ฉบับที่ ๑๗๒ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

จักรแห่งธรรม แผ่นดินมองโกเลีย

รอบโลกสีน้ำเงิน
เรื่อง:มาตา

จักรแห่งธรรมยังคงหมุนต่อไป ในแผ่นดินมองโกเลีย

จักรแห่งธรรม แผ่นดินมองโกเลีย,เนื้อหาใน,อยู่ในบุญ 

 

      ใช่หรือไม่ว่า เมื่อกล่าวถึง “มองโกเลีย” คนส่วนใหญ่มักนึกไปถึง “เจงกิสข่าน” วีรบุรุษผู้รวบรวมและแผ่ขยายอาณาจักรมองโกล ให้ยิ่งใหญ่ด้วยการรบบนหลังม้า... มีไม่กี่คนที่รู้ว่า “มองโกเลีย” ยังมีมุมตรงข้าม ที่ลูกหลานเจงกิสข่านพากันวางศัสตราวุธ หันมาถือศีลบำเพ็ญภาวนาตามคำสอนของพระศาสดา เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ จนกระทั่งครั้งหนึ่งศาสนาพทุธเจริญร่งุ เรืองขนาดที่เกือบทุกครอบครัวต่างส่งลูกชายออกบวชเป็นพระ (ลามะ)        แต่เมื่อวันเลวคืนร้ายมาถึง พระพุทธศาสนาก็ถูกแช่แข็งโดยคนใจบอดจนแทบจะเหลือแต่ชื่อ และต่อมาแม้มีการฟื้นฟูศาสนาพุทธแล้ว ศรัทธาของชาวมองโกลก็ยังไม่เหมือนเดิม...
 

 

         แรกเริ่มเดิมที ชาวมองโกลนับถือลัทธิชามาน (Shaman : คนทรง, หมอผี) ซึ่งเป็นวิถีความเชื่อเก่าแก่ ต่อมา “พระพุทธศาสนาดัง้ เดมิ ” จากอนิ เดยี เขา มาตามเส้นทางสายไหมเมือ่ ประมาณศตวรรษที่ ๓ แต่ช่วงนี้ผู้คนยังนิยมลัทธิชามาน ทำให้ศาสนาพุทธไม่แพร่หลายจึงเลือนหายไปในที่สุด
 
       ต่อมา ยุคกุบไลข่าน (หลานเจงกิสข่าน)มีการนำพระพุทธศาสนา (นิกายวัชรยาน)จากทิเบตเข้ามา และค่อย ๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนกระทั่งยุคหนึ่งมีการส่งเสริมให้พ่อแม่ส่ง
      
      ลูกชายออกบวชครอบครัวละ ๑ คน ช่วงนั้นประชากรมีไม่ถึงล้านคน แต่มีลามะกว่าแสนรูปในยุคถัดไปพระพุทธศาสนายิ่งทวีความรุ่งเรืองเพราะผู้นำ ทางศาสนากับผ้นำประเทศเป็นคนเดียวกัน

    หนทางของพระพุทธศาสนากำลังราบรื่น น่าเสียดายที่มาถูกแช่แข็ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่หายนะเกิดขึ้นเมื่อมองโกเลีย รับระบอบสังคมนิยมจากรัสเซียมาใช้ ช่วงนี้ลามะถูกฆ่า พระคัมภีร์ถูกเผา วัดวาอารามก็ถูกทำลาย มากมาย วัดในเมืองหลวงที่เหลืออยู่วัดเดียวถูกปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ ลามะที่ยังหลงเหลืออยู่ต้องมานั่งประกอบฉากสวดมนต์ให้ชาวต่างชาติชม เพื่อหารายได้เข้ารัฐ

   มองโกเลียปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับทุกศาสนาในช่วง พ.ศ.๒๔๖๗-๒๕๓๓ ซึ่งเท่ากับว่าศาสนาถูกแช่แข็งอยู่ ๖๖ ปี ต่อมาเมื่อนำระบอบประชาธิปไตยมาใช้ องค์กรของท่านทะไลลามะแห่งทิเบตจึงเข้ามาฟื้นฟูศาสนา แต่การที่ศาสนาพุทธขาดช่วงถึง ๖๖ ปี ซึ่งใกล้เคียงกับหนึ่งช่วงอายุคน ทำให้ชาวพุทธยุคนั้นล้มหายตายจากไปพร้อม ๆ กับความรู้ ความเข้าใจ และศรัทธาที่เหนียวแน่น ในพระพุทธศาสนา แต่ยังดีที่ในปัจจุบัน แม้ศรัทธาหย่อนลงแล้ว  ชาวมองโกลประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ก็ยังนับถือศาสนาพุทธแม้ว่าหลายเปอร์เซ็นต์เป็นพุทธเพียงแค่ในทะเบียนบ้านก็ตาม
 

 

       ระยะเวลา ๖๖ ปี ทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปได้มากมายจริงๆยุคหลังนี้ คนที่ไปวัดส่วนใหญ่คือคนเฒ่าคนแก่ที่ได้รับการปลูกศรัทธาจากบรรพบุรุษเมื่อครั้งเยาว์วัย ส่วนคนที่เกิดในช่วง “แช่แข็ง”และยุคต่อมา ส่วนใหญ่ไปวัดปีละไม่กี่ครั้งในวันสำคัญหรือวันที่มีปัญหาชีวิต โดยมีกิจกรรมขณะไปวัดก็คือ ฟังพระสวดมนต์

    นอกจากการปลูกศรัทธาที่ขาดช่วง แล้วลามะยุคใหม่ยังมีครอบครัวและทำมาหากินเหมือนคนทั่วไป กิจกรรมบางอย่างก็ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา เช่น เวลาใครจะฟังลามะสวดมนต์จะต้องจ่ายเงินก่อน ทำให้คนรุ่นใหม่คิดว่าศาสนากลายเป็นธุรกิจไปแล้ว แต่ในมุมของลามะ ท่านบอกว่า ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็อยู่ไม่รอดเพราะนอกจากรัฐบาลไม่ได้ช่วยวัดแล้ว วัดยังต้องจ่ายภาษีให้ทางการอีกด้วย

 

 

     นอกจากนี้ การเทศน์สอนก็เป็นปรัชญาชั้นสูง ที่ชาวบ้านไม่ค่อยสนใจ การตักบาตรก็ไม่มี สมาธิไม่ค่อยได้นั่ง ส่วนเรื่องศีลก็ไม่ค่อยรักษา เพราะชาวมองโกลถือว่าศีลเป็นสิ่งที่สูงส่ง ใครรับศีลมาแล้วต้องรักษาให้ได้ ถ้าพลาดถือว่าแย่

     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศรัทธาในศาสนาพุทธของชาวมองโกลถดถอยลงกว่าในอดีต แต่ความเป็นพุทธยังฝังอยู่ในใจของพวกเขา และพร้อมที่จะงอกงามเมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม ดังนั้นวัดพระธรรมกายจึงส่งพระภิกษุไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในมองโกเลีย จะได้ช่วยกันรดน้ำพรวนดินให้เมล็ดพันธุ์แห่ง “พุทธะ” ในใจของพวกเขางอกงามขึ้นมาอีกครั้ง


 

      เรื่องราวข้างต้นและที่จะเล่าต่อไปนี้ มาจากถ้อยคำของพระอาจารย์ชาญวิทย์ วรวิชฺโชเจ้าอาวาสวัดภาวนามองโกเลีย แห่งกรุงอูลาน-บาตาร์ (Ulaanbaatar) ท่านไปเผยแผ่ศาสนาที่มองโกเลียมา ๕ ปีแล้ว และปัจจุบันท่านเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติมองโกเลียด้วย

 

 

     “จุดเริ่มของการไปอยู่มองโกเลีย เกิดจากหลวงพี่เห็นภาพชาวมองโกล ลอยโคมวิสาขประทีปแล้วเขาปีติจนร้องไห้ ก็คิดว่า เราโชคดีที่ได้รู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต แต่ชาวมองโกลขาดแคลนสิ่งนี้ จะดีเพียงใดถ้าเรานำความรู้ที่ศึกษามาไปถ่ายทอดให้เขารู้เหมือนเราบ้าง เพราะนอกจากเป็นการให้ในสิ่งที่เขาขาดแล้ว ยังทำให้สิ่งที่เราเรียนมาเป็นประโยชน์มากขึ้น

 

 

      ด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ประดุจดวงอาทิตย์ ที่พร้อมจะให้ความสว่างแก่ผู้คนไม่เลือกหน้า ทำให้พระอาจารย์ชาญวิทย์ตัดสินใจไปเผยแผ่พระศาสนาที่มองโกเลีย และเมื่อไปแล้วท่านก็รู้ว่าคิดไม่ผิด

        “มีชาวมองโกลที่อยากเรียนรู้พระพุทธศาสนาเถรวาทจริง ๆ หลายคนพอเจอเราก็ดีใจมาก บางคนบอกว่าสนใจจะมานั่งสมาธิกับเรา บางคนเห็นวัดเราจากเฟซบุ๊กก็ตามมาที่วัด บางคนเดินผ่านหน้าวัดก็เข้ามาหาเราเลย
แล้วยังมีคนมานิมนต์หลวงพี่ไปสอนสมาธิที่ต่างจังหวัดด้วย แต่พระมีน้อย และมีภารกิจประจำรัดตัว จึงรับนิมนต์ไม่ได้”

 

       มีวิธีสร้างคนอย่างไร ?

       “หลวงพี่กับพระเพื่อนไปก่อตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติธรรมมองโกเลีย” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดภาวนามองโกเลีย”ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตอนนี้มีพระอยู่ประจำ ๓ รูป ในมองโกเลียขณะนี้มีวัดไทยวัดเดียว
 

    “ในการสร้างคนก็ดูจากวัดพระธรรมกาย ที่เริ่มจากนิสิตนักศึกษามานั่งสมาธิกับคุณยายและมาเป็นกำลังในการสร้างวัด เราก็เริ่มจากนิสิตนักศึกษาเหมือนกัน คือ กลุ่มอาสาสมัครช่วยงานวิสาขบูชา ต่อมาเราเปิดคอร์สสอนสมาธิ ก็ได้คนจากกลุ่มนี้ด้วย อีกส่วนมาจากกลุ่ม Wisdom Power รวมเป็น ๓ กลุ่มหลัก

 

 

     “กลุ่ม Wisdom Power นี้ ตั้งขึ้นมารองรับการทำกิจกรรม ของอาสาสมัครและสาธุชนทุกปีหลวงพี่จะพากลุ่มนี้มาอบรมที่เมืองไทย(เขาออกค่าเดินทางเอง) โครงการนี้มีมา ๓ ปีแล้วได้ผลดีมาก ทำให้ชาวมองโกลซึ่งไม่มีพื้นฐานเรื่องพุทธเถรวาทและธรรมเนียมปฏิบัติมีความเข้าใจว่า เราเป็นใคร ไปทำอะไรที่มองโกเลียและรู้จักวัฒนธรรมชาวพุทธมากขึ้น เมื่อก่อนเขามองไม่เห็นภาพ พอมาเรียนรู้ที่เมืองไทยแล้ว เขาก็หนักแน่นในการสั่งสมบุญยิ่งขึ้นและกลับไปเป็นกระบอกเสียงให้เรา ไปชวนคนใหม่มาวัด และอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง”

 

 

     ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ?

          “หลัก ๆ ก็สอนทำสมาธิ เราเปิดคอร์สพื้นฐานค่ำวันอังคารกับวันพฤหัสฯ เปิดได้ ๓๐กว่ารุ่นแล้ว เข้าคอร์สไป ๑,๐๐๐ กว่าคน วันพุธกับวันศุกร์สอนสมาธิสมาชิกเก่า วันจันทร์อบรมอาสาสมัคร วันเสาร์ทำภารกิจอื่น ๆ ส่วนวันอาทิตย์นั่งสมาธิพร้อมกับทางวัดพระธรรมกาย
 

        “หลวงพี่สอนการนั่งสมาธิ ให้นั่งให้ได้อารมณ์สบายเป็นเบื้องต้น หลายคนมีผลการนั่งที่ดี โล่ง โปร่ง เบาสบาย รู้จักความสุขภายในใจเย็น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้นท่ามกลางสภาวะกดดันของสังคมใน
เมืองหลวง ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันทั้งเรื่องงานการเรียน อีกทั้งเศรษฐกิจก็ไม่ดี

 

       “หลวงพี่สอนให้เขารักษาศีลด้วย โดยอธิบายให้เขาฟังว่า มนุษย์ต้องมีคุณธรรม ๕ประการนี้ เมื่อเขาเข้าใจก็ตกลงรักษาศีล ๕และยังชวนเขามาร่วมกิจกรรม เช่น พิธีบูชาข้าวพระ ปฏิบัติธรรมในวันพระจันทร์เต็มดวง(เป็นวันพระวันเดียวในแต่ละเดือนของเขา) พิธีลอยโคมวิสาขประทีปในวันวิสาขบูชา ฯลฯ”
 

        “นอกจากนี้ เรายังมีกิจกรรมกับองค์กรอื่น ๆ เช่น จัดพิธีลอยโคมวิสาขประทีปถวายเป็นพุทธบูชาร่วมกับวัดดาโชลิน ซึ่งเป็นวัดดังอันดับสองของเขา จัดงานวันสันติภาพสากลร่วมกับองค์การสหประชาชาติและผู้นำของศาสนาต่าง ๆ ในประเทศมองโกเลีย ฯลฯ

 

]

 

          ใช้เทคนิคอะไรเปิดใจชาวมองโกล ?
 

        “หลวงพี่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ขนบประเพณีและภาษาของเขา ตั้งใจเรียนจนกระทั่งถ่ายทอดธรรมะได้ด้วยภาษาของเขาการที่เราใช้ภาษาเดียวกับเขา เข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของเขาแล้วนำมาใช้ให้ถูกโอกาสทำให้เขารู้สึกประทับใจและยอมรับเรา รู้สึกเหมือนกับว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ทำให้การปฏิสัมพันธ์ราบรื่นขึ้น”
 

        วิธีนี้ได้ผลจริงและมีความเป็นสากลด้วยดังที่อดีตประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา แห่งแอฟริกาใต้ เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณพูดกับใครสักคนด้วยภาษาที่เขาเข้าใจ คำพูดเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปยังสมองของเขา แต่ถ้าคุณพูดกับใครสักคนด้วยภาษาของเขา คำพูดเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปยังหัวใจ”

 

 

 

       การเผยแผ่สำเร็จในระดับไหน ?อนาคตอยากทำอะไร ?
 

       “เราเข้าถึงคนมองโกลได้ระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้เรามีขาประจำมากขึ้น แต่วัด เราอาจจะโตช้ากว่าวัดในประเทศที่มีฐานคนไทยเยอะ ตอนนี้ในมองโกเลียมีคนไทยไม่เกิน ๕๐ คนส่วนใหญ่ทำงานในเหมืองแร่ตามต่างจังหวัดมี ๔-๕ คนเป็นลูกจ้างร้านนวดแผนไทย คนที่มาร่วมกิจกรรมกับวัดเราจึงเป็นชาวมองโกล๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

       “เป้าหมายต่อไปคือสร้างฐานคนให้มั่นคง และหาที่ปักหลักแบบถาวร ปัจจุบันวัดอยู่ในอาคารสำนักงานรวม เล็กมาก อยากขยายให้ใหญ่ขึ้น จะได้ปักหลักพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย และสามารถรองรับคนได้
มากขึ้น จัดกิจกรรมได้หลายอย่างพร้อม ๆ กันที่ผ่านมาบางวันมีเด็กนักศึกษาอยากมานั่งสมาธิ แต่หลวงพี่ต้องประชุมงาน เขาก็ต้องสละที่ให้เรา”

 

           มีประสบการณ์อะไรที่ตื่นเต้นบ้าง ?
 

           “ตื่นเต้นที่ว่า ช่วงแรกพูดและฟังภาษามองโกลไม่ได้เลย ใช้ภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาจีนบ้าง สรรพวิชาทั้งปวงที่มีอยู่นำออกมาใช้หมด ดำน้ำกันไป จึงตั้งใจว่าจะต้องสื่อสารด้วยภาษาของเขาให้ได้เร็วที่สุด

           “และก่อนหน้านี้หลวงพี่เป็นพระเด็ก ๆมีพระอาจารย์คอยดูแล พอไปอยู่ที่โน่นเหมือนเราเป็นตัวแทนของหมู่คณะวัดพระธรรมกาย อะไรที่เกี่ยวข้องกับหม่คณะคือ ความรับผิดชอบ ของเราทั้งหมด ไม่ว่าการประชุม การเข้าร่วมพิธีต่าง ๆ หรือการไปพบปะองค์กรทั้งหลายเราต้องไปพูด ไปแสดงทัศนคติ ไปทำกิจกรรมจากอะไรที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเป็น ก็ต้องรู้ ต้องเป็น เหมือนปลูกปุ๊บโตปั๊บ ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณอย่างสูง”

 

 

       รู้สึกปลื้มอะไรบ้าง ?


    “ปลื้มที่เขานำวิธีทำสมาธิ ที่เราสอนกลับไปฝึก บางทีก็มานั่งสมาธิที่วัดเอง และทุกครั้งที่หลวงพี่เห็นเขานั่งสวดธรรมจักรกันเองโดยไม่ต้องบอกก็ปลื้มใจ เพราะว่าเขานำสิ่งที่เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาถ่ายทอดให้ไปปฏิบัติ ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำลงไปไม่สูญเปล่า

 

 

       “หรือเวลามีคนมาถามเรื่องสมาธิหรือธรรมะ แล้วเราใช้ความรู้ที่ฝึกฝนอบรมจากวัดพระธรรมกาย ทั้งเรื่องพระธรรมคำสอนและการปฏิบัติธรรมไปอธิบายให้เขาเข้าใจได้ซึ่งเท่ากับเราได้เป็นตัวแทนของหมู่คณะนำ  แสงสว่าง นำธรรมะ และวิชชาธรรมกาย ไปเผยแผ่จนเขาเข้าใจและปฏิบัติตาม จนกระทั่งเกิดผลดีแก่ชีวิตของเขา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หลวงพี่ปลื้มใจมาก”

 

 

       เป็นคำถามสุดท้าย การเผยแผ่ที่มองโกเลีย มีปัญหาหรือลำบากอย่างไรบ้าง ?

       “ลำบากที่เวลาสื่อสารต้องใช้ภาษาพื้นเมืองเป็นส่วนใหญ่ จะเผยแผ่ได้ดีต้องเรียนรู้ภาษาให้เข้าใจ ซึ่งต้องอาศัยเวลามาก เวลาส่วนหนึ่งของพระทุกรูปจึงหมดไปกับการเรียนภาษา ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยหลวงพี่ก็เรียนภาษามา ๒ ปี ตอนนี้คุยกับเขารู้เรื่อง ๗๐-๘๐เปอร์เซ็นต์แล้ว

        “สภาพดินฟ้าอากาศก็ต่างจากเมืองไทยมาก อุ่นอยู่ปีละ ๓ เดือน ฤดูหนาวอุณหภูมิติดลบ ๓๐-๔๐ องศาเซลเซียส ฤดูร้อนพุ่งไปถึง ๓๕-๔๐ องศาเซลเซียส อากาศแปรปรวนมากด้วย บางวันเหมือนมี ๔ ฤดู เช้าหิมะตกสายฝนตก บ่ายร้อน เย็นมีลมแรง ทำให้เรากำหนดแผนงานที่ชัดเจนไม่ค่อยได้ และเป็นอุปสรรคต่อการมาร่วมงานของสาธุชน

      “หลวงพี่อยู่ในอูลานบาตาร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวง ที่มีอากาศเป็นพิษมากที่สุดในโลกและหนาวที่สุดในโลก อากาศที่หนาวแบบแห้ง ๆและมีมลพิษมาก ทำให้เสียสุขภาพ หายใจไม่สะดวก ตื่นขึ้นมามักเจ็บคอ คอแห้ง จมูกแห้งหายใจขัด ๆ ช่วงแรกที่ไม่ชินอากาศหลวงพี่ไม่สบายหนักเลย ตอนนี้พอปรับตัวได้แล้ว

      “วัฒนธรรมเรื่องการกินก็ต่างกัน การปรับตัวเข้ากับอาหารของชาวมองโกลสำหรับชาวต่างชาติไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่เรากินข้าวเป็นปกติ ชาวมองโกลกินเนื้อเป็นหลัก จำพวกเนื้อแกะ ม้า อูฐ วัว แพะ หลวงพี่คิดว่าการกินไม่ครบ ๕ หมู่น่าจะมีผลเสียต่อสุขภาพมากตอนนี้ชาวมองโกลอายุขัยเฉลี่ยแค่ ๖๐-๖๕ ปี
เท่านั้น

 

 

     “และถึงแม้ว่าเป็นพุทธเหมือนกัน แต่วิถีปฏิบัติเราต่างกัน ชาวมองโกลไม่เข้าใจธรรมเนียมการถวายภัตตาหาร จึงไม่ค่อยมีใครถวายภัตตาหาร ประเพณีตักบาตรก็เลือนหายไปนานแล้ว แม้ว่าบางคนมีศรัทธานำภัตตาหารมาถวาย แต่เนื้อที่เขาเอามาบางอย่าง ตามพระวินัยพระฉันไม่ได้ ทำให้บางครั้งพระก็ขาดแคลนอาหารขบฉันประกอบกับมีปัญหาอื่นเข้ามาบ้าง ทำให้พระต้องใช้ความอดทนสูงกว่าขีดสามัญ”

 

 

      เป็นธรรมดาว่า การไปอาศัยอยู่ในดินแดน ที่แตกต่างจากประเทศเรามากย่อมต้องพบเจอกับปัญหามากมาย แต่พระอาจารย์ชาญวิทย์ไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจในเมื่อมีคำถามท่านก็แค่ตอบให้ฟัง เพราะ
ท่านคิดว่า

          “ลำบากหรือสบายอยู่ที่เอา ไปเปรียบกับอะไรมากกว่า ถ้าเทียบคุณภาพชีวิตกับญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป เราสู้ไม่ได้ แต่ถ้าเทียบกับชาวมองโกล เราสบายกว่าเยอะ หลวงพ่อเคยบอกไว้ว่า ‘ให้เราไปเป็นแสงสว่างให้เขา ทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้สมบูรณ์พร้อม ถ้าใจเราไม่สงบ อยู่ที่ไหนก็ไม่สงบ ให้ปรับที่ใจของเรา ถ้าใจมีความสุข อยู่ที่ไหนก็มีความสุข’ หลวงพี่ก็เห็นจริงอย่างที่ท่านกล่าวมา และนำมาเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า สิ่งสำคัญก็คือใจของเรานี้แหละ”

 

 

         หากมองจากหลาย ๆ ด้าน มองโกเลียถือว่าเป็นประเทศที่อยู่ไม่ง่ายนัก แต่พระอาจารย์ชาญวิทย์ก็เลือกที่จะไปเผยแผ่ที่นั่น และอยู่มาได้ถึง ๕ ปีแล้ว เพราะว่าท่านมีธงที่แน่วแน่ในใจ คือการนำจักรแห่งธรรมและวชิชาธรรมกายของพระสมั มาสัมพทุธเจ้าไปขับ เคลื่อนความเป็น “พุท ธะ”ที่อยู่ในใจของชาวมองโกลให้เติบโตและเจริญงอกงามรุดหน้าไปไม่แพ้สมัยบรรพชน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล