Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ๑๑
โลกเรานี้เป็นโลกแห่งปัญหาไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูง ชั้นกลางหรือชั้นล่างล้วนประสบกับปัญหาทั้งสิ้น ต่างกันแต่ว่ามากหรือน้อย บางคนไม่มีกัลยาณมิตร จึงต้องประสบปัญหาในการดำเนินชีวิต ตั้งปัญหาส่วนตัว ปัญหาในบ้าน นอกบ้านปัญหาระดับหมู่บ้าน ตำบลอำเภอ จังหวัด ประเทศและนานาชาติทั่วโลก ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่มีปัญหา ไม่มีครอบครัวไหนหรือบุคคลไหนที่ไม่มีปัญหา แม้หลังจากตายไปแล้วก็ยังมีปัญหาตามมาในปรโลก ต้องไปรับทุกข์ทรมานอย่างหน้าอนาถในอบาย
เพราะฉะนั้นควรยุติปัญหาด้วยปัญญา คือหันหน้ามาสร้างบารมี มาทำทานรักษาศีล และเจริญภาวนา ให้เกิดดวงปัญญาบริสุทธิ์ และจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ถ้าเอาคนมีปัญญามารวมกัน ขจัดปัญหาไปให้ไถึงต้นเหตุของปัญหา ความทุกข์ทรมานทั้งหลายก็จะหมดไป
ฉะนั้นน่ะการแก้ปัญหาที่ได้ผลต้องเริ่มต้นที่จิตใจ เพราะเมื่อใจเราผ่องใส ใจเราหยุดใจเรานิ่ง ใจเราสงบ เราก็จะพบทางออกและช่องทางความสำเร็จกันนะจ๊ะ
มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในมหาโควินทสูตรความว่า
ถ้าพระองค์จะละกาม อันเป็นเครื่องข้องของปุถุชน
ขอจงทรงปรารภความเพียรให้มั่น
ประกอบด้วยกำลังขันติ ทางนี้เป็นทางตรง
ทางนี้ไม่มีทางอื่นยิ่งกว่า
ผู้มีความเพียรพยายามและมีขันติธรรมและจำใจ
ได้ชื่อว่านำประโยชน์สุขมาให้ ทั้งแก่ตนและผู้อื่น
คือนอกจากจะมีอานิสงส์เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว
ยังก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกด้วย
เหมือนดังที่พระบรมศาสดาของเราในสมัยที่เป็นพระบรมโพธิสัตว์ คณะกำลังสร้างบารมีเป็นพระเตมียกุมารอยู่นั้น แม้ว่าหนทางไปสู่การได้ออกผนวช ซึ่งเป็นการทำตนให้หลุดพ้นจากเครื่องข้องคือกามคุณ เป็นสิ่งทำได้ยากอย่างยิ่ง แล้วต้องอาศัยเวลายาวนาน แต่พระพุทธองค์ก็ยังคงมุ่งมั่นฟันฝ่าก เพื่อบุญญาบารมีของพระองค์ แล้วผลแห่งความเพียรและขันติธรรมนั้น ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างก็ได้ดื่มด่ำรสแห่งธรรมอันยอดเยี่ยมจากพระองค์ ผลแห่งการตั้งใจแสร้งเป็นคนง่อย เป็นคนใบ้ ไม่แสดงตนว่าตนเองน่ะเป็นคนฉลาดนั้น จะสามารถนำพาพระองค์ ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ ดังที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ก็ให้มาติดตามรับฟังเรื่องราวของพระองค์ท่านกันต่อเลยนะจ๊ะ
ครั้งที่แล้วหลวงพ่อได้เล่าถึงตอนที่ เหล่าอำมาตย์ได้ทดลองพระราชกุมารด้วยถ่านเพลิง ด้วยการวางกระเบื้องเต็มด้วยถ่านเพลิง ที่ลุกเป็นไฟไว้ใต้พระแท่นบรรทม พระราชกุมารแม้จะถูกเปลวไฟสุมรุมอยู่เบื้องล่าง จนเกิดความร้อนไปทั่วพระสรีระของพระองค์ ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ก็มิได้ขยับพระหัตถ์หรือพระบาทเลย กลับทรงสอนพระองค์เองว่า “ความร้อนในนรกแผ่ไปตั้งร้อยโยชน์ สามารถทำลายจักษุของมนุษย์แม้อยู่ในที่ไกลถึงร้อยโยชน์ได้ ความร้อนของเพลิงนี้ ยังดีกว่าความร้อนในนรกนั้น ตั้งร้อยตั้ง พันเท่า”
ครั้นทรงดำริฉะนี้แล้ว ก็ทรงอดกลั้นต่อความร้อนนั้น มิได้หวั่นไหว แม้พวกอำมาตย์เองก็ไม่ยอมนำพระราชกุมาร ออกมาเหมือนแต่ก่อน ทำให้พระองค์รับทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายพระราชชนกชนนีทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ถูกความร้อนเบียดเบียนได้รับทุขเวทนายิ่งนัก ก็เป็นเหมือนพระหฤทัยจะแตกสลาย จึงแหวกฝูงชนเข้าไปอุ้มพระโพธิสัตว์ ออกมาจากความร้อนของเปลวเพลิงนั้น
แล้วตรัสวิงวอนว่า “เตมิยกุมารลูกรัก พ่อและแม่รู้ว่าเจ้าน่ะ ไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย ไม่ใช่คนใบ้ และก็ไม่ได้เป็นคนหูหนวก เพราะคนที่พิการนั้น มิได้มีมือเท้าอย่างนี้ ขอเจ้าจงลุกขึ้นเถิด อย่าได้นิ่งเฉยอยู่เลยพ่อกับแม่แทบจะขาดใจตายเพราะความอับอายประชาราษฎร์ยิ่งนัก เจ้าอย่าให้พ่อกับแม่ต้องอัปยศอดสู ต่อพระราชาทั่วชมพูทวีปให้มากไปกว่านี้เลย”
แม้พระชนกพระชนนีจะทรงวิงวอนสักเพียงใด แต่พระโพธิสัตว์ก็ยังบรรทมนิ่งเฉย ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้ผิดแปลกไปจากเดิม เหมือนมิได้ทรงสดับพระวาจานั้น จวบจน ๑๕ ปีผ่านไปเหล่าอำมาตย์ได้เฝ้าเพียรทดลองพระโพธิสัตว์ทุกวิถีทาง แต่ก็มิได้บังเกิดผลใดๆ เลย จึงได้ปรึกษากัน เพื่อที่จะช่วยแก้ไขพระโพธิสัตว์ ให้กลับมาเป็นปกติให้ได้
ในที่สุดอำมาตย์ผู้ชาญฉลาดคนหนึ่ง ก็แสดงความเห็นขึ้นท่ามกลางที่ประชุมว่า “บัดนี้ พระราชกุมารของเราทรงเจริญวัย มีพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษาแล้ว ธรรมดาว่าชายหนุ่มแรกรุ่นเป็นดุจบุบผาแรกแย้ม มีหรือที่จะไม่กำหนัดยินดีในกาม เพราะขึ้นชื่อว่ากามคุณแล้ว ย่อมเป็นที่ปรารถนาของบุคคลทั้งหลาย แม้พระราชกุมารของเราก็เช่นกัน พระองค์ก็ทรงเป็นบุรุษ ผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ ไม่บกพร่องพิการ เมื่อเปลี่ยนวัยเติบใหญ่เป็นหนุ่มแล้ว ไฉนเลยจะไม่ยินดีด้วยสตรีสาวสวย เราทั้งหลายจะทดลองพระราชกุมาร ด้วยเหล่านางสนมนักฟ้อน เชื่อแน่ว่าพระองค์จะต้องแสดงอาการสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ เหล่า
อำมาตย์ที่เหลือ ครั้นได้ฟังถ้อยคำของอำมาตย์ผู้ชาญฉลาดแล้ว ต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย จึงมีมติร่วมกัน ที่จะนำความนี้ขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้ากาสิกราช ผู้ซึ่งบัดนี้กำลังอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ด้วยทรงท้อพระหฤทัยที่ไม่อาจจะทำให้พระโพธิสัตว์ กลับเป็นปกติดังเดิมได้
พระราชาได้ฟังคำกราบทูลนั้นแล้ว ก็ทรงดีพระหฤทัยยิ่งนัก จึงทรงรับสั่งให้เรียกหญิงนักฟ้อนผู้มีรูปทรงงดงามดั่งเทพอัปสรมา แล้วตรัสว่า “หากหญิงคนใดสามารถทำให้พระราชกุมาร ร่าเริงเบิกบานพระหฤทัย และสามารถจะผูกพันพระราชกุมารไว้ด้วยอำนาจแห่งตัณหาได้ เราจะให้หญิงผู้นั้นได้ครองความเป็นใหญ่ โดยจะอภิเษกให้เป็นอัครมเหสีของพระราชกุมารในทันที”
หญิงนักฟ้อนเหล่านั้น ครั้นได้ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว ก็ล้วนมีความยินดีปรีดา เพราะทุกคนก็ปรารถนาความเป็นอัครมเหสีด้วยกันทั้งนั้น จึงต่างรับอาสาด้วยความหวังอันบรรเจิด
ส่วนพวกนางนมต่างช่วยกันสรงสนานพระโพธิสัตว์ด้วยน้ำหอม แล้วตบแต่งพระโพธิสัตว์ให้งดงามราวเทพบุตรในสวงสวรรค์ ให้บรรทมบนพระแท่นภายในห้องบรรทม ซึ่งประดับประดาอย่างงดงามดังทิพยวิมาน ภายในตลบอบอวลด้วยกลิ่นหอมแห่งสุคันธชาติ อันชวนให้สำราญพระหฤทัย จากนั้น จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าหญิงนักฟ้อนผู้เลอโฉม ที่จะเฝ้าถวายการปรนนิบัติ นวดเฟ้นพระโพธิสัตว์ และประเล้าประโลมให้ทรงอภิรมย์ ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง ซึ่งแต่ละนาง ล้วนแสดงอากัปกิริยาที่น่าเย้ายวนพระหฤทัยของพระราชกุมาร
สตรีสาวสวยผู้ฉลาดในจริตมารยา เมื่อได้ประเล้าประโลมบุรุษใดแล้ว ก็ยากที่บุรุษนั้นจะไม่หลงไหลเพลิดเพลิน แล้วตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหา แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมล้นด้วยพระปัญญาแล้ว ทรงพิจารณาเห็นหญิงเหล่านั้น เป็นเพียงอัตภาพ ที่รวมกันเข้าไว้อย่างวิจิตร ประสานขึ้นด้วยกระดูก ฉาบทาด้วยเนื้อและเลือด ร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น มีหนังเป็นเครื่องห่อหุ้ม แพรวพราวด้วยอาภรณ์ เครื่องประดับอันอลังการ
แม้จะเป็นที่บันเทิงใจและใฝ่หาของผู้คนเป็นอันมาก แต่ย่อมไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาฝั่งคือนิพพานอย่างพระองค์ เสมือนบ่วงที่พรานเนื้อวางกับดักล่อไว้ แต่พรานเนื้อนั่นเอง ที่ต้องคร่ำครวญเสียใจ เพราะเมื่อเนื้อเห็นบ่วงแล้ว ก็ผละหนีไป เนื่องจากไม่ปรารถนาที่จะติดบ่วงนั้น
ครั้นทรงดำริเช่นนี้แล้ว พระกุมารจึงทรงตั้งสัจยาธิษฐานในพระทัยว่า “หากข้าพเจ้าจะได้ถึงฝั่งพระนิพพานในอนาคตกาล ขออานุภาพแห่งบุญบารมี ที่สั่งสมมาดีแล้วนับภพชาตินับชาติมิถ้วน จงดลบันดาลให้หญิงเหล่านี้ อย่าได้แตะต้องสรีระของข้าพเจ้าเลย” ครั้นอธิษฐานดังนี้แล้ว ก็ทรงกลั้นลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพระสรีระของพระโพธิสัตว์ก็กลับแข็งกระด้างขึ้นดุจท่อนไม้ เหล่าหญิงงามครั้นเห็นพระสรีระของพระโพธิสัตว์แข็งกระด้าง ก็เกิดความสะดุ้งหวาดกลัว ไม่กล้าแตะต้องพระสรีระของพระองค์ พากันคิดว่า พระองค์คงจะเป็นยักษ์จำแลงมาเป็นแน่ ว่าแล้วก็พากันวิ่งหนีพระราชกุมารไป ด้วยความตื่นตระหนกไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้พระองค์อีกเลย ส่วนว่าพวกอำมาตย์ จะหาทางทดลองพระราชกุมารด้วยวิธีการอย่างใดอีกนั้น ก็ให้มาติดตามรับฟังกันต่อในวันพรุ่งนี้นะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)