หนังสือธรรมะแจกฟรี .pdf คลังหนังสือธรรมะ วารสาร นิตยสาร รายเดือน แจกฟรี . pdf อีบุค (ebooks)

คลังหนังสือธรรมะ วารสาร นิตยสาร รายเดือน แจกฟรี .pdf อีบุค (ebooks)

หนังสือแจกฟรี สามารถเปิดอ่านได้จาก เครื่องอ่านหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (e-reader) ทั่วไป เช่น ipad, ipod, iphone และอุปกรณ์อื่นๆ เปิดอ่านได้ทันทีจากที่ไหนก็ได้

ชื่อหนังสือ ตำนานพญานาคสองฝั่งของ หนังสือธรรมะแจกฟรี .pdf

 

"บั้งไฟพญานาค"ปมปริศนาอันลี้ลับ
ท้าทายการพิสูจน์ ลูกไฟที่พุ่งขึ้นกลางลำน้ำโขง
ในคืนเดือนเพ็ญวันออกพรรษา
ธรรมชาติ...!วิทยาศาสตร์...!
หรือ มหาศรัทธาอันแรงกล้า...!
ท่านจะพบกับคำตอบอันเหลือเชื่อ
ที่พิสูจน์ได้ กับปรากฎการณ์มหัสจรรย์นี้
เพื่อสั่งสมบุญบารมี
เพื่อความประทับใจตลอดชีวิต



หนังสือธรรมะแจกฟรี .pdf
หนังสือธรรมะแจกฟรี .pdf ตำนานพญานาคสองฝั่งของ

ชื่อหนังสือ ตำนานพญานาคสองฝั่งของ
ลำดับเรื่อง : ณัฐนารถ ปิ่นเพื่อง   จำนวนหน้า 58 หน้า

ขนาดไฟล์ 5.14MB

ช่องทางที่ 2 ขนาดไฟล์
คุณภาพของสื่อ :
คะแนนปัจจุบัน : 13
บริการสั่งออนไลน์
  • หนังสือใช้โปรแกรม Acrobat อ่าน ถ้าท่านยังไม่มีโหลดได้ที่นี่
    แจ้งเสีย


  • มีจริงซิ สมัยก่อนยังมี สมัยนี้ก็ยังจะมีไปจนสิ้นยุคนี้

    ยังไม่เคยไปครับ แต่สุดยอดครับ ธรรมชาติอัศจรรย์


    ปีนี้ต้องไปให้ได้วันออกพรรษา

    คิดว่าการตรวจหาความจริงไม่น่าจะมีอะไรยาก คือถ้ามีฝ่ายที่แอคทีฟอยากจะสืบเรื่องนี้จริงๆก็แค่ออกไปตรวจดูในแม่น้ำเลยว่ามันมีอะไรกันแน่ หรือไม่ก็ดำลงไปเลย จะได้รู้ว่าในแม่น้ำลึกลับนั่นมีพญานาคจำศีลอยู่หรือมันคืออะไรกันแน่ แต่คิดว่าคงไม่มีใครอยากให้ลงไปตรวจหรอก เพราะเมื่อมีเหตุการณ์แปลกๆแบบนี้เกิดขึ้น มันเป็น"จุดขาย" ถ้านักท่องเที่ยวรู้ว่ามันเกิดจากซากพืชซากสัตว์นักท่องเที่ยวก็คงจะ อืม..ก็แค่นั้น ถ้ามันเป็นแบบนี้จริงที่ไหนๆก็เกิดได้ แต่คงมีคนบางกลุ่มอยากให้มันเป็นความลับต่อไปเพียงเพื่อต้องการดูดนักท่องเที่ยว ส่วนตัวคิดว่าวิธีแบบนี้ไม่ฉลาดเอาซะเลยเพราะปล่อยให้มันคลุมเคลือแบบนี้ก็เท่ากับหลอกชาวบ้าน หลอกนักท่องเที่ยว ที่เขาคิดว่ามีพญานาคอยู่จริง ซึ่งเขาก็บอกกันอยู่ปาวๆ ว่าพญานาคเป็นสัตว์ในคนละภพกับเรา เมื่อก่อนในสมัยพระพุทธกาลนั่นอาจจะมีจริงอันนี้ก็ไม่เถียง แต่ถึงตอนนี้คิดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรอ เห็นด้วยกับบทความที่ว่า ถ้ามีพญานาคอยู่จริง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนเจอ เพราะถ้าจริงๆพญานาคก็เป็นสัตว์ชนิดนึงคงต้องการอาหาร แต่นี่ไม่มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆ เจอแต่ร่องรอย ซึ่งร่องรอยที่ว่านั่นน่ะ เป็นรอยงูรึเปล่าก็ไม่รู้ คนทำขึ้นมารึเปล่าก็ไม่รู้ ส่วนตัวก็อยากรู้นะว่ามันเกิดจากธรรมชาติหรือมีคนกลุ่มนึงทำขึ้นมา ถ้าอย่างงั้นเป็นเพราะอะไรล่ะ? ทำไมเค้าต้องทำขนาดนี้? แล้วถ้าคนทำจริงๆ เค้าทำเพื่ออะไร แล้วเค้าทำได้ยังไงตอนเกิดลูกไฟ หรือมันจะเป็นแค่ซากพืชซากสัตว์ ยังไงความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าเป็นเรื่องแหกตา เชื่อว่าซักวันนึงความจริงมันก็ต้องแดงขึ้นมาอยู่ดี เพราะคงไม่มีใครมานั่งสร้างสถาณการณ์แบบนี้ได้เป็นสิบๆปีหรอก



    หมดจริงๆ หรือ....

    ทหารลาวเอาปืนมายิงได้ตลอดทั้งแม่น้ำโขง ที่ยาวกว่า 50 กิโลเมตรได้จริงหรือ....

    สงสัยคงใช้ปืนเก็บเสียงด้วย.... คงไม่ค่อยมีอะไรทำ เลยมาทำให้คนไทยดูเล่น...จริงๆหรือ



    ถ้าพิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ก็ขอให้พยายามทำเลียนแบบให้เหมือน แล้วมาแสดงต่อหน้าประชาชนที่กลางแม่น้ำโขงให้เห็นกันจะๆ จะได้สรุปไปเลยว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ



    ...ถ้ามีแต่ทฤษฎีก็อย่าเพิ่งฟันธงเลยนะ... ทำให้ได้จริงๆ เสียก่อน ส่วนใหญ่ชอบใช้คำพูดแบบคลุมเครือว่า "ทำได้ แต่ค่อนข้างยาก...." ซึ่งถ้าแปล ก็คือ ยังทำให้เหมือนไม่ได้ หรือ ยังทำไม่ได้นั่นเอง...

    ความจริง ก็คือ ความจริง....แล้วใครรู้บ้างว่า อันไหนคือความจริง....



    จริงๆ ก็ไม่อยากจะพาดพิงถึงใคร แต่ก็ถือว่าเป็นทรรศนะส่วนตัวก็แล้วกัน



    ..มีข้อมูลจากคนที่อยากพิสูจน์ ถึงขนาดเอาเรือออกไปกลางแม่น้ำโขง เพื่อดูว่า มีใครแอบเอาปืน หรือเอาพลุมายิง หรือไม่ เขาก็เห็นไฟมันพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำ โดยไม่เห็นอะไรอยู่ในน้ำเลย ....นั่นก็คงไม่แปลก เพราะเห็นอย่างนั้นกันอยู่บ่อย ๆ

    ...แต่ก็มีสิ่งที่แปลกคือ มีลูกไฟบางลูก พุ่งทะลุจากพื้นเรือขึ้นไปบนอากาศด้วย...นี่สิ ที่ว่าแปลก เพราะไม่ว่าจะเป็นคนแอบทำ หรือธรรมชาติทำ ก็คงไม่สามารถทำให้ลูกไฟพ่นจากผิวน้ำผ่านลำเรือ แล้วพุ่งต่อขึ้นไปบนอากาศได้ หรือจะบอกว่าตาฝาด ... กุเรื่องขึ้นมา .... คิดไปเอง .... หรืออะไรก็แล้วแต่จะคิด

    ....คนที่ไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ที่อาจกลายเป็นเรื่องจริง ก็คงรับไม่ได้ คงต้องพยายามหาทางยกเอาทฤษฎีใดทฏษฎีหนึ่งทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายให้จงได้

    ...ซึ่งก็ไม่แปลก จริง ๆ แล้ว แม้แต่ปาฎิหาริย์ในพระไตรปิฎก ก็สามารถอธิบายได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ (พลังจิตที่บริสุทธิ์ สามารถสร้างสนามแม่เหล็กที่มีพลังมหาศาล ให้เกิดสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ เยอะแยะไป)



    ....ไม่ได้ชอบเรื่องงมงาย หรือไสยศาสตร์ แต่สนใจพุทธศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

    ....บางเรื่องที่คิดว่าไม่มีจริง ก็อาจมีจริง ส่วนบางเรื่องที่คิดว่าจริง ก็อาจเป็นเรื่องไม่จริงก็ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นสัพพัญญู แต่ให้ฟังหูไว้หู อย่าเพิ่งรีบเชื่อ หรือ รีบไม่เชื่อ



    .....เรืองของพญานาคนั้น มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกอยู่มากมาย บางตอนกล่าวถึงตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปราบพญานาคก็มี แต่คนในสมัยปัจจุบันที่ไม่ค่อยได้ศึกษาธรรมะ และเจริญสมาธิภาวนา นับถือแต่วิชาการเป็นใหญ่ ถือว่าสิ่งใดที่ตนไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ สิ่งนั้น คือ สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้

    ....จริงอยู่ที่ปัจจุบัน มีสิ่งที่คนเราทำหลอกลวงกันมากมาย จนแทบจะแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนลวง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนทั่วไป คิดระแวงไปเสียหมด ไม่อาจเชื่อหรือไว้ใจอะไรได้สักอย่าง

    .....ก็ถือว่าเป็นข้อมูลความคิดเห็นส่วนตัวก็แล้วกัน แล้วแต่จะใช้วิจารณญาณเอาเอง



    .....หมายเหตุ : เป็นข้อมูลจากผู้รู้ ผู้มีญาณทัสสนะ คือ มีธรรมะที่ละเอียด กว่าเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย

    .....พญานาคนั้น เป็นกายละเอียด มีอยู่หลายระดับชั้น ตามกำลังบุญ ตั้งแต่ชั้นผู้ปกครอง จนถึงชั้นบริวาร

    .....ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากขึ้นไปโปรดพุทธมารดาแล้ว ก็เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในวันออกพรรษา วันนั้นพระองค์ได้ใช้พุทธานุภาพ ทำให้ในขณะที่พระองค์เสด็จลงมานั้น บรรดาสัตว์โลกทั้งหลายใน 3 ภูมิคือ นรก มนุษย์โลก และสวรรค์ สามารถเห็นกันได้ตลอดทั้ง 3 ภูมิ จึงเรียกกันวันนั้นว่า วันเปิดโลก

    .....และในวันนั้น พญานาคตนหนึ่งในระดับผู้ปกครองเมืองบาดาล ก็ได้เห็นการเสด็จลงจากสวรรค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธามาก จึงตั้งใจว่า ทุก ๆ ปีในวันครบรอบที่พระองค์ลงจากสวรรค์ คือ ในวันออกพรรษา ตนจะพ่นไฟขึ้นไปบนอากาศ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ....ตั้งแต่นั้นมาพญานาคตนนี้ เมื่อถึงคราวเข้าพรรษา ก็จะต้องไปจำศีล เพราะ การพ่นไฟนั้นต้องใช้กำลังบุญ และความปิติเลื่อมใส จึงจะพ่นไฟออกมาได้ จึงมิใช่ว่าพญานาคทุกตัวนึกอยากจะพ่นไฟ ก็พ่นได้ตามความต้องการ

    .....เมื่อพญานาคตนนี้ ทำการพ่นไฟมาอยู่เรื่อย ๆ พญานาคอื่นๆ เห็นเข้าเกิดความเลื่อมใส ก็ทำตามๆ กัน จนขยายจำนวนเพิ่มขึ้น

    .....เกือบทั้งหมดจะทำการพ่นไฟในวันออกพรรษา(ของลาว) แต่อาจจะมีก่อนหรือหลังจากวันนี้บ้าง ก็แล้วแต่พญานาคแต่ละตัว

    ....ไฟที่พญานาคพ่นออกมานั้น เป็นของ กึ่งหยาบกึ่งละเอียด เมื่อพ่นออกจากปากพญานาคสักครู่จึงจะกลายเป็นของหยาบ ให้เราได้เห็นเป็นลูกไฟ ซึ่งจะไม่ทำให้น้ำกระเพื่อม หรือมีเสียง มีควันใดๆ ทั้งสิ้น

    ....พญานาคตนใดมีศักดิ์สูง มีบุญมาก ก็จะพ่นได้สูง ถ้ามีบุญลดหลั่นลงไป ความสูงของลูกไฟก็จะลดระดับลงไปตามกำลังบุญของแต่ละตัว

    ....ส่วนที่ว่าทำไมมีบั้งไฟมากที่แม่น้ำโขง ที่อำเภอนั้น อำเภอนี้ .... ทำไมไม่โผล่ที่อื่นบ้

    วิจิตร เส็งหะพันธุ์ บั้งไฟพญานาคอาจจะเป็นลูกไฟที่เกิดจากการติดไฟของแก๊สมีเธน (methane,สูตรเคมี CH4) ผสมกับแก๊สฟอสฟีนหรือไฮโดรเจนฟอสไฟด์ (phosphine,สูตรเคมี PH3 ) ซึ่งเกิดขึ้นจากการหมักของซากพืชและซากสัตว์ที่บ่อหลุมใต้น้ำ เมื่อแก๊สนี้รวมตัวกันเป็นก้อน ผุดขึ้นเหนือน้ำจะมีอากาศอยู่โดยรอบ แก๊สฟอสฟีนมีสมบัติที่สามารถติดไฟได้เองโดยการสลายตัวและมีปฏิกิริยากับอ๊อกซิเจน(นับเป็นการเผาไหม้) ซึ่งจะทำให้แก๊สมีเธนติดไฟไปด้วย



    ข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่สังเกตได้อาจอธิบายจากสมมติฐานดังต่อไปนี้



    ทำไมบั้งไฟพญานาคผุดขึ้นจากน้ำเป็นดวงกลมขนาดเท่าๆกัน เริ่มเห็นได้เมื่อสูงกว่าผิวน้ำประมาณ 1-2 เมตรเป็นอย่างน้อยและลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว (ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 10 เมตรต่อวินาที) ขึ้นสูงประมาณ 20-30 เมตรก่อนที่ลูกไฟจะดับในขณะยังเคลื่อนที่



    คำตอบคือ แก๊สผสมดังกล่าวแล้วเมื่อปุดจากใต้น้ำจากช่องที่ไม่โต จะมีขนาดเท่าๆกันโดยอัตโนมัติ คล้ายๆกับหยดน้ำยาหยอดตาที่หลุดจากหลอดที่หยอดตาซึ่งมีขนาดหยดประมาณเท่ากัน หากมีแก๊สมากก็อาจจะแบ่งเป็นสองสามลูกไล่ตามกันมาดังที่เห็นได้ในบางครั้ง แก๊สทั้งสองชนิดดังกล่าวไม่ละลายน้ำ เมื่อหลุดจากผิวน้ำใหม่ๆ แก๊สยังคงรวมตัวกันเป็นก้อนทรงกลมเหมือนเมื่ออยู่ใต้ผิวน้ำและคงความเร็วในการลอยขึ้นประมาณเท่าเดิม หรืออาจช้าลงเล็กน้อยในอากาศเนื่องจากแรงยกน้อยลง แรงยกในอากาศมาจากความหนาแน่นที่แตกต่างกันระหว่างแก๊สผสมกับอากาศ ซึ่งแก๊สผสมเบากว่าอากาศ (มีเทนเบากว่าอากาศประมาณครึ่งหนึ่งฟอสฟีนหนักกว่าอากาศเพียงเล็กน้อย) ปฏิกิริยาระหว่างแก๊สฟอสฟีนกับอากาศ เกิดจากการที่แก๊สฟอสฟีนสลายตัวให้แก๊สไฮโดรเจนที่พร้อมจะรวมตัวกับอ๊อกซิเจนที่บริเวณผิวของทรงกลมแก๊ส พร้อมๆกับการเกิดความร้อนและการปล่อยแสงของอะตอม ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้แก๊สมีเธนสลายตัวและเกิดปฏิกิริยากับอ๊อกซิเจนด้วย สรุปคือเกิดการเผาไหม้ที่ผิวของทรงกลมที่สัมผัสอากาศ ผลผลิตของปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่เป็นไอน้ำธรรมดา การเรืองแสงที่มองเห็นด้วยตาจะมาจากแสงของอะตอมไฮโดรเจนเป็นหลัก ซึ่งจะให้แสงเป็นสีแดงปนชมพู (เป็นส่วนผสมของสเปกตรัมสีแดง น้ำเงิน และม่วง) ระยะ 1-2 เมตรนับว่าใช้เวลาสั้นมากก่อนที่จะเกิดแสงมีความเข้มที่เห็นได้ อัตราเร็วในการลอยขึ้นนั้นเป็นไปได้เทียบกับการคำนวณตามหลักการทางวิชาฟิสิกส์ ลูกไฟดับไปก่อนหยุดแสดงว่าไม่ใช่การวัตถุที่หนักยิงหรือขว้างขึ้นไป ไม่มีเสียงใดๆเนื่องจากเป็นการปลดปล่อยแสงของอะตอมที่ผิวทรงกลมแก๊สซึ่งไม่รบกวนอากาศโดยรอบมาก แก๊สภายในทรงกลมยังไม่มีโอกาสพบอ๊อกซิเจนก็ยังไม่เกิดปฏิกิริยา จึงเหมือนมีผนังไฟที่ผิวและอาจจะเป็นส่วนที่ทำให้ทรงกลมแก๊สรักษาตัวอยู่ได้หลายวินาที หากไม่มีแก๊สฟอสฟีน มีเฉพาะแก๊สมีเธน ผิวทรงกลมจะไม่ติดไฟ เราจะมองไม่เห็น ทรงกลมแก๊สอาจกระจายผสมกับอากาศเร็วขึ้น ลูกแก๊สเช่นนี้น่าจะขึ้นในช่วงกลางวันด้วย แต่แสงในช่วงกลางวันมีมากเราจะไม่สามารถเห็นลูกแก๊สได้



    ขนาดของทรงกลมแก๊สที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-10 เซนติเมตร สามารถที่จะให้ความเร็วในการลอยตัวทั้งจากในน้ำและในอากาศที่อาจเป็นไปได้จากการคำนวณประมาณการทางวิชาฟิสิกส์ คำนึงถึงความต้านทานของน้ำและอากาศต่อการเคลื่อนที่ซึ่งจะเป็นปฏิภาคกับความเร็วยกกำลังสองและความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ ดังนั้นจึงน่าเป็นไปได้ที่ลูกไฟพญานาคในแม่น้ำโขงเกิดจากแก๊สที่ผ่านกระบวนการหมักตามธรรมชาติของซากพืชซากสัตว์ที่ไหลมากับน้ำช่วงฤดูฝน ผุดขึ้นพอดีในวันออกพรรษา





    ต้องไปดูให้เห็นกับตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต


    ขออนุโมทนากับพญานาคทุกท่านที่ท่านทำการบูชาพระพุทธเจ้าสาธุ

    น่าจะขายตามร้านทั่วไปเยอะ.....

    ขอบคุณมากค่ะ

    เหลือเชื่อมากเลยอยากเห็นค่ะเรื่องพญานาค

    สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

     ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล