ฉบับที่ 107 กันยายน ปี2554

หลวงพ่อตอบปัญหา ลมบรรลัยกัลป์

หลวงพ่อตอบปัญหา
โดย : พระภาวนาวิริยคุณ

 




 

 

      เรื่องลมสุริยะหรือพายุสุริยะที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าเป็นลมพายุพัดพุ่งออกมาจาก ดวงอาทิตย์นั้น ถ้าใครเคยอ่านจากคัมภีร์วิสุทธิมรรคมาบ้างแล้ว จะรู้ว่าข้อมูลวิทยาศาสตร์นี้เป็นเรื่องเดียวกับ "ลมบรรลัยกัลป์" และเป็นการช่วยยืนยันความรู้อันบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนาที่ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าเป็นพัน ๆ ปีแล้ว

      คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นคัมภีร์ฝึกสมาธิเล่มสำคัญของพระพุทธศาสนาและของโลกที่แต่งขึ้นในช่วงประมาณ พ.ศ. ๙๐๐ โดยพระพุทธโฆษาจารย์ พระเถระผู้ใหญ่ชาวอินเดีย ผู้มีความแตกฉาน ในพระไตรปิฎก และมีความรู้ด้านอักษรศาสตร์ยอดเยี่ยม

       เนื่องจากในช่วงเวลาที่ท่านบวชนั้น พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียตกต่ำลงอย่างมาก ถึงขนาดพระไตรปิฎกก็สูญหายไปจนเกือบหมด พระอาจารย์ของท่านจึงสั่งให้ท่านไปคัดลอก พระไตรปิฎกที่เกาะสิงหล ประเทศลังกา เพื่อนำกลับคืนมาสู่ประเทศอินเดีย เพราะพระพุทธศาสนา ที่นั่นยังเข้มแข็งดีอยู่

     ท่านก็เดินทางไปตามคำสั่งของครูบาอาจารย์ เมื่อไปถึงท่านก็ไปกราบขออนุญาต สมเด็จพระสังฆราชของลังกาในยุคนั้นทันที แต่เนื่องจากชาวพุทธทั้งประเทศลังกามีความรักความ หวงแหนในพระไตรปิฎกอย่างมากและเกรงว่าจะชำรุดเสียหาย สมเด็จพระสังฆราชของลังกาจึงไม่ได้อนุญาตให้ พระพุทธโฆษาจารย์คัดลอกพระไตรปิฎกได้ทันที ท่านทำการทดสอบภูมิความรู้ทางศาสนา และความแม่นยำในการแปลภาษาลังกา ไปเป็นภาษาอินเดียของพระพุทธโฆษาจารย์ก่อน ด้วยการให้เขียนวิทยานิพนธ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา

" มนุษย์เป็นคนกำหนดภัยพิบัติของธรรมชาติไม่ใช่ธรรมชาติเป็นคนกำหนดชะตาของธรรมชาติ "

   ท่านจึงเขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค แบ่งออกเป็น ๓ ภาค

   ภาคที่ ๑ ศีลนิเทศ ภาคที่ ๒ สมาธินิเทศ ภาคที่ ๓ ปัญญานิเทศ

      เนื้อหาที่อยู่ในระหว่างภาคที่หนึ่งกับภาคที่สองนี้ ท่านยังเขียน "ธุดงคนิเทศ" คั่นไว้ด้วย ซึ่งต่อมาคัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้เอง ได้ทำให้เกิดคำพูดขึ้นว่า ในพระพุทธศาสนามีวิธีฝึกสมาธิ ๔๐ วิธี ทั้งนี้ก็เพราะท่านได้รวบรวมวิธีฝึกสมาธิ ทั้งที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในพระไตรปิฎก และพบ เห็นด้วยตัวของท่านเองตามวัดวาอารามต่าง ๆ นำมาร้อยกรองมาเรียบเรียงจนกลายเป็นคัมภีร์ฝึกสมาธิเล่มสำคัญที่สุดของโลกอีกเล่มหนึ่ง

      ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้เอง ได้เล่าถึงการแตกดับของโลก และจักรวาลไว้ว่ามีหลายรูปแบบ บางครั้งแตกดับด้วยอำนาจของไฟบรรลัยกัลป์ บางครั้งแตกดับด้วยน้ำบรรลัยกัลป์ และบางครั้งแตกดับด้วยลมบรรลัยกัลป์

          ในคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า สาเหตุที่โลกและจักรวาลต้องพินาศแตกดับไป ก็เพราะว่า กิเลส ในใจของมนุษย์เป็นตัวการทำลายโลก

          เมื่อใดที่โลกมากด้วยโทสะ ย่อมพินาศด้วยไฟบรรลัยกัลป์ 

          เมื่อใดที่โลกมากด้วยราคะ ย่อมพินาศด้วยน้ำบรรลัยกัลป์ 

          เมื่อใดที่โลกมากด้วยโมหะ ย่อมพินาศด้วยลมบรรลัยกัลป์

          นั่นก็หมายความว่า มนุษย์เป็นคนกำหนดภัยพิบัติของธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติเป็นคนกำหนดชะตาของมนุษย์

          เมื่อหลวงพ่ออ่านพบเรื่องลมบรรลัยกัลป์ ซึ่งเป็นลมชนิดหนึ่งที่พัดมากระทบโลกแล้วหอบยกเอาภูเขาลูกใหญ่ๆ ขึ้นไปกลางอากาศ แล้วกระทบกันเปรี้ยงๆ ในที่สุดก็แตกเป็นผงเป็นทรายไป จากนั้นก็พัดทำลายให้แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็หอบมากระทบกันเปรี้ยงๆ ในที่สุดโลก ทั้งโลกก็แตกทำลายไป ในตอนนั้น ก็ยังนึกสภาพไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นกับโลกของเราในลักษณะอย่างไร จนเมื่อได้มาฟังเรื่องลมสุริยะนี้เอง ทำให้นึกถึงข้อความท่อนนี้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคขึ้นมาได้

          เนื้อหาท่อนนี้ เป็นเนื้อหาที่พระเถระผู้มีฌานทัศนะในอดีต ได้ระลึกชาติย้อนไปรู้ไปเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่ผ่าน ๆ มา ทำให้ท่านรู้ว่าในอนาคตก็จะเกิดขึ้นอีก จึงบันทึกเอาไว้ ซึ่งถ้าใครได้อ่านแล้วก็จะเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของโลกได้แจ่มชัดขึ้น

          เรื่องของลมสุริยะที่เล่าให้ฟังนี้ หลวงพ่อขอฝากเป็นข้อคิดว่า เราต้องรู้จักนำเหตุการณ์ในปัจจุบันมาเทียบเคียงกับคัมภีร์โบราณหรือพระไตรปิฎกบ้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกเกี่ยวกับโลกและชีวิตตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นเหตุให้สัมมาทิฐิของพวกเราหยั่งรากลึก เหมาะสมที่จะ เป็นครูบาอาจารย์ของสัตวโลกทั้งภพนี้และภพหน้า และทำให้เราสามารถทำหน้าที่กัลยาณมิตรได้อย่างดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งก็จะเป็นบุญบารมีติดตัวเราไปมากขึ้นอีกตราบนานเท่านาน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล