ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๘


ธรรมะเพื่อประชาชน : พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๘

 Dhamma for people
 ธรรมะเพื่อประชาชน

DhammaPP171_01.jpg

 พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๐๘


                   ความใสบริสุทธิ์ของใจนำมาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง จิตใจของคนเราน่ะจำเป็นจะต้องชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข แม้โลกนี้จะร้อนรุ่มไปด้วยไฟกิเลส แต่ถ้าหากเรารู้จักฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง หมั่นขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสอยู่เสมอ เราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุขในท่ามกลางหมู่ชนผู้มีความทุกข์ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสั่งสอนในพุทธบริษัทเจริญภาวนาอยู่ในหนทางสายกลาง ให้เราเห็นความสำคัญของการฝึกฝนใจว่า ใจที่ผ่องใสย่อมเป็นเหตุนำสุขมาให้ และเป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำสัตว์โลกทั้งหลาย ไปสู่สุคติโลกสวรรค์และนำพาทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดคือ พระนิพพานนั่นเองนะจ๊ะ


    เตมียกุมารได้กล่าวเตือนตัวเองในขณะที่กำลังจะถูกไฟเผาว่า 

    ไฟนี้แม้จะร้อนเพียงใด แต่ก็เทียบไม่ได้กับไฟในนรก
    แม้เราจะตายในกองไฟนี้ ก็ยังประเสริฐกว่า


                   สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาล้วนหวั่นไหวต่อมรณะภัยทั้งสิ้น มีน้อยคนนักที่จะไม่กลัวต่อความตาย เหมือนสัตว์จำนวนมากเมื่อได้ฟังเสียงราชสีห์บรรลือสีหนาทแล้ว ย่อมตกใจกลัวทั้งสิ้น ที่จะไม่กลัวนั้นหาได้ยากเช่นช้างอาชาไนย ม้าอาชาไนย โคอุสภอาชาไนย บุรุษอาชาไนยและบุคคลประเภทสุดท้ายคือ พระอรหันต์ขีนณสพที่ท่านไม่กลัวตายเพราะละสักกายะทิฐิได้หมดแล้ว เป็นผู้อยู่เหนือความตาย นอกนั้นล้วนกลัวถูกราชสีห์จับกินเป็นอาหารทั้งสิ้น 


                   พระเตมียกุมารถือว่าเป็นบุรุษอาชาไนยคนหนึ่ง เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ผ่านความตายมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ท่านมองเห็นความตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพภูมิใหม่เท่านั้น ไม่ได้เป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสะพรึงกลัวแต่อย่างใด เพราะท่านรู้ว่าถ้าทำแต่ความดี แม้ตายก็ได้ไปสู่สุคติภูมิแล้วจะกลัวตายไปทำไม บางครั้งท่านจึงเลือกที่จะยอมตายดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนเหตุการณ์การที่ท่านถูกพระบิดาทดลองเอาไฟเผาเรือที่มุงด้วยใบตาล เพื่อจะให้ไฟคลอกท่านตายทั้งเป็น โดยคิดว่าถ้าอยากรอดชีวิตก็ให้รุกขึ้นหนีออกมาเอง แต่ท่านกลับคิดว่า หากไม่มีใครเข้ามาช่วยท่านก็ยอมที่จะสละชีวิต เพื่อรักษาสัจจะเอาไว้ ซึ่งวันนี้หลวงพ่อจะได้นำเรื่องของท่าน มาเล่าให้ลูกๆ ได้รับฟังกันต่อจากเมื่อวานนี้นะจ๊ะ 


                  ครั้งที่แล้วหลวงพ่อเล่าถึงตอนที่ว่า แม้พวกอำมาตย์จะทดลองพระกุมารด้วยของเล่น ที่ทำด้วยทองคำเป็นเวลานานนับปี แต่พระราชกุมารเองก็ไม่ได้แสดงอาการสนพระทัยแต่อย่างใด ยังมั่นคงอยู่ในปณิธานเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง การที่พระองค์ทรงเจริญเติบโตมาได้ตามปกติ ก็เพราะทรงมีกำลังใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว บวกกับคณะแพทย์หลวงได้ทำการนวดเฟ้นร่างกาย ให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้พระราชกุมารทรงเจริญเติบโตและมีพระพลานามัยสมบูรณ์ทุกอย่าง 


                   พวกอำมาตย์เริ่มเกิดอาการหวั่นวิตก ได้ปรึกษากันว่า ท่านทั้งหลายพวกเราจะทำอย่างไรกันดี จนถึงป่านนี้แล้วพระราชกุมารก็ยังไม่แสดงอาการอะไร พอให้เรามีความหวังได้เลย อำมาตย์ผู้ฉลาดหลักแหลมท่านหนึ่ง ได้แสดงความเห็นท่ามกลางที่ประชุมว่า ท่านทั้งหลายเด็ก ๔ ขวบมักชื่นชอบอาหารที่มีรสเลิศ เราน่าจะทดลองพระราชกุมารด้วยโภชนาหาร ท่านทั้งหลายจะเห็นเป็นอย่างไร พวกอำมาตย์ที่เหลือเมื่อยังไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่น จึงเห็นพร้องต้องกันในเรื่องนั้น ครั้นแล้วจึงพากันกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้าธรรมดาเด็ก ๔ ขวบ ชอบโภชนาหารรสเลิศ พวกข้าพระองค์จะทดลองพระราชกุมารด้วยโภชนาหารพระเจ้าข้า


                   พระราชาทรงมีความหวังขึ้นอีกครั้ง จึงรับสั่งให้ทดลองตามนั้นทันที เหล่าอำมาตย์จึงรีบสั่งคนทำเครื่องต้นประจำวังหลวง ให้ปรุงพระกระยาหารรสเลิศนานาชนิด ที่ตกแต่งอย่างประณีตสุดฝีมือ แล้วน้อมถวายพระราชกุมารและบริวาร เหล่ากุมารทั้ง ๕๐๐ คน ต่างพากันหยิบอาหารบริโภคเองอย่างเอร็ดอร่อย แต่พระราชกุมารก็มิได้แสดงอาการสนพระทัยแต่อย่างใด ทรงสอนพระองค์เองว่า เตมียกุมารชาติก่อนๆ นู้น เจ้าก็เคยอดอาหารมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว มาบัดนี้เจ้าจะหวั่นใจไปทำไม ครั้นทรงเตือนพระองค์เองอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ได้ทอดพระเนตรดูโภชนาหารนั้น แม้แต่นิดเดียว เพราะทรงกลัวภัยในนรกมากกว่า


                   พระนางเจ้าจันทาเทวี เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นพระราชกุมาร ยังทรงนิ่งเฉยอยู่ ก็ให้ทรงกระวนกระวายพระทัยเป็นยิ่งนัก เพราะไม่อาจทนเห็นพระราชกุมาร อดพระกระยาหารได้ จึงได้ให้พระราชกุมารเสวยโภชนาหารเหล่านั้น ด้วยพระหัตถ์ของพระนางเอง


                   พวกอำมาตย์เมื่อเห็นว่ายังไม่เป็นผลสำเร็จ ก็คิดหาวิธีทดลองที่อุกฤตยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อพระเตมียกุมารมีพระชนมายุได้ ๕ พระชันษา พระราชาก็ทรงโปรดให้ทดลองพระราชกุมารด้วยไฟ ตามคำกราบทูลของอำมาตย์ซึ่งให้เหตุผลว่า เด็ก ๕ ขวบย่อมจะกลัวไฟเป็นธรรมดาโดยทรงรับสั่งให้นำพระราขกุมารไปรวมไว้กับกุมารทั้งหลาย ให้อยู่ในเรือนมุงแล้วปิดบังด้วยใบตาล ขณะที่กุมารทั้งหลายพากันวิ่งเล่นอยู่ในเรือนใบตาลตามประสาเด็กๆ อำมาตย์ซึ่งเฝ้าสังเกตุอยู่ ก็ได้เริ่มจุดไฟเผาเรือนใบตาลนั้น 


                   กุมารที่วิ่งเล่นอยู่บริเวณนั้นต่างพากันตกใจกลัว วิ่งหนีออกมาแต่พระเตมิยราชกุมารหาได้กลัวความตายไม่ พระองค์ทรงดำริว่า  ไฟนี้แม้จะร้อนเพียงใดแต่ก็เทียบไม่ได้กับไฟในนรก  แม้เราจะตายอยู่ในกองไฟนี้ ก็ยังประเสริฐกว่า  ครั้นทรงดำริดังนี้แล้ว ก็มิได้มีความหวั่นไหว ทรงข่มพระหฤทัยไม่ให้ตกใจกลัว บรรทมสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางความร้อนของเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่โดยรอบ ทรงบรรทมอยู่อย่างสงบ ราวกับพระที่กำลังเข้านิโรธสมาบัติ เมื่อไฟรามมาถึงอำมาตย์ จึงรีบไปอุ้มพระกุมารออกมาจากกองไฟ แม้จะทดลองอย่างนี้เป็นเวลา ร่วม ๑ ปี ก็ไม่เห็นวี่แววว่าพระกุมารจะลุกขึ้นเดินได้เอง ยังคงแสดงอาการเป็นง่อยเหมือนเดิม


                   ครั้นพระราชกุมารทรงมีพระชนมายุได้ ๖ พระชันษา พระราชบิดาก็ทรงโปรดให้ทดลองด้วยช้าง ด้วยประสงค์จะให้พระราชกุมารตกใจกลัวเฉกเช่นครั้งที่ผ่านมา เหล่าอำมาตย์ได้สั่งให้ราชบุรุษปล่อยพญาช้างให้วิ่งเข้ามาทำร้ายพระราชกุมาร ซึ่งประทับนั่งอยู่ท่ามกลางกุมารทั้งหลายที่พระลานหลวง  พญาช้างก็บันลือเสียงดังสนั้นน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก เอางวงฟาดแผ่นดินแล้ววิ่งรี่ตรงเข้าหาพระราชกุมารทันที แต่พระองค์ก็ทรงบรรทมนิ่งเฉย ดุจรอคอยความตายที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า  พระองค์ไม่ทรงกรรแสงและไม่ขยับเขยื้อนหรือแสดงอาการหวาดกลัวใดๆ ในขณะที่กุมารที่เหลือพากันวิ่งหนี ร้องระงมด้วยความหวาดกลัว  พญาช้างครั้นวิ่งเข้ามาประชิดตัวพระราชกุมารแล้ว  ก็เอางวงจับพระองค์คล้ายจับกำดอกบัว  ยกชูขึ้นแล้ววิ่งไปโดยรอบสถานที่นั้น  ยังความหวาดเสียวให้เกิดแก่หมู่อำมาตย์ ข้าราชบริพารและพี่เลี้ยงนางนมเป็นอย่างยิ่ง 

 
                   แต่เพราะพยาช้างนั้นเป็นช้างที่ควาญช้างฝึกดีแล้ว จึงมิได้ทำร้ายพระราชกุมารให้ได้รับอันตรายแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงทำให้พระองค์ทรงอึดอัดพระวรกายเท่านั้น พระองค์จึงยังทรงอดกลั้น ประทับนิ่งเป็นปกติอยู่บนงวงช้าง ไม่ร้องไห้ขอความช่วยเหลือ ไม่แสดงอาการดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากงวงช้าง สร้างความอัสจรรย์ใจให้กับผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก 


                   ส่วนพวกอำมาตย์ทั้งหลายเมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลสำเร็จ ก็คิดหาทางทดลองในวิธีอื่นอีก แต่ทว่าจะทดลองพระกุมารด้วยวิธีใดนั้น ก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ


                   สำหรับวันนี้ให้ลูกทุกคนอย่าได้หวั่นไหวต่ออุปสรรค์ใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราถือว่าเป็นประสบการณ์ ที่เราต้องเปลี่ยนเป็นบุญกุศลให้หมด เพื่อใจเราจะได้ผ่องใสและตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรม แล้วชีวิตเราจะได้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไปกันนะจ๊ะ


          
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล