ฉบับที่ 105 กรกฎาคม ปี2554

แด่โยมแม่ ด้วยดวงใจแห่งชัยชนะ...

เรื่อง : ร.ลิ้วเฉลิมวงศ์
E-mail : [email protected]

 



 

..หัวใจของคุณอาจซาบซึ้งกับหลายเรื่องที่เข้ามาในชีวิต และสุดท้ายก็ลืมเลือนมันไป
..แต่เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในบรรทัดถัดจากนี้ นอกจากจะนำความซาบซึ้งมาสู่จิตใจคุณแล้ว อาจทำให้คุณจดจำไปชั่วชีวิต

 


      

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

       พระชัยวุทธ ทานวีโร เป็นพระที่บวชในโครงการบวชพระ ๑ แสนรูป ๔๙ วัน ภาคฤดูร้อน พ.ศ.๒๕๕๔ ปัจจุบันรับบุญเป็นพระพี่เลี้ยงช่วยงานในโครงการบวชต่าง ๆ เช่น โครงการบวชอุบาสิกาแก้วและโครงการบวชพระ ๑ แสนรูปเข้าพรรษา ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

       “ว่าไปแล้ว...ชีวิตหลวงพี่ก็เหมือนละคร  ซึ่งหากย้อนนึกถึงโยมแม่ครั้งที่หลวงพี่ยังเด็ก  ท่านต้องตกระกำลำบากจากการเลี้ยงลูกที่เกิดแบบหัวปีท้ายปีถึง ๔ คน พร้อมกับทำนาไปด้วย  ทุกวันโยมแม่จะเอาหลวงพี่ใส่ตะกร้าหน้า ส่วนพี่ชายใส่ตะกร้าหลัง แล้วสอดไม้คานหาบไปท้องนาด้วยกันการที่ต้องเองลูกไปเลี้ยงขณะทำนา  ทำให้บ่อยครั้งที่โยมแม่ต้องร้องไห้  เพราะโดนโยมพ่อตะคอกด่าเนื่องจากไม่ยอมวิ่งไปจับความที่กำลังเข้าไปย่ำข้าวในนาจนเสียหาย เพราะต้องวิ่งมาดูลูกที่กำลังร้องกระจองอแงซึ่งกว่าลูกจะโต  โยมแม่ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส  เพราะต้องหลังขดหลังแข็งตากแดด  ตากฝน  ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาส่งลูกทุกคนให้จบ ป.๖ แต่อนิจจา..เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรก็ไม่ทราบนับวันครอบครัวเราก็จนลงเรื่อย ๆ จนแทบจะอดตายเพราะหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เนื่องจากพอขายข้าวได้ก็ต้องเอาเงินไปจ่ายเป็นค่าเช่านาเกือบหมด จนเงินที่จะซื้อน้ำปลากินสักขวดยังไม่มีเลยตอนหลังโยมพ่อโยมแม่เลยเลิกทำนา แล้วพากันระหกระเหินเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ  พอมาถึงก็ไม่รู้จะทำอะไร เนื่องจากโยมแม่อายุมากถึง ๕๒ ปีแล้ว ซึ่งแทนที่จะได้พัก  ก็ต้องหันมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยอาชีพคุ้ยของจากกองขยะที่สกปรก ๆ เอามาขาย เช่น กระป๋อง ขวด เศษเหล้ก ตั้งแต่ ๙ โมงเช้า จนถึงบ่าย ๓ โมงทุกวันส่วนโยมพ่อก็ทำงานเป็นยาม  ต้องอดหลับอดนอนด้วยความลำบากในวัยชราของท่านทั้ง ๒ นี้เอง หลวงพี่จึงเกิดจิตสำนึกขึ้นมาว่า เราน่าจะเป็นลูกที่เป็นที่พึ่งให้ท่านได้สักคน จึงวางแผนกับน้องชายคนเล็กว่าจะไปเป็นแรงงานต่างด้าวที่ต่างประเทศ  แต่ก่อนไปเราก็ต้องไปกู้เงินเขามาจ่ายค่านายหน้าและค่าเครื่องบิน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ครอบครัวเรามีหนี้สินท่วมท้นขึ้นไปอีกพอไปต่างประเทศแล้วนึกว่าจะดี แต่ที่ไหนได้น้องชายที่ไปสิงค์โปร์ได้หายสาบสูญไป โดยไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรมานานกว่า ๖ ปีแล้วจนทำให้โยมแม่ทุกข์ใจเหมือนตายทั้งเป็น ส่วนหลวงพี่ขณะที่อยู่ที่ประเทศไต้หวัน  แรก ๆ ก็ยังติดต่อโยมแม่บ้าง  จนกระทั่งถึงช่วงที่หลวงพี่เจอปัญหารุมเร้าหลายอย่าง  จนเกิดภาวะเครียดและก็เหงาว้าเหว่มาก  เพื่อนก็หาทางออ กให้  โดยแนะวิธีคลายเหงาด้วยการให้หลวงพี่ใช้สารเสพติด พวกยาบ้า ยาไอช์ ดื่มเหล้า และสูบบุหรี่วันละ ๒ ซอง ทำให้เงินทองที่หามาได้หมดไปกับสิ่งพวกนี้และที่แย่ที่สุด หลวงพี่ขาดการติดต่อกับทางบ้านไปเลย จนโยมแม่กระวนกระวายใจมากเพราะกลัวหลวงพี่จะหายสาบสูญไปเหมือนน้องชาย ท่านจึงพยายามโทร.หา แต่โทรเท่าไรหลวงพี่ก็ไม่รับ  ท่านจึงได้แต่ฝากบอกกับเพื่อนหลวงพี่ว่าให้โทร.กลับ  แต่หลวงพี่ก็ทำให้ท่านรอคอยทั้งน้ำตา  เพราะละอายใจและไม่อยากให้ท่านรู้ว่า  หลวงพี่ตกอยู่ในสภาพที่แย่แบบนี้ไปแล้ว แต่ความลับไม่มีในโลก โยมแม่แอบรู้พฤติกรรมทั้งหมดของหลวงพี่จากเพื่อนที่ไต้หวันพอท่านรู้..ท่านก็เสียใจมาก  ร้องไห้ใหญ่เลย เพราะในจำนวนลูกทุกคน ท่านเหลือหลวงพี่เป็นความหวังสุดท้าย  ท่านจึงเสียใจจนกินไม่ค่อยได้  นอนไม่ค่อยหลับเหมือนตกนรกทั้งเป็น  และเครียดจนวัน ๆ ก็คิดแต่ว่า ทำไมลูกถึงเป็นอย่างนี้..คิดวนไปวนมาตลอดเวลา แม้ในขณะที่ท่านตากแดดเหงื่อ โทรมกายคุ้ยขยะเก็บของเก่าไปขาย  น้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว  บางทีขี่ซางเล้งขนของเก่าไปขาย  แก้มทั้งสองข้างก็อาบชุ่มไปด้วยน้ำตา  แต่ยังโชคดี  ช่วงที่โยมแม่ทุกข์ใจเรื่องหลวงพี่  เป็นช่วงที่ท่านเข้าวัดพระธรรมกายแล้ว  และพอท่านทำบุญอะไรก็จะอธิษฐานตลอดเวลาเลยว่า ขอให้หลวงพี่ได้มาบวชอยู่กับหลวงพ่อท่านได้อธิษฐานอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งประจวบเหมาะกับที่ทางไต้หวันหมดสัญญาว่าจ้างคือ ครบ ๖ ปีแล้ว หลวงพี่จึงบินกลับเมืองไทย ครั้งแรกที่หลวงพี่เจอโยมแม่  ท่านดีใจจนแทบจะกระโดดแต่ขณะที่ท่านดีใจ  หลวงพี่กับเสียใจเพราะหลวงพี่กลับมาในสภาพที่ไม่เหลืออะไรเลย  จากที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะเป็นที่พึ่งให้ท่าน  แต่กลับตกอยู่ในสภาพอย่างนี้  ซึ่งตอนนั้นโยมแม่ท่านไม่ปริปากด่าว่าอะไรหลวงพี่เลยอีกทั้งไม่ทวงถามถึงเรื่องเงินหรือเรียกร้องกดดันอะไรทั้งสิ้น  เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ว่า “ แม่ลำบากมาทั้งชีวิต  ชาตินี้..แม่ขอลูกแค่ ๒ อย่างได้ไหม ? ”

 



       

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         ...พอได้ยินโยมแม่ขอดังนั้น หลวงพี่ก็อึ้งเลย แต่ก็ยังลีลาไม่ยอมตอบตกลงกับท่านในทันที จากนั้นหลวงพี่ก็กลับมาคิดทบทวนจนได้ข้อสรุปว่า ในเมื่อลูกอย่างหลวงพี่ให้อะไรกับโยมแม่ไม่ได้  ก็ควรจะทำ ๒ อย่างนี้ให้ท่าน  พอคิดดังนั้นก็ยกโทรศัพท์โทร.ไปบอกท่านว่า  หลวงพี่จะบวชให้  พอโยมแม่ได้ยินดังนั้นท่านดีใจมากเลย  พอท่านวางสายจากหลวงพี่ท่านก็แอบไปร้องไห้ใหญ่เลย  ร้องอย่างกับลูกตาย  เพราะปลื้มที่หลวงพี่ยอมบวชให้จากนั้นท่านก็เฝ้ารอยคอยเร่งวันเร่งคืนภาวนาให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ และเมื่อหลวงพี่กลับจากการปฏิบัติธรรมที่ภูเรือ ก็เข้าโครงการบวชแสนรูป ๔๙ วัน ภาคฤดูร้อนทันที

           "วันที่หลวงพี่บวช...สังเกตเห็นว่าเป็นวันที่โยมแม่ปลื้มมากที่สุดในโลกในขณะที่กล่าวคำขอขมา โยมแม่กัมหน้าและพยายามกลั้นน้ำตาเพื่อไม่ให้มันไหลออกมา  แต่พอหลวงพี่ลุกไปเท่านั้น ไม่ว่าท่านพยายามจะแสดงความเข้มแข็งต่อหน้าหลวงพี่มากขนาดไหน  น้ำตาท่านก็ไหลออกมาอย่งพรั่งพรู จนหลวงพี่รู้สึกว่า

         “พอหลวงพี่หลับตาที่ไร ภาพของโยมแม่ที่กำลังเก็บขยะขายด้วยความยากลำบาก แล้วเอาเงินมาทำบุญมันก็ผุดขึ้นมาแบบไม่หยุด จนหลวงพี่ได้คำตอบว่าท่านลำบากหาเงินมาทำบุญ เพราะอยากได้บุญมากที่สุดแล้วทำไมลูกอย่างเราไม่ทำให้ท่านได้บุญไปให้เยอะที่สุดล่ะ”

          ภาพแห่งความยากลำบากที่ต้องแบ่งเงินมาเลี้ยงดูลูกจนตัวเองอดมื้อกินมื้อ รวมถึงภาพที่หลวงพี่เคยทำผิดพลาด ทำให้ท่านเสียใจมาในอดีต มันถูกลบออกจากใจของโยมแม่อย่างหมดจดในวันนั้นแล้วแทนด้วยคำพูดจากโยมแม่ว่า.. “แม่ปลื้มและดีใจที่สุด..ไม่คิดไม่ฝันว่า ชีวิตแม่จะมีวันนี้..”

 

 

          “การบวชทำให้หลวงพี่ได้เรียนรู้อะไรมากมายอย่างที่ไม่คาดคิด ได้เข้าใจเรื่องบุญบาปและกฎแห่งกรรม ได้ฝึกความมีวินัย เคารพ อดทนและที่สำคัญยังทำให้หลวงพี่พบความสุขที่แท้จริงที่หาไม่ได้จากที่ไหน เพราะการนั่งสมาธิทำให้ใจหลวงพี่สงบมากอย่างที่ไม่เคยเป็น ไม่กระวนกระวายร้อนรนเหมือนอยู่ทางโลก คือ เมื่อปล่อยใจว่างๆ โล่งๆ ตัวก็เบา ใจก็เบา แล้วหลวงพี่ก็ค่อยๆ นึกถึงดวงแก้ว บางทีก็นึกสลับไปสลับมากับองค์พระ บางทีก็กลายเป็นแสงสว่าง มีความสุขเหลือเกิน อีกทั้งการมาบวชที่นี่ ได้ทำให้หลวงพี่เข้าใจวัดพระธรรมกาย และก็ได้คำตอบที่เคยคาใจว่า ทำไมโยมแม่ถึงได้ชอบมาทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ค่อยจะมีกิน หนำซ้ำเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ของท่านก็ได้มาอย่างยากลำบากเหลือเกิน แทนที่ท่านจะเก็บเป็นทุนชีวิต แต่กลับเอามาทำบุญกับที่นี่ ซึ่งตอนนี้หลวงพี่ได้คำตอบชัดเจนแล้วเพราะท่านคิดว่า ในเมื่อชาตินี้ท่านเกิดมาจนและแสนลำบาก ท่านต้องเอาบุญนี้ไปเปลี่ยนผังชีวิตของท่าน เพื่อไม่ให้ท่านมาเจอความจนข้นแค้นอย่างนี้อีก ซึ่งก็นับว่าเป็นโยมแม่ที่มีวิสัยทัศน์มาก คือ ท่านมีเงินน้อย แต่สามารถเอาเงินที่น้อยๆ มาสร้างประโยชน์ที่เยอะๆ ได้ คือ ทำบุญไม่กี่บาท แต่ได้บุญบวชพระเป็นแสนรูปทั้งแผ่นดิน หรือด้วยเงินไม่กี่บาทของท่านสามารถสร้างเจดีย์ที่อยู่นานเป็นพันๆ ปีได้และท่านบอกว่า ที่สำคัญที่สุด วัดนี้..เป็นวัดที่สามารถให้ชีวิตใหม่กับลูกชายของท่านได้

 


 

          “ต่อมาพอใกล้จบโครงการ เป็นช่วยที่หลวงพี่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือไม่ และช่วงที่กำลังลังเลอยู่นั่นเอง พอหลวงพี่หลับตาที่ไร ภาพของโยมแม่ที่กำลังเก็บขยะด้วยความยากลำบากแล้วเอาเงินมาทำบุญ มันก็ผุดขึ้นมา ผุดมาแบบไม่หยุด จนหลวงพี่ได้คำตอบว่า ท่านลำบากหาเงินมาทำบุญ เพราะอยากได้บุญมากที่สุด แล้วทำไมลูกอย่างเราไม่ทำให้ท่านได้บุญไปให้เยอะที่สุดล่ะ พอคิดอย่างนั้น ก็ตัดสินใจบวชต่ออีกทั้งพอโทร.ไปหาโยมแม่ เพื่อเอาบุญไปฝากท่านทีไร ท่านก็จะปล่อยโฮร้องไห้ในโทรศัพท์เพราะปลื้มจากการบวชของหลวงพี่ทุกที ด้วยเหตุนี้เอง หากหลวงพี่ตัดสินใจลาสิกขาออกไปตอนนี้ ก็จะเป็นการทำร้ายจิตใจของโยมแม่มากเกินไป และที่สำคัญหลวงพี่ยังไม่อยากทำให้ความปลื้มของโยมแม่หยุดชะงัก

          “เมื่อนึกดูแล้ว..ตลอดชีวิตโยมแม่ช่างลำบากเสียเหลือเกิน ในชีวิตไม่เคยมีความภาคภูมิใจและความสมหวังอะไรเลย และแม้ท่านจะทำอาชีพสุจริต แต่ลึกๆ ในใจท่านก็ไม่เคยจะกล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะวันๆ ท่านต้องไปคุ้ยกองขยะที่สกปรกๆ เก็บขยะที่เขาทิ้งแล้วเอามาขาย แต่มาวันนี้..โยมแม่ของหลวงพี่ท่านไม่อายใคร ท่านมีความภูมิใจมากที่สุดในโลกมีความสุขที่สุดในโลก เพราะมีลูกชายบวชให้ จนท่านสามารถเดินยืดอกและองอาจ แม้ท่านจะเป็นเพียงคนเก็บขยะ แต่ท่านก็สมปรารถนากว่าแม่ของหลายๆ คนบนโลกใบนี้ เพราะท่านพูดอวดใครๆ ได้ว่า “ลูกชายฉันบวชให้..ลูกชายฉันบวชให้..ฉันมีพระลูกชายที่อยู่ช่วยงานหลวงพ่อที่วัดพระธรรมกาย

          “สุดท้ายนี้..หลวงพี่อยากจะฝากบอกลูกผู้ชายทั้งโลกว่า โปรดให้โอกาสกับลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่เราเรียกท่านว่าแม่โดยการบวชเถิด เพราะแม่เป็นผู้หญิงที่ให้เราได้ทั้งชีวิต จงทำให้ท่านปลื้มใจและได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกขึ้นสวรรค์ เพราะเราก็ไม่รู้ว่า ท่านจะเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้กับเราไปอีกนานสักเท่าไร..”

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล