Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน
มาตังคบัณฑิต ๕
มนุษย์เราต่างก็มีทุกข์กันทั้งนั้น ต่างกันก็แต่ลักษณะของความทุกข์ที่เกิด ว่าจะเกิดขึ้นในรูปแบบใด ชีวิตของมนุษย์ทุกวันนี้ อุปมาเหมือนกับกำลังลอยคออยู่กลางทะเล ใครที่ต้องการมีชีวิตรอด คว้าอะไรได้ก็คว้ากันไป เพื่อพยุงตัวเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เจอไม้กระดานแผ่นบางๆ เล็กๆ ก็คว้าเอาไว้ เจอซากศพก็คว้าไว้ก่อน เพราะต่างก็กลัวตายด้วยกันทั้งนั้น
ฉะนั้นคนเราทุกวันนี้ เวลามีความทุกข์ก็จะขวนขวายหาที่พึ่ง โดยไม่คำนึงถึงว่า สิ่งนั้นน่ะจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงได้หรือไม่ พุทธองค์ทรงสอนว่าตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ยามใดที่เรามีความทุกข์ก็ให้พึ่งตัวเอง ด้วยการหยุดใจให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัว ไม่ต้องไปไขว่คว้าแสวงหาสิ่งที่อยู่นอกตัวมาเป็นที่พึ่ง โดยเริ่มต้นด้วยการฝึกทำใจหยุดใจนิ่ง ที่ศูนย์กลางกายให้ได้ตลอดเวลานั่นเองนะจ๊ะ
มีธรรมะภาษิต ที่ปรากฏในมาตังคชาดกว่า
ชาวนาทั้งหลายเมื่อหวังผลในข้าวกล้า
ย่อมหว่านพืชพันธุ์ธัญญาหาร ลงในที่ดอนบ้าง
ในที่ลุ่มบ้าง ในที่เสมอไม่ลุ่มๆ ดอนๆ บ้างฉันใด
ท่านจงให้ทานแก่ปฏิคาหกทั้งหลาย ด้วยศรัทธานี้ฉะนั้น
การให้ทานนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นสิ่งที่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายต่างก็ประพฤติกันมา การบริจาคทานทำให้เกิดผลดีต่อตัวผู้ให้และผู้รับ ในส่วนของผู้ให้ถือว่าเป็นการสละความตระหนี่ออกจากใจ เป็นการขจัดกิเลสคือความโลภออกไป แสดงถึงความรักและปรารถนาดี ต่อคนอื่นไม่เป็นคนเห็นแก่ตัวเป็นการอนุเคราะห์เพื่อนร่วมโลก คือแบ่งปันทรัพย์ที่ตนเองมีอยู่ ให้กับผู้ที่ขาดแคลน แต่บัณฑิตทั้งหลายนอกจากจะยินดีในการให้ทานแล้ว ท่านยังสรรเสริญการทำทานถูกเนื้อนาบุญด้วย เพราะเป็นเหตุให้ได้บุญมาก เหมือนชาวนาหว่านพืชลงในที่ลุ่ม ก็ย่อมได้ผลผลิตมากกว่าการหว่านข้าวลงในนาดอนหรือลุ่มๆ ดอนๆ
เหมือนดังเรื่องของพระโพธิสัตว์ ที่หลวงพ่อจะนำมาเล่าให้ฟังกันต่อในวันนี้นะจ๊ะ เมื่อวานนี้ ถึงตอนที่พระดาบสโพธิสัตว์ผู้มีอานุภาพดุจท้าวมหาพรหม ได้ตรวจด้วยความเป็นไปของมัณฑัพยกุมารก็ทราบว่า กุมารกำลังประมาทในการดำเนินชีวิต ได้ทำบุญกับพวกพราหมณ์ผู้ไม่มีศีล โดยไม่รู้ว่าเนื้อนาบุญที่แท้จริงเป็นอย่างไร จึงเหาะไปลงท่ามกลางพราหมณ์ ๘๐,๐๐๐ คนที่กำลังบริโภคภัตตาหาร ที่มัณฑัพยกุมารยืนสั่งให้บริวารจัดแจงถวาย
มัณฑัพยกุมารเห็นมาตังคดาบสผู้นุ่งห่มผ้าเปลือกปอเก่าๆ ก็นึกว่าเป็นคนขอทานธรรมดา ยังไม่ทราบว่าบุคคลผู้นี้ คื่อผู้ที่ให้ความเจริญแก่ตนเองและมารดา จึงเกิดความไม่พอใจ ได้ขับไล่พระดาบสออกไปจากบ้าน พร้อมด้วยการกล่าวปรามาสว่า ข้าวปลาอาหารนี้ ตนเองมีศรัทธาจัดไว้สำหรับพวกพราหมณ์ ไม่ได้จัดไว้สำหรับคนที่นุ่งห่มผ้าเก่าปอนๆ อย่างท่าน ท่านมีปกตินุ่งห่มไม่สมควรดุจปีศาจคลุกฝุ่น สวมใส่ผ้าขี้ริ้วที่ได้มาจากกองหยากเยื่อ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบ ท่านเป็นผู้ไม่สมควรแก่ทักษิณาทานของเราเลย
พระโพธิสัตว์ได้กล่าวถ้อยคำที่เยือกเย็น ประกอบด้วยความกรุณาว่า ข้าวน้ำนี้ท่านจัดไว้เพื่อท่านผู้เรืองยศ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมขบเคี้ยวบริโภคและดื่มข้าวน้ำของท่าน ท่านรู้จักข้าพเจ้าว่า เป็นผู้อาศัยโภชนะที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีวิต แม้ถึงจะเป็นคนจัณฑาลก็ขอจงได้ก้อนข้าวบ้าง ธรรมดาว่าทานควรให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ทั้งที่มีคุณธรรมทั้งที่ไม่มีคุณธรรม เหมือนพืชที่เขาปลูกลงในที่ลุ่มก็ดีที่ดอนก็ดี อาศัยปุ๋ยและน้ำย่อมงอกออกผฉันใด ทานที่ชื่อว่าไร้ผลก็ย่อมไม่มีฉันนั้น ทานที่ให้แก่ผู้มีคุณธรรมย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่เขาหว่านลงในเนื้อหน้าที่ดีฉันนั้น คนทั้งหลาบผู้หวังผลย่อมหว่านพืชลงในเนื้อนาดอน นาลุ่มและนาไม่ลุ่มไม่ดอนฉันใด ขอท่านจงให้ทานด้วยศรัทธฉันนั้นเถิด
มัณฑัพยกุมารได้ฟังคำของพระดาบสแล้ว ก็กล่าวโต้ตอบไปว่า เนื้อนาที่จะปลูกพืชในโลกนี้เรารู้แล้ว พราหมณ์เหล่าใดสมบูรณ์ด้วยชาติและมนต์ พรามณ์เหล่านั้นคือเนื้อนาที่ดี มีศีลเป็นที่รักทั้งนั้น
พระดาบสกล่าวสอนด้วยความรักความปรารถนาว่า กิเลสเหล่านี้คือความเมาเพราะชาติ ความดูหมิ่นคนอื่น ความโลภอยากได้ของเขา ความคิดประทุษร้าย ความประมาทลุ่มหลงมัวเมา ทั้งหมดนี้เป็นโทษไม่ใช่คุณ ย่อมมีในเขตเหล่าใด เขตเหล่านั้นไม่ใช่เขตอันดีของผู้มีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ ซึ่งกิเลสที่มีโทษไม่ใช่คุณเหล่านี้ ไม่มีในเขตเหล่าใดเขตเหล่านั้นจัดว่าเป็นเขตมีศีลเป็นที่รักในโลกนี้ บุคคลผู้ไม่มีศีลเหมือนจอมปลวกที่เต็มไปด้วยอสรพิษทานที่บุคคลให้แล้วแก่บุคคลเห็นป่านนี้ย่อมไม่มีผลมาก
เพราะฉะนั้นท่านอย่าสำคัญผู้ไม่ใช่มีศีลเป็นที่รักเหล่านี้ ว่าเป็นบุญเขตอันดี เพราะว่าพราหมณ์ผู้มีชาติและมนต์ไม่ใช่ผู้จะไปสวรรค์ได้ทั้งหมด ส่วนชนเหล่าใดเป็นอริยชนเว้นจากการถือชาติและมานะเป็นต้นได้ อาริยชนเหล่านั้นเป็นเขตอันดีมีศีลเป็นที่รัก ทานที่บุคคลให้แล้วในอริยชนเหล่านั้นมีผลมาก ทั้งอาริยชนเหล่านั้นย่อมเป็นผู้ให้หนทางสวรรค์ได้
มัณฑัพยกุมารได้ฟังคำสั่งสอนเช่นนั้น ด้วยความที่ตัวเอง เป็นผู้มีทิฏิมานะ จึงโกรธเคืองเหมือนงูพิษถูกตีที่หาง ได้ร้องเรียกคนใช้ให้มาขับไล่ว่า ดาบสผู้นี้พูดเพ้อเจ้อมากไปแล้ว พวกเจ้าจงมาช่วยกันโบยตีคนจัณฑาลนี้ แล้วจงลากคอออกไปให้พ้นซุ้มประตูบ้านของเรา
พระดาบสได้ตักเตือนมัณฑัพยกุมารว่า ผู้ใดบริพาษนักบวช ผู้นั้นก็เหมือนขุดขุนเขาด้วยเล็บ เคี้ยวเหล็กด้วยฟัน กลืนลูกไฟลงไปในลำคออย่างนั้น ครั้นกล่าวดังนี้แล้วก็ดำริว่า การที่กุมารนี้สั่งคนให้จับมือและเท้าของเรามีแต่จะประสบทุกข์อย่างเดียว ท่านไม่อยากให้กุมารได้บาปมากไปกว่านี้ จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสน์ จากนั้นก็ไปลงที่ระหว่างถนน
ในขณะนั้น จอมเทพผู้เป็นหัวหน้าเทวดาผู้รักษาเมือง เกิดความไม่พอใจที่มัณฑัพยกุมารจะประทุษร้ายพระดาบสผู้มีอานุภาพ จึงได้ลงมาสั่งสอน ด้วยการบิดคอของมัณฑัพยกุมารทำให้หน้าหันไปข้างหลัง ตาดำก็เลือกขึ้นข้างบน น้ำลายไหลฟูมปาก ตัวก็แข็งทื่อเหมือนถูกหลาวเสียบ เหล่ายักษ์ที่เป็นบริวารก็ทำกับพวกพรามณ์ทั้ง ๘๐,๐๐๐ คนอย่างนั้นเหมือนกัน
พวกบริวารเห็นอาการอันแปลกประหลาดนั้นแล้ว ก็รีบไปบอกพรหมประชาบดี นางรีบรุดมาเห็นอาการของลูกชาย ได้สอบถามความเป็นไปทั้งหมด จากนั้นก็ดำริว่า นี่คงไม่ใช่อานุภาพของผู้อื่น คงจะเป็นบัณฑิตสามีของเรา เพียงแต่ว่าท่านมาตังคบัณฑิตเป็นนักปราชญ์สมบูรณ์ด้วยเมตตาภาวนา ทรมานคนพวกนี้ลำบาก คงไม่มีเจตนาจะทำร้ายถึงตายเป็นแน่ เมื่อนางได้ไต่ถามพวกมานพซึ่งเป็นเพื่อนของบุตรชายว่า สมณะผู้มีปัญญาเสมอด้วยขุนเขาได้เหาะไปทางทิศไหน
พวกมานพได้บอกนางว่า พระฤาษีได้เหาะไปทางอากาศ เปร่งรัศมีกายสว่างไสวดุจพระจันทร์วันเพ็ญ ได้เหาะไปทางทิศบูรพา นางทิฏฐมังคลิกาฟังแล้วก็ตั้งใจจะออกเดินทางไปหาพระดาบส จึงใช้นางทาสีถือเอาน้ำเต้าทองคำกับขันน้ำทองคำ แวดล้อมไปด้วยหมู่ทาสีเดินไปจนถึงสถานที่ที่พระโพธิสัตว์อธิษฐานเหยียบรอยเท้าไว้ จึงเดินตามรอยเท้านั้นไป ส่วนนางจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้กับบุตรชายได้อย่างไร ก็ให้มาติดตามกันต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายกันนะจ๊ะ
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)