ฉบับที่ 131 กันยายน ปี 2556

นักโทษแห่งวัฏสงสาร ตอนที่ ๕

พระธรรมเทศนา

 

พระธรรมเทศนา


นักโทษแห่งวัฏสงสาร

 
ตอนที่ ๕
 วิชชา ๓ เครื่องมือแห่งการตรัสรู้ธรรม

 

นักโทษแห่งวัฏสงสาร
พระธรรมเทศนาโดยพระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
ในรายการ “โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง DMC
(Dhammakaya Media Channel) วันพฤหัสบดีที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

           การตรัสรู้อริยสัจ ๔ และธรรมอื่นๆ นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัยอำนาจแห่งญาณทัสสนะของวิชชา ๓ เป็นเครื่องมือในการค้นคว้าความจริง วิชชา ๓ นี้ ทรงได้จากการบำเพ็ญสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างอุทิศชีวิตเป็นเดิมพัน

วิชชา ๓ คืออะไร ?

          วิชชา แปลว่า ความรู้แจ้ง คือ ความรู้แจ่มแจ้ง ความรู้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ๑
          วิชชา เป็นความรู้แจ้งเห็นแจ้งตามความเป็นจริงที่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนา มิใช่ความรู้ที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน หรือการนึกคิดคาดคะเน
          วิชชา เป็นชื่อของญาณที่ทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔ มี ๓ อย่าง คือ
          วิชชาที่ ๑ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ความรู้แจ้งเป็นเหตุให้ระลึกอดีตชาติของตนเองได้
          วิชชาที่ ๒ จุตูปปาตญาณ หรือ ทิพพจักขุญาณ คือ ความรู้แจ้งในเรื่องการไปเกิดมาเกิดของสัตวโลกทั้งปวง
          วิชชาที่ ๓ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้แจ้งที่ทำให้กิเลสสิ้นไป

ด้วยอานุภาพของวิชชา ๓ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้สำเร็จ

           ด้วยอานุภาพของวิชชา ๓ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้สำเร็จ นับแต่นั้นมากิเลสที่ ห่อหุ้ม หมักดอง บีบคั้น บังคับพระทัยของพระองค์มายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน ก็ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น
           ดังนั้น พระองค์จึงตรัสปฐมพุทธพจน์เป็นการประกาศอิสรภาพจากการเป็นนักโทษในวัฏสงสารอย่างเป็นทางการว่า

                                                  “เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน
                                      เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร
                                      มีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์,
                                      แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว,
                                      ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้,
                                      ซี่โครงทุกซี่ของท่าน เราหักเสียแล้ว,
                                      ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว,
                                      จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว,   
                                      เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว” ๑
 
ถ้อยคำในปฐมพุทธพจน์บางคำแฝงความหมายไว้ดังนี้

           เรือน หมายถึง ร่างกาย ที่ใช้ในการเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

           นายช่างผู้ทำเรือน หมายถึง ตัณหา (ความอยาก) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของกิเลส อันเป็นสาเหตุให้สรรพสัตว์ต้องติดคุกอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด

           เราพบท่านแล้ว หมายถึง เราตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ ได้พบท่านแน่นอนแล้ว

           ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ หมายถึง ท่านจะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกไม่ได้

           ซี่โครง หมายถึง กิเลสเหล่าอื่นทั้งหมด

           ยอดเรือน หมายถึง อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้แจ้งในเรื่องความจริงของชีวิต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน  อนาคต อันเป็นเหตุให้สัตวโลกตกอยู่ในสภาพการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

          ธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่ง ได้แก่ นิพพาน หมายถึง พระทัยของพระพุทธองค์บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ด้วยการบำเพ็ญสัมมาสมาธิจนกระทั่งบรรลุวิชชา ๓

          จากปฐมพุทธพจน์นี้ อาจสรุปได้ว่า วิชชา ๓ นั้น เปรียบเสมือนเครื่องมือที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในการค้นพบความจริงต่าง ๆ ที่ถูกปิดบังเป็นความลับไว้ในวัฏสงสารมากมายหลายเรื่อง เช่น      อริยสัจ ๔ ภพ ๓ โลกันตร์ เป็นต้น

คนทั้งโลกไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า โลกนี้คือคุกแห่งสังสาารวัฏ ทุกคนล้วนกำลังเป็นนักโทษตดิคุกนี้อยู่

วัฏสงสารยาวนานเท่าใด

          การบรรลุวิชชา ๓ ทำให้พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงว่า วัฏสงสารนี้มีมายาวนานจนไม่อาจกำหนดระยะเวลาเบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลายได้ ดังที่ตรัสว่า

                                                 “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
                                       สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
                                       เมื่อเหล่าสัตว์ผู้ยังมีอวิชชาเป็นที่กางกั้น
                                       มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้
                                       ท่องเที่ยวไปมาอยู่
                                       ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ...”

           พระองค์ยังได้ตรัสแสดงธรรมอีกว่า เพราะความไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้โลหิตที่มนุษย์แต่ละคนต้องสูญเสีย เนื่องจากการถูกตัดศีรษะเมื่อเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ เช่น โค กระบือ แกะ แพะ ไก่ สุกร หรือเป็นโจรปล้น เป็นชายชู้ ฯลฯ ในระหว่างที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั้น มีปริมาณมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ แห่ง รวมกันเสียอีก แต่ปัญหาก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครเฉลียวใจเลยว่า โลกนี้คือคุกแห่งสังสารวัฏ ทุกคนล้วนกำลังเป็นนักโทษติดคุกนี้อยู่ ไม่รู้ว่าตนกำลังตกอยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรมและกฎไตรลักษณ์ ไม่มีใครรู้สาเหตุแท้จริงที่ทำให้ตนประสบทุกข์ เพราะไม่ว่าคนจน    หรือคนรวยต่างก็มีทุกข์ทั้งสิ้น จึงไม่มีใครช่วยใครให้พ้นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด จำต้องเวียนว่ายตายเกิด และทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกนี้โดยไม่รู้จบสิ้น โดยไม่มีใครตอบได้ว่า วัฏสงสารยาวนานเท่าใด..

         
 (อ่านต่อฉบับหน้า)

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล