ฉบับที่ 47 กันยายน ปี 2549

ยามบ่าย

เรื่อง : โค้ก อลงกรณ์ (www.banyaibook.com)

 


 

 

 

      ยามบ่าย บ่ายวันหนึ่งขณะที่เดินตามหลวงพ่อไปตามถนนภายในวัด หลวงพ่อหันไปเห็นลูกไก่ตัวน้อย ข้างทางมันกำลังสาละวนกับการใช้ปากเล็กๆ จิกทุกสี่งที่อยู่ข้างหน้า ท่าทางช่างเหมือนเด็กน้อยที่สนุกเพลิดเพลิน กับการเรียนรู้สี่งแปลกใหม่ และเรี่มหัดดำเนินชีวิตในวัด  "ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แม่ไปไหนล่ะ"

ลูกไก่ตัวนั้นรีบเงยหน้าหันมาทางต้นเสียง แล้วซอยเท้าถี่ ๆ เข้าไปหาแม่ไก่ที่ยืนเฝ้าระวังภัยดูลูกอยู่หลังพุ่มไม้เมื่อเดินตามลูกไก่เข้าไปดูใกล้ ๆ "เป็นไงบ้างล่ะ...แม่ลูกอ่อน" แล้วหลวงพ่อก็ทักทายแม่ไก่บ้างแม่ไก่หันหน้ามองมาทางหลวงพ่อ มองนี่ง ๆ  นี่ถ้าแม่ไก่พูดได้ การสนทนาคงจะสนุกกว่านี้

................................

    ไก่ที่มาอาศัยอยู่ในวัดต่างดำเนินชีวิตเพื่อการอยู่รอด ภายในนี้ปลอดภัยก็ตรงที่ไม่มีใครรังแก มุ่งเอา ชีวิตจะมีก็เพียงเด็กน้อยลูกหลาน สาธุชนที่ติดตามผู้ใหญ่มาวัด มักวี่งเล่นไล่จับไก่แจ้หลายพันธุ์หลากสี เชิงหยอกล้อให้เป็นที่สนุก สนานเท่านั้น บ่อยครั้งที่เห็นบรรดาลูกไก่เดินตามหลังแม่ หลวงพ่อมักบอกกับแม่ไก่ว่า เลี้ยงลูกให้รอดปลอดภัย หมดทุกตัวนะ

      ผมจำได้ว่าแม่ไก่ตัวนี้ เคยออกไข่ พอฟักออกมาเป็นตัว ก็พาลูก ๆ ออกไปเดินคุ้ยเขี่ยหากิน เมื่อเวลาผ่านไป สังเกตเห็นลูกไก่หายไปจากฝูงทีละตัวสองตัว ทราบว่าป่วยตายบ้าง ถูกสัตว์อื่นรังแกก็มี ถูกสัตว์เลื้อยคลานคาบเอาไปกินก็บ่อย สุดท้ายเหลือรอดเพียงไม่กี่ตัว

      การดำเนินชีวิตให้อยู่รอดไม่ใช่เรื่องง่าย การจะให้อยู่อย่างปลอดภัยยี่งเป็นเรื่องยากมากขึ้น และยี่งยากมากขึ้นไปอีก หากจะให้รอดปลอดภัยจากอบาย หรือยี่งไปกว่านั้นให้รอดหลุดพ้นจาก วงเวียนสังสารวัฏ ความพิเศษหนึ่งที่ทำให้คนเราต่างจากไก่และสัตว์ทั่ว ๆ ไป คือเรารู้ว่าชีวิตเรานั้นไม่ได้ยืนยาว เวลาในชีวิตมีจำกัด เผลอแปบเดียวก็หมดวันหมดคืนแล้วก็หมดชีวิตและเราก็รู้ว่าความสมบูรณ์แข็งแรงก็มีจำกัดอยู่แค่ช่วงเดียว เราจึงไม่ควรประมาท ปล่อยให้เวลาผ่านไป โดยไม่เร่งสร้างบุญกุศลใส่ตัว หรือแสวงหาแก่นแท้ที่เป็นที่พึ่งของชีวิต

................................

    ยามบ่ายเมื่อหลายวันก่อน ระหว่างทางที่เดินหลวงพ่อหันไปเห็นต้นปรงที่ขึ้นเป็นกลุ่มอยู่ชายน้ำก่อนนี้เห็นใบสีเขียวแล้วรู้สึกสดชื่น คราวนี้ใบสีเขียวเปลี่ยนเป็นใบเหี่ยว ๆ สีน้ำตาลทั้งกอเห็นแล้วปลง เช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้ก็ใกล้หมดอายุขัยต่างก็ทยอยยืนต้นตายทีละต้น ซากไม้ใหญ่ที่อยู่คู่วัดมานานต้นนี้ มีเถาวัลย์มาอาศัยเลื้อยพันเกาะอยู่เช่นเดียวกับกาฝากและนกที่มาอยู่อาศัยทำรัง ส่วนต้นโน้นเมื่อถูกตัดออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะนำไปแปรรูป ทำเป็นโต๊ะหมู่บูชาไว้ใช้ประโยชน์ ชีวิตที่จากไป หากยังประโยชน์ให้ชีวิตอื่นที่ดำรงอยู่ ย่อมเป็นการจากที่งดงามและมีคุณค่า

................................

       แล้วบ่ายวันนั้นผมก็พูดบางอย่างกับตัวเองในใจไม่วันใดก็วันหนึ่งชีวิตทุกชีวิตก็ต้องจากไปถ้าในชีวิตหนึ่งของคนเรา เรี่มต้นจากลืมตาตื่นในตอนเช้ามืด ดำเนินชีวิตเรื่อยไปตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น และสุดท้ายหลับตาลงในเวลาย่ำค่ำ

    เวลานี้ของผมเป็นยามบ่าย ก่อนที่ชีวิตจะเข้าสู่ช่วงกลางคืน ก่อนที่แสงสีทองสุดท้ายจะลับขอบฟ้า ผมบอกกับตัวเองว่าเราไม่ควรปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดี ที่ยังมีความแข็งแรงเช่นนี้ผ่านไป

     แม้เวลาในชีวิตของคนเราจะมีจำกัด แต่การสร้างคุณค่าแก่ชีวิตสามารถสร้างได้ไม่จำกัดเวลาลูกไก่ตัวนั้นซอยเท้าถี่ ๆ อีกครั้ง เพื่อวี่งไล่ตามแม่ไก่ที่ไปยืนรออยู่ข้างหน้า แม้ว่าไก่สามารถพูดได้ ผมก็ไม่สนใจแล้วว่าแม่ลูกคู่นี้จะพูดอะไรออกมา เพราะว่าตอนนี้หลวงพ่อเดินนำหน้าไปไกลถึงตรงโน้นแล้ว ผมคงต้องรีบก้าวเท้าให้ยาวขึ้น เร่งความเร็วเพี่มขึ้นอีก เพื่อเดินตามหลวงพ่อให้ทัน

.............................................

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล