ฉบับที่ 48 ตุลาคม ปี 2549

๖ ปีกับการพิสูจน์ความจริง คุณนวลศรี อ่วมพินิจ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

อะไรที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ

เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์e -mail : [email protected] ภาพ : เจริญ เพ็ชรกิจ

 

 

 

    ไปวัดนี้แล้วรวย..ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แถมพระที่นี่มีแต่พวกมีการศึกษา แต่บวชแล้วไม่ยอมสึก ไม่รู้จักเลี้ยงดูพ่อแม่ ไม่ยอมเอาความรู้ ไปพัฒนาบ้านเมือง..ใครมาวัดนี้ก็ต้องทำบุญจนหมดตัว!!!

       ตัวเอง..เคยเป็นนักศึกษาในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา เลยทำให้ฝังใจกลัวต่อเหตุการณ์ครั้งนั้นมากๆ พอมารู้ว่าวัดพระธรรมกาย มีนิสิตนักศึกษามากันมากขนาดนี้ เลยทำให้ปักใจเชื่อว่า วัดพระธรรมกายต้องเป็นคอมมิวนิสต์แน่ๆ คิดว่าวัดซ่องสุมนักศึกษาล้างสมอง เพื่อทำอะไรกันสักอย่าง ส่วนเพื่อนที่ชอบมาชวนเราให้ไปวัดนี้ ก็พูดแต่ว่า ไปวัดนี้แล้วรวย..ไปแล้วรวย ยิ่งฟัง..ก็ยิ่งแอนตี้วัด เพราะดูไม่มีเหตุผล ที่จะเป็นไปได้ หนำซ้ำมีแต่คนพูดว่า ใครมาวัดนี้ ก็ต้องทำบุญจนหมดตัว...

    ด้วยความที่แอนตี้วัดมากๆ ทำให้ไม่เคยคิดจะมาวัดนี้เลย แม้ใครจะชวนขนาดไหนก็ไม่ไป เด็ดขาด คิดอย่างนี้จนกระทั่งถึงช่วงที่ เพื่อนของลูกสาวที่ทำวิทยานิพนธ์ ปริญญาโทร่วมกัน ได้ไปบวชธรรมทายาทช่วง Summer ที่วัดนี้ พอบวชแล้วก็ไม่ยอมสึก บอกว่าจะบวชตลอดชีวิต ลูกสาวจึงมาวัด เพื่อมาตามให้เพื่อนสึกออก ไปเรียนปริญญาโทให้จบ พอมาตามหลายครั้ง พระเพื่อนรูปนี้ ก็ใช้เหตุผลต่างๆ นานา ชวนจนลูกสาวเรา เข้าคอร์สมานั่งสมาธิที่วัดนี้ ด้วยความเป็นแม่ ทำให้เราเป็นห่วงลูกมาก.. กลัวจะถูกหลอกไปล้างสมอง และที่น่ากลัวมากไปกว่านั้น คือ..ช่วงนั้นวัดโดนโจมตี อย่างหนักจากสื่อทุกชนิด แล้วเราก็เชื่อตามข่าวด้วย ด้วยเหตุนี้จึงบึ่งรถเข้าวัดมาตามลูก และก็มาหาพระเพื่อนของลูก เพื่อไปบอกให้ท่านสึกออกมา โดยคิดว่าท่านคงโดนวัดล้างสมองไปแล้ว เมื่อเจอท่านก็ถามท่านว่า ตัดสินใจแบบนี้ ไม่ห่วงพ่อแม่ที่บ้าน หรือ? ใครจะดูแลพ่อแม่? ท่านก็ตอบกลับว่า..

        "ก็เพราะเป็นห่วงพ่อแม่ ทำให้ต้องตัดสินใจแบบนี้ เพราะหากสึกออกไปดำเนินชีวิตแบบ ชาวโลก ก็ต้องไปทำงาน แต่งงาน เลี้ยงลูก จนไม่มีเวลามาดูแลพ่อแม่อยู่ดี สู้อยู่อย่างนี้ บวชเอาบุญให้ท่านมากๆ เป็นลูกที่สามารถเป็นที่พึ่งทางใจ ให้ท่านได้จริงๆ สักคน เมื่อบวชแล้ว ก็มีโอกาสชวนพ่อแม่มาวัด ให้ท่านมาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และที่สำคัญการทำอย่างนี้เป็นการช่วยปิดอบายภูมิให้พ่อแม่ ทำให้ท่านไม่ไปนรกตามที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ท่านมีชีวิตในชาติหน้า ที่ดีขึ้นกว่านี้.. พอเราฟังท่านตอบแบบนี้ ก็ได้แต่เงียบ เพราะรู้สึกว่าถูกของท่าน แต่ก็ไม่ละความพยายาม คือมาหาท่านที่วัดถี่มาก เพื่อมาชวนให้ท่านสึกอีก โดยมีคำถาม ๑๐๘ มาถามท่านได้ทุกครั้ง เช่นว่า ไม่เสียดายหรือที่เรียนมาสูงๆ เก่งก็เก่ง ...ฉลาดก็ฉลาด แทนที่จะเอาความรู้ความสามารถไปพัฒนาประเทศชาติ กลับมาบวชแบบนี้..? ท่านก็ตอบเราว่า

       "ผู้ที่มาบวชเป็นพระ ไม่ใช่เป็นผู้ที่ไม่มีทางไป ไม่มีอาชีพหรือมีปัญหาแล้วมาบวช ผู้ที่มาบวชควรจะมีความรู้ความสามารถ และเอาความรู้ความสามารถมาพัฒนา ให้ศาสนาเจริญ มาเป็นครูสอนศีลธรรม ชี้นำหนทางพ้นทุกข์ให้กับชาวโลก โดยนำความรู้ในทางธรรมมาสอนมนุษย์ เพื่อพัฒนาไม่ให้สภาพจิตใจมนุษย์ตกต่ำ และก่อปัญหาสังคมตามมาอีกมากมาย..." พอเราฟังท่าน..ก็รู้สึกจริงของท่านอีก แต่ยังไงก็ยังยืนกรานที่จะแอนตี้วัดนี้อยู่ดี แม้เรามาวัดบ่อยๆ จนเห็นและประจักษ์ด้วยตัวเองว่า ที่เขาลงข่าวด่าวัดกันโครมๆ ไม่เห็นจริงสักเรื่อง แต่ยังไงโดยส่วนตัวก็ยังไม่ศรัทธาหลวงพ่อ ยังไม่ศรัทธาวัดอยู่ดี ทั้งๆ ที่ได้เห็นกับตาตัวเองว่า พระที่นี่ งามสง่า สงบ สำรวม เรียบร้อย เคร่งครัดในธรรมะปฏิบัติ มีความรู้มีการศึกษากันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น.. พระบางรูปจบดอกเตอร์ ก็มาบวชอุทิศชีวิตกัน หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่อาสาสมัคร มาช่วยงานต่างๆ ของวัด ทำให้เราแปลกใจ ตั้งคำถามในใจขึ้นว่า..ที่นี่สอนเด็กวัยนี้กันยังไง ทำไมพวกเขาไม่ไปเที่ยวดิสโก้เทค ไม่ไปเที่ยวห้าง ไม่ไปมีแฟน แต่กลับมีจิตใจสูงส่ง เสียสละตัวเอง มาช่วยงานพระพุทธศาสนากันได้ขนาดนี้...

                       แม้ความแอนตี้วัดยังมีในใจมากอยู่ก็จริง แต่ก็ยอมมาวัดนี้ไม่ขาดเลยหลายปีติดต่อกัน เพราะในช่วงนั้นเราได้เจอวิกฤติหนักในชีวิต เมื่อได้มาคุยกับพระเพื่อนของลูกรูปนี้ทีไร ก็รู้สึกสบายใจ ได้แนวทางในการจัดการ กับปัญหากลับไปทุกที และที่สำคัญเราสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันของท่านมากๆ

                       ..ยอมรับว่าช่วงนั้นทุกข์มาก เพราะเราตกอยู่ในสภาวะล้มละลาย มีหนี้สินท่วมตัวหลายสิบล้าน มีคนมาตามทวงหนี้ไม่เว้นวรรคเลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ลูกๆ ที่น่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้เราได้ กลับเอาแต่ทะเลาะกัน ตีกัน จนบ้านร้อนเป็นไฟ และเอาแต่ใช้ของฟุ่มเฟือยราคาแพง หนีเที่ยว ไม่เรียน ทั้งๆ ที่แม่ก็ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ขนาดนี้ ช่วงนั้นเราได้แต่ร้องไห้น้ำตาตก เครียด ดื่มเหล้าหนักเกือบทุกวัน เพื่อให้ลืมทุกข์ พระเพื่อนของลูกได้แนะนำ ชวนเราไปนั่งสมาธิ แล้วให้พาลูกๆ มาบวชอบรมธรรมทายาทให้หมดทุกคน ซึ่งลูกๆ ก็ไม่เต็มใจ จนต้องใช้วิธีบังคับ โดยยื่นคำขาดว่าให้บวชให้แม่ ถ้าไม่บวช แม่จะไม่กลับมาบ้านอีกเลย ผลสุดท้ายก็ยอมมาอบรมที่วัดกันหมด อบรมเป็นเดือนๆ หลังจากอบรมเสร็จ ลูกๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คือดีขึ้นอย่างแตกต่าง ไม่ทะเลาะกัน ไม่ตีกัน เข้าใจ ให้อภัย มีน้ำใจต่อกันขึ้นมา"

 

 

 

     แม้ตอนนั้นสภาพครอบครัว เริ่มดีขึ้นจากการมาวัดแล้ว แต่สภาพการเงินก็ยังมีปัญหาอยู่ แต่เราก็ได้ปวารณาตัวทำบุญใหญ่ที่สุดในชีวิตครั้งแรกคือ ๑ ล้านบาท ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ว่าจะไปเอาเงินมาจากทางไหน แต่อยู่ๆ ก็มีเหตุอัศจรรย์ มีคนทยอยเอาค่าเช่า ค่าโน่น ค่านี่ มาให้เป็นจำนวนมากจนสามารถทำบุญได้ถึง ๑ ล้านบาทจริงๆ จากการตัดสินใจทำบุญในครั้งนั้นเอง สถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตครอบครัวกลับพลิกฟื้นขึ้นหมดเลย คือความเชื่อมั่นในชีวิตได้กลับคืนมา เห็นช่องทางในการทำมาหากิน ยอมลงทุนทำธุรกิจอีก จนประสบความสำเร็จมีเงินใช้หนี้ และมีเงินทำบุญเพิ่มขึ้นอีกทับทวี จากจุดเปลี่ยนชีวิตตรงนี้เอง ทำให้มานึกย้อนถึงคำพูดที่เพื่อนเคยพูดชวนให้เราเข้าวัดนี้ ด้วยคำพูดที่ว่า "ไปวัดนี้แล้วรวย" เลยทำให้รู้สึกว่า เขาพูดถูกจริงๆ เพราะฉะนั้นคำว่าทำบุญจนหมดตัว ไม่จริงเลย เพราะเราเริ่มจากการ ติดลบสุดๆ และเมื่อยิ่งทำบุญ กลับยิ่งมีทรัพย์ ยิ่งมีทางมาแห่งเงินทองจนเหลือเชื่อ เหมือนสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านโปรดมหาทุคตะคนกินเดนให้ทำบุญ ผลสุดท้ายทำให้มหาทุคตะรวยเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาอย่างอัศจรรย์..

     เราเข้ามาพิสูจน์วัดนี้นานถึง ๖ ปี กว่าจะยอมเข้าใจวัด ซึ่งทุกวันนี้รวมเวลาเข้าวัดนานเป็น ๑๐ ปีแล้ว ทำให้รู้สึกเสียดายเวลาที่สูญเสียไปกับการแอนตี้วัดที่นานขนาดนั้น..

      สุดท้ายนี้สิ่งที่อยากจะพูดที่สุด ก็คือ ครอบครัวเราทุกคนต้องกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และพระอาจารย์ของวัดนี้เป็นอย่างสูง ที่ทำให้ครอบครัวเราพ้นจากสภาพบ้านแตก ลูกทะเลาะกัน ตีกัน มากลายเป็นครอบครัว ที่หันหน้ากลับมาเข้าใจกัน เอื้ออาทรต่อกันด้วยความรัก และเปลี่ยนเราจากคนล้มละลายหนี้ท่วมตัว กลายเป็นคนมีสภาพคล่องทาง การเงินที่ดีขึ้นอย่างแตกต่าง อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนเรา จากคนที่ดื่มเหล้าเมาเพื่อดับทุกข์ มาเลิกเหล้า และพบความสุขที่แท้จริงด้วยตัวเอง และที่สำคัญ วัดนี้ได้เปลี่ยนจากน้ำตา แห่งความทุกข์ระทมของเรา ให้กลายเป็นน้ำตาแห่งความปีติผาสุก..

       ในเมื่อชีวิตเราเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะทำให้เราไม่ยอมเปลี่ยนใจ ในเมื่อวัดนี้ดีจริงๆ เราจึงขอเชิญคุณมาพิสูจน์...

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล