ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวหรือไม่ แล้วจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร?

วันที่ 06 พย. พ.ศ.2551

 

 

.....คนที่ไม่กลัวความตาย มีอยู่ประเภทเดียว คือ พระอริยเจ้า  นั่นเอง   ท่านไม่กลัวตาย   ถ้าคนทั่วไปล้วนกลัวความตายกันทั้งนั้น   และถ้าถามว่าหลวงพ่อเองกลัวไหม? ก็ตอบว่ากลัว  ถามต่อไปว่าสามารถบรรเทาความกลัวได้ไหม?   ก็ต้องถามกันก่อน  ที่ว่าเราเกิดอาการกลัวตายกันนั้น    จริงๆ แล้วกลัวอะไรกันแน่  เมื่อเจาะประเด็นแล้ว ไม่ใช่กลัวตายหรอก   แต่ที่กลัวกันก็คือ  ก็เพราะไม่รู้ว่าเมื่อตายไปแล้ว   จะเป็นอย่างไรต่อไปต่างหาก

 

.....สมมุติว่าวันนี้จะไปอเมริกา ถ้าเรารู้ชัดเจนลงไปเลยว่า  จะเดินทางไปได้อย่างไร ไปพักสถานที่ไหน มีใครบ้างจะมารับไป แล้วจะอยู่อย่างไรกัน ยิ่งถ้าสามารถถ่ายทอดผ่านดาวเทียมให้เราดูชัดๆ เลยว่า  ถ้าไปแล้ว เราจะขึ้นเครื่องบินอย่างนี้ ไปพักอย่างนั้น จะต้องไปทำกิจกรรมต่าง ๆ     ความกังวลสักนิดหนึ่งก็คงจะไม่เกิดมีเลย

 

.....ในเวลาเดียวกัน  หากให้เราต้องเดินทางไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง   ในที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นอย่างไร เช่น ส่งไปขั้วโลกเหนือ แม้ถ่ายทอดทีวีจากขั้วโลกเหนือให้เรามาดู  ว่ามันเป็นอย่างนั้น เห็นมีแต่หิมะมากมายเลย   เอาหละความกลัวก็เริ่มมาแล้ว  นี่ขนาดมีคนไปมาแล้วนะ  เรายังไม่วายเกิดความกังวล ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย เราจะรู้สึกกลัว   แค่ความมืดก็กลัวแล้ว กลัวว่าจะมีอะไรอยู่ในความมืดบ้างหละ กลัวว่าไม่รู้มันมีอะไรอยู่บ้าง    ที่กลัวมันกลัวตรงนั้น เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในความมืดนั้น ก็ก่อให้เกิดความคิดที่หลอกตัวเองอีกตั้งเยอะ คิดไปสารพัด

 

.....ในเรื่องที่น่ากลัว ก็เลยไปกันใหญ่ ความมืดนั้น ไม่ต้องมาก แค่ข้างหลังบ้านเรา มันรกๆ หน่อยพอมืดลง เราไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างนั่นแหละ  เป็นเหตุแห่งความกลัวของเราแล้ว นั่นก็คือ

 

๑. ความไม่รู้จริงของเรานั่นแหละ เป็นเหตุของความกลัว

๒. ความชั่วที่ทำเอาไว้ ทำอะไรไว้ เราก็รู้อยู่ เราก็ใจไม่ดีแล้ว ทำให้กลัว

๓. เราได้เห็นความเจ็บปวด ความทรมานก่อนตายในบางคน ก็ทำให้เรากลัว

 

.....แต่ยังมีอีกพวกหนึ่ง เป็นพวกพิเศษ รู้ด้วยว่า   ตายแล้วไปไหน ความชั่วที่ทำก็ไม่มี ความทรมานก็ไม่กลัว  แต่พวกนี้กลัวว่า ความดีที่ทำไว้ยังน้อย นี่เป็นอีกพวกหนึ่ง

 

สามสาเหตุที่ว่ามานี้ เกิดขึ้นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าตายแล้วไปไหน   เพราะฉะนั้น ยังไงก็กลัวตายแน่

.....แล้วถามว่ามีทางแก้ได้ไหม จะบรรเทาอย่างไร?   บอกกันก่อนว่าที่มาบวช ก็พยายามจะแก้อันนี้ ฝึกสมาธิฝึกกันแล้วฝึกกันอีก  แล้วก็เริ่มพบความจริง   ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าลงมือฝึกสมาธิอย่างถูกวิธี พอใจเริ่มสงบ ความสว่างภายใน จะเริ่มเกิดทั้งๆ ที่หลับตา แต่ข้างในมันจะเริ่มสว่าง    อาศัยความสว่างที่เกิดภายในนี้ พอจะรู้ทีเดียวว่า ตายแล้วไปไหน   นี้ก็บรรเทาความกลัวไปได้

 

.....แล้วพวกที่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ทำไมบางท่านยังกลัวอีก   ที่กลัวเพราะว่าความดีของเรายังน้อยอยู่ ยังไม่พอที่จะกำจัดกิเลส  รวมทั้งนิสัยที่ไม่ดีๆ อีกหลายอย่างของเราที่ยังค้างอยู่   ถึงคราวกลับมาเกิดชาติหน้า ยังมีเรื่องไม่ดีติดมาอีกซึ่งเราจะต้องแก้ไขต่อไป

 

 

.....เพราะฉะนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วสำหรับผู้ที่ฝึกตัวมาดีแล้ว ไม่อยากจะใช้คำว่ากลัวตายเพียงแต่ว่ายังไม่อยากตาย นี่ไม่ใช่เล่นสำนวน กลัวไหม? ไม่ถึงกับกลัวแต่ยังไม่อยากตาย เพราะอยากทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้อีกซักหน่อย ยังไม่อยากตาย ใช้คำนี้จะชัดเจนกว่า แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วกลัวตายกันทั้งนั้น   เพราะฉะนั้น
            

         ประการที่ ๑  ถ้าศึกษาธรรมะให้รู้จริงเข้า ลงมือปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะฝึกสมาธิ จะบรรเทาเบาบางในเรื่องความกลัวตายลงไปได้มาก
           

         ประการที่ ๒  หยุดทำความชั่วเสีย ถ้าเคยทำมาแล้ว ก็ตั้งใจทำความดีเรื่อยไป อย่างน้อยที่สุดความดีที่ทำจะช่วยให้เกิดความมั่นใจ  เราไม่มีคู่แค้น ยมบาลกับเราไม่ใช่ญาติกัน ไม่เกี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่เถอะ ไม่มีความชั่วที่ทำให้ต้องแหนงใจ หรือทำให้ต้องหวาดระแวง ความกลัวตายก็บรรเทาเบาบางลงไปได้มาก
           

         ประการที่ ๓ เข้าใกล้คนที่เขามีคุณธรรม   แล้วจะพบว่าท่านเหล่านี้ ใกล้ตายท่านไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไร    ถึงเวลาท่านไปก็ไปแบบสงบๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวจนเกินไปนักนี้ก็พอช่วยให้บรรเทาความกลัวกันบ้าง

           

.....แต่ถ้าจะให้เลิกกลัวตายกันสนิทเลยละก็ คงต้องฝึกสมาธิให้ถึงขั้นสามารถเหาะได้ก่อนก็แล้วกันนะ  ลองไปพิจารณาไตร่ตรองและปฏิบัติคุณงามความดีกันให้มากต่อไป  แล้วถามตัวเองดูว่า  ได้คำตอบจากการตั้งใจปฏิบัติดีจริงแล้วอย่างไร 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0033257007598877 Mins