธที่ดี เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ดี เป็นมนุษย์ทีดี ที่เกิดมาสร้างบารมี สิ่งที่ไม่ดีจะไม่ทํา และจะไม่ยอมดีคนเดียวจะขยายความดีแบ่งปันไปยังผู้ที่อยู่ใกล้ชิดรอบข้าง ใครเข้ามาใกล้ก็อยากให้เขาเข้าถึงธรรมกาย อยากให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว

 

                         จาก ณ จุดนี้ จะสั่งสมบุญอะไร จะได้มากเป็นพิเศษ มากกว่าคนที่ยังไม่สว่าง ยังมืดอยู่ มากกว่ามาก มากเหลือเกิน จะให้ทานผลแห่งมหาทานบารมีก็มาก จะรักษาศีล ศีลบารมีก็มาก จะเจริญภาวนา ภาวนาก็เป็นเยี่ยม แล้วก็ดีขึ้นไปตามลำดับ

 

                         เดี๋ยวก็เห็นธรรมกายในธรรมกาย เห็นต่อเนื่องกันเป็นสายผุดผ่านในกลางกายเป็นสาย และขยายไปทุกทิศทุกทาง เราจะรู้จักคำว่า เห็นได้รอบตัวเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก แล้วเราคิดไม่ถึงว่าการเห็นชนิดนี้จะมีอยู่ในโลก เพราะปกติเราจะเห็นของข้างหน้าต้องมองไปข้างหน้า จะเห็นของข้างหลังต้องกลับหลังหัน จะเห็นของทางซ้ายยต้องเหลียวซ้าย อยากจะเห็นของทางขวาต้องเหลียวขวา อยากจะเห็นของข้างบนต้องเงย อยากเห็นข้างล่างก็ต้องก้ม ต้องทําหลายๆครั้งจึงจะครบถ้วน เพราะเห็นได้ทีละอย่าง เราจะรู้จักว่า การเห็นอย่างนี้มีจริงๆ เห็นไปทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน

 

                         แล้วจากตรงนี้ จะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการศึกษาเรื่องราวที่เราปรารถนาจะใคร่รู้ จะรู้เรื่องราวของชีวิตว่า เกิดมาจากไหนเกิดมาทําไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต และจะเข้าถึงเป้าหมายชีวิตนั้นได้ด้วยวิธีการใด เข้าถึงแล้วดีอย่างไร จะรู้เรื่องราว หรืออยากจะรู้เรื่องภพ เรื่องชาติ นรกสวรรค์มีจริงไหม ก็สามารถศีกษาได้ด้วยตัวของตัวเอง โดยอาศัยมองผ่านความสว่างภายในด้วยธรรมกาย หรือจะปล่อยกายไปถึงภพภูมินั้นก็ได้ ได้ตั้งหลายวิธีการในกลางของกลางนั้น

 

                         เมื่อได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ความสงสัยเรื่องภพ เรื่องชาติเรื่องนรก สวรรค์ กฎแห่งกรรมว่า ประกอบเหตุอย่างนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ผลจะเป็นอย่างไร หรือผลที่เราเจอในปัจจุบัน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์มาจากเหตุอย่างไร เราจะได้เรียนรู้เรื่องเหตุเรื่องผล ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย

 

                         เราเชื่อแต่ในสิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เท่านั้น แล้วเห็นไม่ถูกเสียด้วย บางทีถูก บางทีไม่ค่อยถูก แต่ ณ จุดที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

 

                         ทันทีที่เราปิดเปลือกตา โลกและจักรวาลจะอยู่ในสายตาของธรรมกาย มันสว่าง และความรู้ที่เกิดขึ้นมาคู่กับความสุขคู่กับความบริสุทธิ์ คู่กับความสว่าง ความปีติ ความเบิกบานกับสิ่งที่ดีงาม กุศลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น

 

                         คุณธรรมและคุณวิเศษมีอยู่ในตัวของทุกคนในโลกนี้แต่เขาไม่เฉลียวใจว่ามี และไม่เชื่อที่ผู้รู้เขามาบอกเสียด้วย ดื้อดึงบ้าง ดื้อด้านบ้าง ไม่เชื่อแล้วก็เถียง และไม่ยอมที่จะพิสูจน์ค้นคว้า จะเอาข้างเข้าถูกันไปอย่างนั้น

 

                         สิ่งนี้มีอยู่จริง เข้าถึงได้จริง ถ้าทำถูกหลักวิชชา แล้วก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตของเรา เพราะเราเกิดมาต่างก็ปรารถนาจะได้ความสุขที่แท้จริง เป็นสุขเสรี กว้างขวาง เป็นอิสระ นี่คือความปรารถนาของเรา แต่ทั้งหมดนี้มันอยู่ในตัวเรา จะนั่งเป็นสุข ยืนเดินนอนเป็นสุข เมื่อเราเข้าถึงจุดนี้

 

                         แม้ว่าเราจะเจ็บป่วยไข้ด้วยวิบากกรรมที่ทํามาในอดีตก็ป่วยแค่กาย แต่ใจสบาย มีที่พึ่ง มีหลักยึด มีป้อมมีค่ายอยู่ในตัว นั่งก็เป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นอนเป็นสุข อยู่คนเดียวก็ไม่เหงาไม่ว้าเหว่ จะอยู่ในวัยไหนก็ตาม แม้แต่วัยชราอยู่คนเดียวก็ไม่เหงา มีพระในตัวให้มอง มีเรื่องราวของชีวิตให้เห็น จากการมองผ่านด้วยสายตาแห่งธรรมกาย แห่งธัมมจัก และญาณทัสสนะมันสำคัญอย่างนี้นะลูกนะ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ควรทํา ต้องทํา แล้วเราจะเจอ

 

                         แล้วตอนสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเรากําหนดกะเกณฑ์ไม่ได้ว่าวันไหน เวลาไหน สถานที่ไหน ด้วยโรคอะไร หรือด้วยวิธีการใดมันจะต้องมาถึงสักวันหนึ่ง แต่ถ้าเรามีที่พึ่งภายในแล้วจะไม่หวาดเสียวไม่สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย เพราะเรารู้แล้วว่าเราจะตายอย่างไร เราจะไปสู่ปรโลกอย่างไร อย่างที่ผู้รู้เขาเดินทางกันไปไปแล้วปิดประตูอบายเปิดประตูสวรรค์

 

                         ผู้ที่อยู่ในโลกนี้ที่เขากลัวตายกันเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ตอนมีชีวิตอยู่ยังแข็งแรงและเพียบพร้อมไปด้วยโภคทรัพย์บริวารสมบัติก็ปากแข็งดื้อด้านกันไป แต่พอป่วยจริงๆ ที่ปากแข็งมันแข็งแต่ปาก แต่ใจนั้นหวาดเสียว วิตกกังวล ตรงนี้แหละจะทําให้ไปอบายเพราะใจหมอง หรืออย่างน้อยควรได้ไปในที่ที่ดีกว่านี้แต่เราไปไม่ได้เพราะใจหมอง ซึ่งเราจะไปได้ในกรณีที่ใจไม่หมองไม่ใส นี่คือสิ่งจําเป็นสําหรับชีวิตของเรา

 

                         โดยเฉพาะหมู่ญาติของเราที่ละโลกไปแล้ว เขาอยากจะสื่อสารกับเรา แต่อยู่กันคนละภพภูมิ เพราะฉะนั้นเวลาเขาสื่อสารมา เราก็ไม่รู้เรื่องราวของเขา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มาขวางกั้น ซึ่งเราควรจะทลายก๋าแพงอันนี้ให้หมดไปด้วยการยอมฝึกใจให้หยุดนิ่งทุกๆ วัน ควบคู่กับภารกิจประจำวัน จะทำมาหากินหรือจะทําอะไรก็ทํากันไปเถิด แต่ต้องให้โอกาสกับตัวเองในการฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่งๆ ให้ใจใสๆ ทุกๆ วันที่บ้าน แล้ววันอาทิตย์เราก็มารวมประชุมกัน มานั่งพร้อมๆ กัน เอาพลังหมู่ เพื่อที่จะทำให้เรามีกำลังใจหรือมีอารมณ์ที่จะหยุดจะนิ่ง ให้ใจใสๆ และภาคบ่าย เราจะได้มาร่วมระลึกนึกถึงบุญ อธิษฐานจิต อุทิศส่วนกุศล และแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเรา อย่างนี้ชีวิตของเราก็จะสมบูรณ์

 

                         ถ้ามีบุญใด เราต้องทำให้ได้ทุกบุญ เพราะว่าบุญเป็นที่พึ่งให้แก่เราไปในสังสารวัฏทุกภพทุกชาติ ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือในปรโลก เราต้องทํา มากบ้าง น้อยบ้าง ต้องทํากันไป ในระดับที่เราไม่เดือดร้อน ซึ่งเราจะรู้ได้ด้วยตัวของเราเองว่า แค่ไหนเดือดร้อน แค่ไหนไม่เดือดร้อน ทําด้วยตัวเองด้วย ไปชวนคนอื่นเขามาทำด้วย ทำบุญจนกว่าบุญนั้นเหนียวแน่น ใจของเราทุกๆ ดวงไม่มีช่องว่างให้บาปได้ช่องเลย ต้องทำกันให้ได้ถึงขนาดนั้น

 

                         เพราะฉะนั้น ให้ความสําคัญกับการปฏิบัติธรรมนะลูกนะ

 

นึกถึงพระทุกครั้ง ใจสูงขึ้นทุกครั้ง

 

                         ในตอนนี้ เราก็ฝึกใจให้หยุด ให้นิ่งๆ ให้ใจใสๆ การนึกถึงภาพองค์พระกลางดวงแก้วครั้งหนึ่ง จิตสํานึกของเราจะเปลี่ยนแปลงขึ้น สูงขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นทุกครั้งที่เรานึกถึงพระ แม้ยังไม่มีภาพมาให้เห็นได้ชัดเจน หรือเห็นแค่คุ่มๆ ค่ำๆ รัวๆ รางๆอย่างนั้น ใจเราก็เปลี่ยนแปลงแล้ว สูงขึ้น ประณีตขึ้น ถูกกลั่นให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น

 

                         พอเรานึกบ่อยๆ ความบริสุทธิ์ก็เติมเข้ามาบ่อยๆ จนกระทั่งถึงขีดขีดหนึ่ง มันก็พริบเข้าไปได้ เหมือนน้ำที่หยดทีละหยดลงในตุ่ม ยังทำให้ตุ่มเต็มได้ฉันใด ใจที่ฝึกกันทุกๆ วัน จากมืดๆ มัวๆคุ่มๆ ค่ำๆ นึกถึงองค์พระกลางดวงแก้วไปทีละเล็กละน้อย สักวันหนึ่งก็จะสมหวังจนได้

 

                         เหมือนพระจันทร์ ไม่ใช่จู่ๆ จะเต็มดวงเลย มันก็มืดก่อนแล้วก็มาแหว่ง แหว่งมาก แหว่งน้อย จนกระทั่งเต็มดวง ค่อยๆเติมเต็มกันไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าจะพรวดพราดได้เลย ที่ได้เลยก็มีเหมือนกัน แต่ว่าถือเป็นกรณียกเอาไว้ เพราะเขาสั่งสมบุญใหญ่ข้ามภพข้ามชาติมามากกว่าเรา แล้วเขาทำอย่างสม่ำเสมอมา พอถึงเวลาบุญส่งผลก็พรึบได้เลย

 

                         ชาตินี้เรามีข้อสังเกตอยู่ว่า ทำไมชีวิตเราลุ่มๆ ดอนๆทำไมปฏิบัติธรรมไม่ค่อยหยุดนิ่ง นั่นก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นเงาของชีวิตที่ผ่านมาในอดีตว่า เราขี้เกียจฝึกหยุดฝึกนิ่งมาก่อน เราเคยเจอกันมาแล้วบ้าง หรือพวกเราเคยไปเจอผู้รู้มาบ้าง พอเขาแนะนำตักเตือน เราก็ยังขี้เกียจชาตินี้มันก็มีผลของความขี้เกียจ คือก็มืดมากบ้าง มืดมัวบ้างก็เป็นกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นสิ่งที่สะท้อนถึงเงาในอดีตแล้ว ปัจจุบันเราก็จะต้องสั่งสมการปฏิบัติให้เยอะๆนะลูกนะ

 

                         ฝึกกันไปทุกวัน ล้มลุกคลุกคลานกันไป เหมือนเด็กหัดเดินอย่างนั้น เดี๋ยวล้ม เดี๋ยวยืนได้ เดี๋ยวเดินเตาะแตะ เดี๋ยวเดินได้แข็งแรง เดี่ยววิ่งได้ ข้อสังเกตคือ ถ้าเท้าข้างใดข้างหนึ่งยีนได้อย่างมั่นคง อีกข้างหนึ่งก็จะก้าวไปได้อย่างมั่นคง จะไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย และมีชัยชนะ

 

                         ฝึกใจกันไปทุกๆ วัน เดี๋ยวใจก็หยุด เดี๋ยวก็นิ่ง เดี๋ยวก็มั่นคงจนได้ เมื่อข้างในหยุดนิ่ง เดี๋ยวข้างนอกจะวิ่งไม่หยุด ข้างในนิ่งข้างนอกเคลื่อนไหว สองประสานงานสร้างบารมีก็จะสําเร็จจนได้เพราะฉะนั้นต้องขยันนะลูกนะ หมั่นฝึกฝนอบรมใจกันไปทุกวันเลย สักวันหนึ่งเราจะต้องเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.073318386077881 Mins