สัญญาณแห่งความสำเร็จ

วันที่ 18 กค. พ.ศ.2568

18-7-68_13b%281%29.png

สัญญาณแห่งความสำเร็จ

 

ปรับกาย

                      เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้วต่อจากนี้ไป ให้ลูกทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะลูกนะ

 

                      ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ

 

                      หลับตาเบาๆ พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับอย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา

 

ปรับใจ

                      แล้วทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อยให้วาง ทําใจให้ว่างๆ

 

                      แล้วมาสมมติว่า ภายในร่างกายของเรานั้นปราศจากอวัยวะไม่มีปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น ให้เป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง คล้ายลูกโป่งที่เราอัดลมเข้าไป ให้กลวงภายใน คล้ายท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ

 

วางใจ

                      คราวนี้เราก็น้อมใจมาหยุดนิ่งๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งอยู่ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ

 

                      โดยสมมติว่า เราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึงจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุมาด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองติดกันเป็นกากบาท จุดตัดจะเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดของเส้นด้ายขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ หรือจำง่ายๆ ว่าอยู่ในกลางท้องเราให้เอาใจที่คิดแวบไปแวบมาในเรื่องราวต่างๆ นั้น มาหยุดนิ่งๆอยู่ที่ตรงนี้

 

บริกรรมนิมิต

                      กําหนดบริกรรมนิมิตเป็นเครื่องหมายที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเราหรือเท่าที่เราจะนึกได้ เป็นเพชรสักเม็ดหนึ่งใสๆ แต่ว่ากลมรอบตัว ไม่ได้เจียระไนเหลี่ยม

 

                      ถ้าหากว่าไม่เคยนึก ไม่เคยดูว่าแก้วตาโตเท่าไร ก็ให้นึกว่าขนาดเท่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวในอากาศ อย่างใดอย่างหนึ่ง กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้ว ใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรใสๆ ที่ต้องแสง

 

                      กําหนดเครื่องหมายนี้เรียกว่า บริกรรมนิมิต เป็นภาพทางใจที่เรานึกอย่างเบาสบายคล้ายๆ กับเรานึกถึงเรื่องที่เราชอบ ที่เราคุ้นเคย นึกเพชรสักเม็ดหนึ่งในกลางท้องของเรา อยู่ฐานที่ ๗คือ ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ประมาณตรงนี้ อย่าถึงกับเป็นเครื่องกังวลว่าจะตรงเป๊ะเลยไหม ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น

 

ความสำคัญของฐานที่ ๗

                      ฐานที่ ๗ ตรงนี้สำคัญ นอกจากเป็นที่เกิด ที่ดับ ที่หลับ และที่ตื่น ยังเป็นทางไปสู่อายตนนิพพาน เป็นทางสายกลางภายในโดยมีจุดเริ่มต้นที่ศูนย์กลางกายตรงนี้

 

                      เป็นจุดเริ่มต้นของหนทางแห่งพระอริยเจ้าที่เรียกว่า อริยมรรค

 

 

                      เป็นเส้นทางสายกลางภายในที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา

 

                      บางทีก็เรียกว่า วิสุทธิมรรค เป็นต้นทางแห่งความบริสุทธิ์จากสรรพกิเลสทั้งหลาย จากความโลภ ความโกรธ ความหลงความไม่รู้จริงอันใดหมดสิ้นไป

 

                      หรือบางทีก็เรียกว่า วิมุตติมรรค ทางแห่งความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ

 

                      เราจะต้องมาเริ่มต้นหยุดที่ตรงนี้ หยุดใจนิ่งๆ นุ่มๆ ละมุนละไม สบาย ตรีกนึกถึงบริกรรมนิมิตเป็นเพชรใสๆ สักเม็ดหนึ่ง

 

บริกรรมภาวนา

                      พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาในใจเบาๆ โดยเสียงของคําภาวนาเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดังออกมาจากในกลางท้องของเรา เหมือนมาจากแหล่งแห่งความบริสุทธิ์ภายใน

 

                      เราภาวนาในใจเบาๆ สม่ำเสมอ พร้อมกับตรึกนึกถึงดวงใสๆ เพชรใสๆ ภาวนาว่า สัมมาอะระหัง

 

                      ทุกครั้งที่นึกถึงบริกรรมนิมิตดวงใสๆ เหมือนเพชร ก็จะต้องไม่ลืมภาวนาสัมมาอะระหัง ภาวนาเรื่อยไปเลยจนกว่าใจจะหยุดนิ่งเวลาใจหยุดนิ่ง จะไม่ไปคิดเรื่องอื่น เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ ก็จะไม่ไปคิด จะนิ่งๆ เฉยๆ อยู่กับดวงใสๆ เหมือนกับเพชร

 

                      พอหยุดนิ่ง จะทิ้งคำภาวนาไป มีอาการคล้ายๆ กับเราลืมภาวนา หรือไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากจะรักษาใจหยุดใจนิ่งที่กลางดวงใสๆ อย่างนี้อย่างเดียว ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ เกิดความรู้สึกอย่างนี้ และไม่ฟุ้งไปที่อื่น เราก็ไม่ต้องย้อนกลับมาภาวนาใหม่ให้รักษาใจหยุดนิ่งอย่างเดียว

 

หยุดเป็นตัวสําเร็จ

                      หยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จ ที่ทำให้เราเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่สูงสุดของเรา สิ่งอื่นไม่ใช่ และมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคนในโลก ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ใด จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็มีอยู่ แต่ว่ามนุษย์ไม่ได้เฉลียวใจว่ามีสิ่งนี้อยู่ภายใน

 

                      เพราะฉะนั้น เริ่มต้นจะต้องหยุดใจให้ได้ก่อน หยุดจะใช้ตลอดเส้นทาง ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ แปลว่าหยุดใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปทำอะไรที่นอกเหนือจากนี้

 

สภาวธรรมภายใน

                      พอถูกส่วน เดี๋ยวจะเห็นขึ้นมาเอง ตัวจะโล่ง โปร่ง เบาสบาย ตัวขยายหายไป แล้วแสงสว่างก็จะเกิด ทําให้เราเห็นภาพดวงธรรมภายในเป็นดวงใสๆ ใสเกินใส ใสเหมือนน้ำ เหมือนกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้าบ้าง เหมือนเพชรบ้าง หรือยิ่งกว่านั้นจะปรากฎเกิดขึ้นมา

 

                      เราจะเห็นกายในกาย กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหมกายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอรหัตทุกๆ กายที่ซ้อนกันอยู่ภายใน เป็นกายภายในที่มีอยู่แล้ว

 

                      เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหาอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้หยุดกับนิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องไปพิจารณาอะไร พิจารณาใช้ก่อนนั่งเพื่อให้ใจปลดปล่อยวางจากเครื่องกังวล จากคน สัตว์ สิ่งของจากสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสารของชีวิต พอปลดปล่อยวางแล้วก็ไม่ต้องพิจารณาอะไรอีกเลย หยุดนิ่งเฉยๆ

 

                      การพิจารณา มี ๒ ระดับ

 

                      จินตามยปัญญา คือ ระดับใช้ความคิด

 

                      ภาวนามยปัญญา คือ การพิจารณาโดยไม่ต้องใช้ความคิดพอจิตสงบ ความสว่างเกิด จะเห็นไปตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็รู้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งใดที่เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา ก็ทั้งรู้ทั้งเห็นว่าเป็นนิจจัง สุขัง อัตตาแล้วก็จะปลดปล่อยวางสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปเอง เพื่อที่จะไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับนิจจัง สุขัง อัตตา

 

ยากตรงหยุดแรก

                      สําคัญตรง หยุดนี่แหละ ต้องฝึกให้ได้ มันจะยากตอนแรก เพราะเราไม่คุ้นเคยกับการเอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ภายในเราปล่อยให้ ใจเตลิดเปิดเปิงไปนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ในคน สัตว์ สิ่งของ เรื่องที่เราเคยศึกษาเล่าเรียนหรือที่ต้องทํามาหากิน ซึ่งเราคุ้นเคย ถูกความอยากกระตุ้นออกไปให้เราไปติดในสิ่งเหล่านั้น ในรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ อะไรต่างๆ

 

                      จะยากตอนแรกนิดหนึ่ง แต่ก็ยากไม่มาก ถ้าหากเรารู้วิธี ก็ไม่ยาก

 

ประคองใจ

                      ดังนั้น ต้องประคองใจให้หยุดนิ่งด้วยบริกรรมภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไป ไม่ต้องทําอะไรนอกเหนือจากนี้ ประคองใจไปเบาๆ

 

                      ทีนี้ถ้านึกบริกรรมนิมิตไม่ออก ก็ไม่ต้องไปนึก นิ่งๆ เฉยๆแค่ปิดเปลือกตาให้ขนตาชนกัน ขนตาของเปลือกตาบนกับขนตาของเปลือกตาล่างแค่สัมผัสกัน และหลังจากนั้นลืมไปเลยว่า เรามีลูกนัยน์ตา นั่งนิ่งๆ นุ่มๆ สบายๆ นึกไม่ออกก็ไม่ต้องไปนึก ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร วัตถุประสงค์ต้องการเพียงหยุดกับนิ่ง

 

                      ถ้าหยุดกับนิ่งได้ เดี๋ยวก็เห็นเอง เพราะทุกสิ่งมีอยู่แล้วภายใน ไม่ว่าจะอารมณ์สบาย ความสุขที่แท้จริง แสงสว่างกาย เวทนา จิต ธรรม มีอยู่แล้วในตัว แต่ว่าเราจะต้องไปเห็นสิ่งเหล่านั้นโดยวิธีการหยุดกับนิ่ง

 

                      เพราะฉะนั้น จับหลักให้ได้ว่า หยุดกับนิ่งนี่แหละสําคัญมากยิ่งหยุดยิ่งนิ่ง จะยิ่งดิ่งไม่หยุด มันจะเคลื่อนที่เร็วเข้าไปสู่ภายในเอง เราแค่ทําหยุดกับนิ่ง

 

สัญญาณแห่งความสําเร็จ

                      นั่งแล้ว “ต้องให้ได้ความพึงพอใจทุกครั้ง" นั่นคือสัญญาณแห่งความสำเร็จในการที่เราจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว จะมีสัญญาณตรงนี้ว่า นั่งแล้วรู้สึกพึงพอใจ ใจสงบสบาย กายก็สงบ ไม่ปวด ไม่เมื่อย เวลาผ่านไปเร็ว แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม เราก็ไม่ไปกังวล คล้ายๆ ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร

 

                      ถ้าใจของใครเกิดความรู้สึกอย่างนี้ แปลว่า เราเดินทางมาได้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์แล้ว เดี๋ยวจะถึงจุดหมายปลายทาง คือ ถ้าเรานั่งนิ่ง นุ่ม สบาย แม้ไม่เห็นอะไร แล้วก็ไม่คาดหวังจะเห็นอะไร เฉยๆมีความพึงพอใจอย่างนี้ สบาย ไม่ตึงบริเวณกระบอกตา หน้าผากทั้งเนื้อทั้งตัว นั่นแหละคือสัญญาณที่จะประสบความสำเร็จแล้วให้เรานิ่งอย่างนั้นต่อไป

 

                      พอเรานิ่งไปนานๆ เข้า จะมีจังหวะหนึ่งที่เหมือนหลุดผลัวะออกไปจากกายหยาบ ก็อย่าไปตกใจนะ เฉยๆ นิ่งๆ นิ่งไปเรื่อยๆอย่างเดียว ให้ใจเป็นปกติอย่างนี้ เดี๋ยวลูกจะได้ทุกคน

 

                      มันไม่ได้ยากอย่างที่เราวิตกกังวล ถ้าทำถูกวิธี มันง่าย

 

                      วันนี้อากาศเย็นสบาย ต้นฤดูหนาว ลมหนาวก็เริ่มสร้างบรรยากาศให้เหมาะในการที่จะเข้าถึงธรรม เย็นสบายเหมือนเรานั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ แต่ว่าสดชื่นกว่า เพราะไม่ใช่เป็นห้องทีบๆ เย็นโดยธรรมชาติ เหมาะสมที่ลูกทุกคนจะทำความเพียรฝึกใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งเป็นกรณียกิจ เป็นงานที่แท้จริงของการมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละครั้งในโลกนี้

 

                      ถ้าลูกทำถูกวิธีการดังกล่าว ซึ่งไม่ได้ยากอะไร ก็จะสมหวังสมปรารถนาในเช้านี้ นั่ง นิ่ง นุ่ม ละมุนละไม อยากจะภาวนาสัมมาอะระหัง เราก็ภาวนาไป เมื่อไม่อยากจะภาวนา อยากจะอยู่เฉยๆ เราก็อยู่เฉยๆ

 

                      ให้สังเกตว่า เรามีความพึงพอใจในระดับนี้นั่นแหละถูกวิธีแล้ว แล้วเดี๋ยวความพึงพอใจก็จะเพิ่มขึ้นไปเอง มันจะมีจังหวะของมัน ที่เรียกว่าถูกส่วน มันจะถูกส่วนไปเอง ถ้าเรานั่งนิ่งโดยไม่คาดหวังอะไรนิ่งเฉยๆ เดี๋ยวมันจะวื้ดเลย

 

ดูเฉย ๆ

                      ส่วนคนที่ทําได้แล้วในระดับหนึ่ง คือ สามารถวางใจไว้ในกลางตัวได้อย่างสบายๆ คือ มีความรู้สึกว่า ไม่ยากแล้ว ก็ให้รักษาตรงนี้ต่อไป

 

                      บางคนนิมิตเกิดแล้ว เป็นดวงใส เป็นองค์พระบ้าง เห็นเป็นตัวเองบ้าง ให้นิ่งอย่างเดียวแม้ไม่ชัดเจน อย่าไปกังวลหรือพยายามเค้นภาพให้ชัด นิ่งอย่างเดียวเดี่ยวซัดเอง ถ้าจะไปเค้นภาพให้ชัดยิ่งจะทําให้จิตหยาบกายหยาบ นิมิตก็จะเลือนหายไป

 

                      ต้องนิ่งอย่างเดียว นิ่งเฉยๆ มีให้ดู ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เราก็ดู ๑๐เปอร์เซ็นต์ ชัดเจน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ดูไป ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เหมือนดูทิวทัศน์ เหมือนดูก้อนอิฐก้อนหินอย่างนั้น ดูเฉยๆ เดี๋ยวเราจะเห็นอานิสงส์แห่งการดูเฉยๆ ภาพจะชัดขึ้นมาเอง จะชัดขึ้นๆๆ เอง อย่าลืมคำว่า “เอง” นะลูกนะ มันจะชัดขึ้นมาเอง เดี๋ยวจะสนุกกันใหญ่

 

                      เช้านี้ให้ลูกทุกคนสมหวังดังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวทุกๆ คนนะลูกนะ ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆ นะ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.045767116546631 Mins