นักศึกษาได้เรียนรู้เรื่องกฎแห่งกรรมมาแล้วว่า มีผลต่อการเดินทางไปสู่ปรโลก ทุกการกระทำของคนเราไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา ทางใจ ล้วนมีผลต่อความคิด คำพูด และการกระทำทั้งสิ้น เพราะการกระทำนั้นจะถูกเก็บบันทึกไว้ด้วยเครื่องบันทึกภาพที่ดีที่สุดในโลก มีความจุที่ไม่มีประมาณ คือ ใจของเรานั่นเอง เมื่อใกล้จะหลับตาลาโลก ภาพแห่งการกระทำทั้งหมดจะกรอกลับมาฉายเป็นภาพให้เราเห็นเป็นกรรมนิมิตตารมณ์ดังกล่าวมาแล้ว ภาพแห่งการกระทำเหล่านั้น มีเราเป็นผู้เห็นเพียงคนเดียว คนที่มาเยี่ยมรอบเตียงผู้ป่วยเป็นเพียงผู้ให้กำลังใจเท่านั้น
ถ้าหากภาพที่มาฉายให้เห็น เป็นภาพแห่งความดีงามที่ได้สั่งสมเอาไว้ครั้งที่ยังแข็งแรง จะทำให้ใจผ่องใส และเป็นเหมือนรหัสผ่านไปสู่สุคติภูมิ ตรงกันข้าม ถ้าภาพที่มาฉายให้เห็น เป็นภาพของการกระทำบาปอกุศล มีผลทำให้ใจเศร้าหมอง เป็นเหตุให้นำไปสู่ทุคติภูมิ ดังพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ใน วัตถูปมสูตร8) ว่า
จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้
จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้
เมื่อละโลกใจหมองต้องไปอบาย สำหรับผู้ที่ทำบาปตลอดชีวิต ก่อนตายนึกถึงภาพดีๆ ไม่ออกเลย พอกายหลุดออกจากร่าง ก็จะถูกดูดไปภพภูมิที่เหมาะสมแก่กรรมที่ชอบทำตอนเป็นมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ ตายไปขณะจิตที่เศร้าหมอง คตินิมิตดำมืด กายละเอียดจะถูกดูดไปสู่มหานรกขุม 5 ที่มีเปลวไฟนรกดำสนิท มีความร้อนแรงกว่าบนโลกมนุษย์หลายล้านๆ ๆ เท่า สัตว์นรกเปลือยกาย ถูก นายนิรยบาลที่ตัวใหญ่มาก มีผิวดำสนิท จับขึงพืด แล้วกรอกน้ำกรดสีดำร้อนแรงเข้าไปในปาก น้ำกรดนั้นจะกัดกินละลายสัตว์นรกจนขาดใจตาย พอตายแล้วก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ ถูกจับกรอกอย่างนี้ยาวนานเป็นหลาย ล้านๆ ๆ ปี
เมื่อละโลกใจไม่หมองไม่ใสไปยมโลก สำหรับผู้ที่ละโลกแล้วใจไม่หมองไม่ใส คือ ก่อนตายภาพแห่ง ความชั่ว หรือความดี ยังไม่มีฝ่ายใดที่จะส่งผลชัดเจนกว่ากัน เมื่อตายแล้วกายละเอียดก็ออกจากกายหยาบ วนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์ เนื่องจากตนไม่เคยศึกษาเรื่องความจริงของชีวิตหลังความตาย จึงทำอะไรไม่ถูก ก็วนเวียนไปเยี่ยมญาติตามที่ต่างๆ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้ วนเวียนจนครบ 7 วัน ที่ต้อง 7 วัน เพราะ เป็นระยะเวลาที่เปิดโอกาสให้นึกถึงบุญให้ได้
เมื่อครบ 7 วัน ถ้านึกถึงบุญไม่ออก เพราะว่าใจสับสน หรือไม่ค่อยทำบุญ ผู้ตายก็จะกลับไปที่เดิมที่ตนเองเสียชีวิต เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่จากยมโลกที่เราเรียกว่า ยมทูต มีลักษณะผมหยิก ตัวดำ ตาโปน นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง จะมารับตัวไป โดยวิธีการต่างๆ เช่น ล่ามโซ่ตรวน หรือใช้อาวุธคุมไปเฉยๆ แล้วแต่ความถือตัวของผู้ตาย หากเป็นพวกนายทหารมียศมาก ไม่เชื่อฟังก็จะต้องใส่โซ่ตรวนล่ามไปยมโลก หากดิ้นรนขัดขืน ก็จะถูกทุบตี ทำร้าย อย่างไม่มีปรานี
เมื่อไปถึงยมโลก เจ้าหน้าที่จะให้รอขานชื่อ เพื่อรอรับการพิพากษาตัดสินบุญบาปจากพญายมราช เมื่อได้เวลาตัดสิน ผู้ตายจะมานั่งคุกเข่าหน้าบัลลังก์ ต่อหน้าพญายมราช ขณะที่ตัดสินนั้นภาพกรรมดีและกรรมชั่วจะมาปรากฏหน้าบัลลังก์ ซึ่งผู้ตายไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อพิพากษาแล้ว พบว่ามีบัญชีบุญมากกว่าบัญชีบาป ก็จะตัดสินให้ไปสุคติภูมิ ส่วนใหญ่จะได้ไปภูมิต่ำ หรือถ้าตัดสินว่า บัญชีบาปมากกว่า จะต้องถูกลงโทษในทุคติภูมิ ถ้าโทษไม่หนักมากอาจจะถูกทรมาน ณ ที่ยมโลกนั้นเลย หรือไปเป็น เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน หรือลงมหานรก แล้วแต่ความหนักเบาของบาป
เมื่อละโลกใจใสก็ไปสวรรค์ สำหรับผู้ที่สั่งสมคุณงามความดีอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แม้จะอยู่บนเตียงผู้ป่วย อาการดูน่าหนักใจ แต่ไม่หนักใจ เพราะใจคุ้นกับความดีที่ตนได้ทำ จะตรึกระลึกนึกถึงบุญได้ ภาพแห่งความดีงามก็จะทำให้ใจผ่องใส ละโลกไปด้วยอาการสงบ เมื่อตื่นขึ้นมากายละเอียดก็จะเปลี่ยนเป็นกายทิพย์ อาจจะไปเกิดกลางวิมาน ในสุคติภูมิ หรือมีราชรถมารอรับกลับไปสุคติภูมิ ก็แล้วแต่กำลังบุญที่สั่งสมไว้
สรุปว่า ปรโลกเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องไป เราไม่ควรปฏิเสธว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็น แปลว่าสิ่งนั้นไม่มี ทางที่ดีควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้ก่อน หรือแม้บางท่านจะไม่เชื่อจริงๆ ก็ขอให้เผื่อเหนียว ไว้ก่อน แต่สำหรับนักศึกษาผู้มีสัมมาทิฏฐิก็ควรเชื่อผู้รู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นบรมครูของมนุษย์และเทวดา ชีวิตก็จะปลอดภัยและมีชัย ไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพานในที่สุด
--------------------------------------------------------------------------
8) วัตถูปมสูตร, มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์, มก. เล่ม 17 ข้อ 92 หน้า 433.
จากหนังสือ DOU GL 102 ปรโลกวิทยา
องค์รวมแห่งปรโลก