ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน :  มาตังคบัณฑิต ๑


ธรรมะเพื่อประชาชน :  มาตังคบัณฑิต ๑

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
 

DhammaPP201_01.jpg

มาตังคบัณฑิต ๑

                        จุดเริ่มต้นของทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ต่างก็ถูกปรุงแต่งด้วยกรรมดีและกรรมชั่ว ที่เราได้ทำผ่านมาในอดีต กรรมดีในจะปรุงแต่งชีวิตให้สมบูรณ์ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญสุข แต่กรรมชั่วก็จะทำให้มีวิบัติและทำให้ชีวิตตกต่ำ แต่ไม่ว่าเราจะมีสมบัติหรือวิบัติในชีวิต มากน้อยเพียงไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราได้มาเสมอเหมือนกันก็คือกำเนิดของความเป็นมนุษย์ ที่สามารถกลั่นใจของตัวเราเอง ให้สะอาดบริสุทธิ์สูงส่งขึ้นได้ ใจของเราสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นอริยะได้ ดังนั้นแม้ว่าเราจะเคยพลาดพลั้งทำสิ่งที่ไม่ดีมาก่อน แต่เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้ใจของเรา ใสสะอาดบริสุทธิ์ดังเดิมได้ด้วยการทำสมาธิเจริญภาวนา กลั่นกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ซึ่งก็เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะทำใจของเราให้บริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริงนะจ๊ะ

 

 

                            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
   
         
                        “น ปเรสํ วิโลมานิ       น ปเรสํ กตากตํ
           
                        อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย   กตานิ อกตานิ จ
 
     
                        “บุคคล ไม่ควรนำคำพูดที่ไม่ดีของคนอื่นมาใส่ใจ ไม่ควรดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของคนอื่น พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของตนเท่านั้น”

 

 

                        คำนินทาและสรรเสริญเป็นของคู่โลก เป็นสิ่งที่คู่กันและเป็นธรรมดาของทุกคนที่เกิดมาแล้วมันจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ต้องมีคนสรรเสริญและคนนินทา ถ้าเราทำความชั่วก็มีคนไม่ดีคอยสรรเสริญและสนับสนุนให้ทำความชั่วยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ก็จะถูกคนดีตักเตือนและหาทางขัดขวางในทางความชั่ว ครั้นลงมือทำความดีก็จะถูกขัดขวางจากคนที่ยังไม่เข้าใจ แต่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากคนดี ที่เห็นด้วยกับการทำความดีของเรานะจ๊ะ นี่ก็เป็นปกติธรรมดาของโลกให้เราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์เอาไว้ จะได้ไม่ไปเย็นดีหรือยินร้าย ทั้งในคำสรรเสริญและนินทาแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เพรียบพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่ยังหนีไม่พ้นจากการถูกนินทาเลย

    

 

                        ฉะนั้นน่ะ หากเรามัวแต่ไปใส่ใจกับคำนินทา ชีวิตก็จะเสียเวลาและอารมณ์ไปเปล่าๆ แต่ละครจะหันมามุ่งมั่นในการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป สงวนเวลาและอารมณ์เอาไว้ สำหรับการทำงานที่แท้จริงของชีวิต คือการทำใจหยุด ใจนิ่งจะดีกว่านะจ๊ะ สำหรับวันนี้หลวงพ่อมีประวัติการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์มาเล่าให้ลูกๆ ได้รับฟังกันซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ชีวิต ที่งดงามที่เราควรจะศึกษากันเอาไว้ จะได้เป็นแบบอย่างในการสร้างบารมีของเราต่อไป

 

 

                        เรื่องก็มีอยู่ว่าในอดีตกาลมีเศรษฐีประจำเมืองพาราณสีท่านหนึ่ง มีลูกสาวคนเดียวอันเป็นที่รักยิ่ง ชื่อว่าทิฏฐมังคลิกา นางมีรูปร่างหน้าตางดงาม อีกทั้งยังเพียบพร้อมทั้งโภคทรัพย์สมบัติและสกุลสมบัติ จึงทำให้นางเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย เมื่อลูกชายเศรษฐีจากเมืองต่างๆ ส่งเครื่องบรรณาการมาสู่ขอ ก็จะถูกนางจับผิดแล้วติเตียนถึงชาติตระกูลบ้าง รูปร่างหน้าตาบ้าง มือและเท้าบ้าง ภายหลังจากพวกบุตรเศรษฐีกลับไปแล้ว นางก็จะให้เหล่าบริวารเตรียมนำน้ำมาสำหรับล้างตา เสมือนหนึ่งว่าได้เห็นสิ่งอันไม่เป็นสิริมงคล 

 

 

                        ในวันหนึ่งนางคิดว่าจะไปเล่นน้ำที่แม่น้ำคงคา จึงได้ส่งบริวารให้ไปประดับตกแต่งท่าน้ำอย่างสวยงามไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็ให้บรรทุกอาหารจนเต็มเล่มเกวียนและให้ประดับประดายานพาหนะอย่างงดงามด้วยของหอม และดอกไม้หลากหลายชนิด เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เคลื่อนขบวน ออกจากคฤหาสน์มุ่งหน้าไปสู่ท่าน้ำพร้อมกับบริวาร 

 

 

                     สมัยนั้นพระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลคนจัณฑาล ชื่อมาตังคแต่ก็เป็นผู้มีปัญญามาก ได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านภายนอกพระนคร ในวันนั้นหนุ่มจัณฑาลต้องการจะเข้าไปในพระนครด้วยกิจธุระบางอย่าง จึงนุ่งผ้าเก่าสีเขียวผืนหนึ่ง เอาผ้าอีกผืนหนึ่งผูกข้อมือ มือข้างหนึ่งถือกระเช้าและอีกข้างหนึ่งถือกระดิ่ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้อื่นรู้ว่า ตนเองน่ะเป็นคนจัณฑาล นี่ก็เป็นธรรมเนียมในสมัยนั้นนะจ๊ะ 

 

 

                        ลูกสาวเศรษฐีพอได้ยินเสียงกระดิ่ง ก็มองผ่านทางช่องม้านออกมาภายนอก เห็นหนุ่มชนบทเดินมาแต่ไกล จึงไต่ถามบริวารว่านั่นใคร ครั้นทราบว่าเป็นคนจัณฑาล จึงร้องโวยวายเสียงดังว่าวันนี้ช่างอัปมงคลเสียจริง ที่ได้เห็นคนจัณฑาลเช่นนี้ นางนึกรังเกียจจนถึงกับขนลุกตัวสั่น ได้ถ่มน้ำลายด้วยความดูถูกเหยียดหยาม บอกกับพวกพี่เลี้ยงให้รีบนำน้ำมาเพื่อล้างตา นางรู้สึกขุ่นมัวมาก จึงสั่งให้พวกคนรับใช้หันขบวนกลับคฤหาสน์ โดยไม่ยอมเดินทางกันต่อไป 

 

 

                        ฝ่ายพวกนักเลงสุราที่มารอคอยอยู่ที่ท่าน้ำ หวังว่าจะได้ยลโฉมของนาง ต่างก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน แถมยังพลอยอดกินสุราและกับแกล้มที่นางตระเตรียมมาอีกด้วย จึงทำให้พวกนักแสดงสุราไม่พอใจมาก ได้พากันสอบถามถึงสาเหตุ ครั้นทราบว่าเจ้าหนุ่มจัณฑาลเป็นต้นเหตุแล้ว ก็พากันไปหาพระโพธิสัตว์ถึงบ้าน เมื่อพบแล้วก็ช่วยกันจับผมกระชากให้ล้มลงกับพื้น แล้วทุบตีอย่างทารุณจนสลบคามือและเท้า เมื่อคิดว่าคงตายแน่แล้ว จึงช่วยกันนำเอาไปทิ้งที่กองขยะ 

 

 

                        ฝ่ายมหาบุรุษเมื่อฟื้นขึ้นมา ก็รู้สึกปวดระบมไปทั่วทั้งตัวและก็นั่งคิดพิจารณาถึงต้นสายปลายเหตุ ที่ทำให้ตนต้องถูกทำร้ายถึงปางตายเช่นนี้ เมื่อทราบว่าเพราะทิฏฐมังคลิกานี่เองที่เป็นต้นเหตุ จึงคิดหาวิธีการที่จะแก้ทิฏฐิมานะของนางว่า เราเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งถึงแม้จะเกิดในตระกูลต่ำแต่ปัญญาของเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อื่น ดังนั้นน่ะเราต้องหาทางนำนางมาเป็นคู่ครอง แล้วทำให้นางนั้นน่ะมาซบลงแทบเท้าของเราให้ได้ ว่าแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ของนาง ครั้นพอไปถึงก็ล้มตัวลงนอนบริเวณกลางลานบ้านของท่านเศรษฐี 

 

 

                        ในสมัยนั้นน่ะมีประเพณีอยู่ว่า ถ้าหากมีคนจัณฑาลมานอนตายใกล้ที่อยู่ของใคร คนนั้นจะต้องกลายมาเป็นคนจัณฑาล และเมื่อคนจัณฑาลตายกลางเรือนของใคร คนที่อยู่ในเรือนนั้นน่ะทั้งหมดก็ต้องตกเป็นคนจัณฑาล ถ้าตายที่ระหว่างประตูเรือนของใคร คนที่อยู่ในเรือนระหว่างประตูเรือนทั้งสองข้างต้องเป็นคนจัณฑาล และถ้าตายกลางลานบ้านคนที่อยู่เรือนทั้ง ๑๔ หลังข้างซ้าย ๗ หลังและข้างขวา ๗ หลังต้องตกเป็นคนจัณฑาล 

 

 

                        บริวารเศรษฐีเห็นกิริยาของมาตังคบัณฑิต จึงเข้าไปถาม เมื่อทราบสาเหตุก็รีบไปรายงานให้ท่านเศรษฐีทราบ พร้อมกับกล่าวว่า ถ้าหากเขาไม่ได้ลูกสาวของนายท่าน เขาจะยอมตายอยู่ที่ตรงนั้น ท่านเศรษฐีจึงสั่งบริวารให้นำทรัพย์ ๑ มาสกไปให้เขา แต่พระโพธิสัตว์กลับปฏิเสธและยืนกรานที่จะเอาลูกสาวเศรษฐี ไปเป็นคู่ครองอย่างเดียว เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ยอมลุกขึ้น ชาวบ้านข้างเคียงอีก ๑๔ หลังคาเรือนเกรงว่า ตัวเองก็จะต้องพลอยเป็นคนจัณฑาลตามไปด้วย จึงพากันไปกดดันท่านเศรษฐี ให้ทำตามคำขอของพระโพธิสัตว์ เศรษฐีและภรรยาไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ธิดาอันเป็นที่รักยิ่งก็มีเพียงคนเดียว ครั้นจะส่งธิดาไปให้เป็นภรรยาของหนุ่มจัณฑาลก็อับอายขายหน้าชาวเมือง

 

 

                        ขณะเดียวกันก็ได้ส่งบริวารให้เป็นอารักขาหนุ่มจัณฑาลเอาไว้ เพราะถ้าหากเขาตายไปตอนนี้ ทุกคนในบ้านก็จะพลอยเสื่อมเสียกันหมด ดังนั้นน่ะ พวกบริวารจึงได้จัดเวรยามอารักขาเป็นอย่างดี คอยส่งข้าวส่งน้ำไปให้ แต่พระโพธิสัตว์กลับปฏิเสธความช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะถ้าหากไม่ได้ลูกสาวของท่านเศรษฐีก็จะยอมตายเพียงอย่างเดียว ส่วนว่าท่านเศรษฐีจะยอมยกลูกสาวให้หรือไม่และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป เราคงต้องมาติดตามกันต่อในคราวต่อไปนะจ๊ะ

 

 

                        จากเรื่องนี้เราก็จะเห็นว่าชีวิตในสังสารวัฏนั้นน่ะไม่แน่นอน เราจึงไม่ควรประมาทในการทำความดีและให้มีความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ เพื่อเราจะได้ไปเกิดในตระกูลสูง เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นความดีแม้เล็กน้อย ก็ให้ทำไปเถิด ทั้งบุญเล็ก บุญปานกลาง บุญใหญ่ แต่ถ้าหากเป็นความชั่วแม้สิ่งเล็กน้อยก็อย่าได้ไปทำกันนะจ๊ะ เพื่อชีวิตในการสร้างบารมีของเราจะได้สะดวกสบายราบรื่นไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมกันทุกๆ คนนะจ๊ะ

 

พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล