สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)

วันที่ 02 กย. พ.ศ.2558

 

สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)

            เจตนาเป็นเหตุกล่าวถ้อยคำที่หาประโยชน์มิได้ คือ กำจัดทางแห่งประโยชน์สุขที่บุคคลจะได้รับชื่อว่า สัมผัปปลาปะ9)

 

กรณีศึกษาในเรื่องของกรรมสัมผัปปลาปะ

กรณีศึกษาที่ 1 (วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2545) สามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูก 3 คน ซึ่งลูก 3 คนนั้นมีพัฒนาการพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เวลาจะพูดยากมากจนเกือบไม่พูดเลยทั้ง 3 คน แต่ทั้งสามพี่น้อง ไม่ได้มีอาการเหมือนคนเป็นใบ้ หูหนวก เพราะหูพอได้ยินเสียง แต่มีปัญหาการพูด ซึ่งแพทย์บอกไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด

สาเหตุที่เด็กทั้ง 3 คน มีพัฒนาการพูดช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน และสามีภรรยาคู่นี้ต้องมีลูกแบบนี้ เพราะกรรมในอดีตชาติเด็กทั้ง 3 คน เคยเกิดเป็นพี่น้องกัน โดยมีพ่อแม่ในชาตินี้เป็นผู้ให้กำเนิดในชาตินั้นด้วย ในชาตินั้นทั้ง 3 คนพูดได้ตามปกติ แต่มีนิสัยชอบสนุกคะนองปาก ไปล้อเลียนเด็กใบ้แถวบ้านคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เมื่อถูกล้อ เพื่อนก็ไม่สบายใจ แม่ของเพื่อนก็ไม่สบายใจ ก็เกิดต่อว่าต่อขานกัน แต่แม่ของเด็ก 3 คนนี้ก็ปกป้องลูก เด็ก 3 คนนี้เมื่อได้รับการปกป้องจากผู้ปกครองก็ได้ใจ พอโตขึ้นก็ไปเข้าวัดฟังธรรม ได้ฟังธรรมจากหลวงตารูปหนึ่ง ท่านมีความคิดแล่นเร็วแต่ปากพูดไม่ทัน จึงดูเหมือนติดอ่าง ก็ไปล้อเลียนท่าน

 

กรณีศึกษาที่ 2 (วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่เคร่งครัดในลัทธิหนึ่งที่แยกออกมาจากพุทธนิกาย จึงทำให้เขาต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมของลัทธินี้ตั้งแต่เด็ก แต่ในใจของเขาก็ยังไม่มีความเชื่อหรือความศรัทธาเลย เมื่อโตขึ้นได้มาศึกษาเรื่องสมาธิจากประเทศต่างๆ รวมทั้งที่เมืองไทยด้วย ทำให้มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมและมีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี เมื่อพบกับคำตอบที่ค้างอยู่ในใจตนเองมาตลอดได้ จึงเกิดความศรัทธาและมีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น แต่เขาก็เป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนัง เป็นผื่นแดงและคัน ต้องไปหาหมอเป็นประจำ

สาเหตุที่ชายผู้นี้เป็นโรคผิวหนังผื่นแดงคัน เพราะกรรมในอดีตชาติเป็นคนที่ซน มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และชอบล้อเพื่อนเล่น ทำให้คนที่ถูกล้อเกิดความขัดเคืองใจ และเคยแกล้งเพื่อนโดยเอาหญ้าคันไปแกล้งโรยใส่เพื่อนด้วยความคะนอง ประกอบกับในปัจจุบันที่ชอบอั้นปัสสาวะและอุจจาระเป็นเวลานาน

 

กรณีศึกษาที่ 3 (วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2547) หญิงคนหนึ่งเป็นคนรักสวยรักงาม สนุกสนาน มีเพื่อนมาก จิตใจดี ชอบทำบุญแบบสังคมสงเคราะห์ทั่วไป แต่มีจุดอ่อนคือ วจีกรรมและรังเกียจสัตว์เล็ก เช่น ยุง แมลงสาบ เป็นต้น ต่อมาพบว่าเป็นมะเร็งที่หน้าอกและได้ลามไปที่ผิวหนัง ทำให้เกิดแผลหลายแห่ง เลือด น้ำเหลืองไหลเยิ้ม แต่รักษาหายด้วยสมุนไพรภายใน 2 เดือน แผลจึงแห้ง แต่ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นมะเร็งที่อก เพราะกรรมกาเมฯ ในอดีตชาติ และที่มะเร็งลุกลามไปที่ผิวหนัง เพราะกรรมในอดีตชาติที่พูดนินทาว่าร้ายหรือพูดเหน็บแนมทำให้คนเจ็บใจ

 

กรณีศึกษาที่ 4 (วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546) ชายคนหนึ่งเป็นโรคสะเก็ดเงิน ในตอนแรกจะเป็นที่บริเวณศีรษะและท้ายทอย ต่อมาก็ลามไปทั้งตัว มีอาการคัน เป็นผื่นบวมแดง บนแผลมีสะเก็ดเคลือบอยู่และจะหลุดร่อนเวลาถูกเสียดสีจากเสื้อผ้า ในตอนแรกที่ไปรักษา ทำให้อาการดีขึ้น แต่ภายหลังก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ซึ่งโรคนี้คุณแม่ของเขาก็เป็นเช่นกัน แต่จะเป็นน้อยกว่า โดยมีอาการเป็นๆ หายๆ

สาเหตุที่ชายผู้นี้และคุณแม่เป็นโรคสะเก็ดเงิน เพราะกรรมในอดีตชาติทั้งสองได้เกิดเป็นแม่ลูกกันในตระกูลที่มีฐานะปานกลาง โดยชายผู้นี้มักมีอคติกับพระและชอบพูดจาติเตียนพระและผู้อื่นให้เสียหาย หรือบางครั้งก็มักจะนินทาว่าร้ายทำให้ผู้อื่นเสียหายลับหลังเป็นประจำและคุณแม่ของเขาก็มีใจยินดีในสิ่งที่ลูกทำ

 

กรณีศึกษาที่ 5 (วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2548) หญิงคนหนึ่งเป็นคนพูดติดอ่างตั้งแต่เด็กและบ่อยครั้งที่พูดไม่ออก ก็ต้องใช้มือตบปากตัวเอง หรือบางครั้งต้องขึ้นไปบนโต๊ะแล้วกระโดดลงมา จึงจะพูดคำนั้นออกมาได้ บางครั้งพี่ๆ ก็จะช่วยตบปากก่อนที่เธอจะตบเอง ซึ่งอาการนี้มาดีขึ้นและค่อยๆ หายไปเมื่อตอนเรียนมัธยม

สาเหตุที่หญิงผู้นี้เป็นโรคติดอ่าง เพราะกรรมในอดีตชาติเธอมีเพื่อนที่พูดติดอ่างอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หญิงผู้นี้จึงชอบล้อเลียนแกล้งเพื่อนโดยไม่มีเจตนา แค่ต้องการสนุกสนาน แต่ทำให้เพื่อนอับอาย

-------------------------------------------------------------------

9) กถาว่าด้วยวินัย มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม 2. (กรุงเทพฯ : มหามกุฎราชวิทยาลัย,2532), หน้า 112.

GL 203 กฎแห่งกรรม
กลุ่มวิชาเป้าหมายชีวิต

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.013503050804138 Mins