นิทานชาดก เรื่อง
ลฏุกิกชาดก-ชาดกว่าด้วยนางนกไส้
พุทธกาลสมัย ณ ดินแดนชมพูทวีป
ในพุทธกาลสมัย ณ ดินแดนชมพูทวีป ครั้งเมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น พระพุทธองค์ทรงเผยแผ่พระพุทธธรรม โปรดสรรพสัตว์ ทั้งหลายทั่วทั้งอนุทวีป สถาปนาพระพุทธศาสนาจนรุ่งเรืองสืบมา ในครานั้นแม้พระพุทธศาสนาจะเพิ่งสถาปนาได้ไม่นานนัก แต่ก็มีนักบวชชาวเมืองทุกชั้นวรรณะต่างเลื่อมใส ศรัทธาถวายตัวเป็นพุทธสาวก บวชเป็นพระภิกษุมากมาย
พระเทวทัตผู้มีจิตใจโหดร้าย
แต่ทว่ากลับมีภิกษุรูปหนึ่ง แม้เข้ามาบวชใต้ร่มทรงธรรมแห่งพระศาสดาแต่ยังมิวายอาคาดมาดร้าย กระทำตัวเป็นปัจจามิตรต่อองค์พระศาสดา ทั้งยังมีจิตใจโหดร้าย ไม่มีความกรุณาปราณีต่อเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย ภิกษุผู้นี้มีนามโจทย์ขานว่า พระเทวทัต นั้นเอง พฤติกรรมของพระเทวทัตนี้ เหล่าภิกษุด้วยกันเองต่างรู้แจ้งดี เฉกเช่นเดียวกับพระพุทธองค์ ที่ทรงปรารภถึงพระเทวทัตให้เหล่าภิกษุได้ฟังกันในโรงธรรมสภา
พระศาสดาทรงนำ ลฏุกกิชาดก มาสาทกแกเหล่าภิกษุ ณ ธรรมสภา
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ท่านมาประชุมกันด้วยเรื่องอันใด” “ข้าแต่องค์พระศาสดา พวกข้าพระองค์ กำลังสนทนาถึงพระเทวทัต ผู้มีจิตใจโหดร้ายไม่มีความปราณี ต่อสรรพสัตว์ ทั้งที่ตนถือครองเพศสมณะแท้ๆ แต่หาได้ละอายต่อบาปที่ทำไม่” “ใช่แล้ว พระเทวทัตผู้นี้ แม่แต่กับพระศาสดายังคิดร้าย ช่างเป็นการไม่บังควร เอาเสียเลยขอรับ” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากับพระเทวทัตนี้ ผูกเวรกันมาตั้งแต่อดีตชาติ แม้ในกาลก่อน เค้าก็มีพื้นฐานจิตใจโหดร้าย ไม่มีความเมตตาปราณี ผูกใจอาฆาตมาดร้ายมาจนถึงชาตินี้ เดี๋ยวเราจะเล่าให้พวกเธอทั้งหลายฟัง จะได้เข้าใจแล้วนำโอวาทเรานี้ไปน้อมนำจิตใจต่อไป” แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ นำ ลฏุกิกชาดก มาสาทกดังนี้
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาช้างพราย
ย้อนไปในอดีตกาลนานมา ณ ป่าหิมพานอันกว้างใหญ่ ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พญาช้างพราย สูงใหญ่งามสง่า ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก โพธิสัตว์ พญาช้างเป็นจ่าโขลง นำช้างบริวารถึงแปดหมื่นตัวหากินในป่านี้อย่างสงบสุข “ วันนี้ท่านพญาช้างจะพาพวกเราไปหากินที่ไหนนะ ” “ เจ้านี่ห่วงแต่กิน ดูสิ เดินตาม ท่านพญาช้างไม่ทันแล้ว เดี๋ยวก็หลงทางกันพอดี อ้าวรีบๆ เดินสิ ” “ ในป่านี้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ อ้าวๆ เดินระวังๆ นะ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวจะ ไปเหยียบสัตว์เล็กสัตว์น้อยเข้า ”
พญาช้างได้นำบริวารออกหากินในป่าตามปกติ
“ น่าภูมิใจจริงๆ จ่าโขลงเราแข็งแกร่ง บึกบึนสมเป็นชาติช้างจริงๆ ” “ ฮิๆ จ่าโขลงดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ไปไหนใครก็กลัว เพราะช้างตัวใหญ่ ฮ่าๆๆๆ ” อีกด้านหนึ่ง ยังมีนางนกไส้ตัวหนึ่ง ทำรังบนพื้นดินกำลังกกฟองไข่ที่กำลังจะฟักออกมาเป็นตัว “ ลัน ลัน ลา ลันลา อีกไม่นาน ลูกน้อยของเราก็จะออกจากไข่แล้ว เราจะได้ เห็นหน้าลูกน้อยน่ารักของเราแล้ว ดีใจจังเลย แม่จะประคบประงมเจ้าอย่างดี มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมเลยนะจ๊ะลูกจ๋า ออกมาไวๆ นะจ๊ะลูก ”
นางนกไส้กำลังกกไข่ของตนอย่างมีความสุข
ไม่นานช้า ไข่ก็ค่อยๆ เปล่งแตก ลูกนกไส้ก็โผล่หัวรับชีวิตใหม่ ทันที่ที่ฟักออกลูกนกไส้ต่างก็ส่งเสียงร้องทันที “ แม่จ๋าๆๆ แม่จ๋าแม่ ” “ แม่ แม่อยู่ไหน ” “ แม่จ๋าๆ ” “ หนูหิวแล้ว แม่จ๋า แม่จ๋าแม่ ” “ ลูกแม่ ฟักเป็นตัวแล้ว แม่อยู่นี้จ๊ะลูก อุ๊ย น่าตาน่ารักทั้งนั้นเลย รอเวลานี้มานานแล้ว มีความสุขที่สุดเลย ” นางนกไส้ประคบประงม เลี้ยงลูกเป็นอย่างดี ฝ่ายลูกนกนั้นมีจะมีขนขึ้นแล้ว แต่ปีกยังไม่แข็งพอที่จะพยุงตัวบินได้ ยังต้องพึ่งแม่ของตนต่อไป แต่แล้ววันหนึ่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังขึ้น สร้างความตื่นตระหนกให้กัลป์ลูกนกเป็นอย่างมาก
ลูกของนางนกไส้ได้ฟักตัวออกจากฟองไข่อย่างปลอดภัย
“แม่จ๋า ทำไมพื้นดินสั่นอย่างนี้ละจ๊ะ ” “ จริงด้วยแม่ หนูจะล้มแล้วจ้า แม่จ่า หนูกลัว เสียงอะไรนะ ” “ ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะลูกจ๋า แม่อยู่ตรงนี้แล้ว มามะ มาร่วมกลุ่มกันนะจ๊ะลูก เดี๋ยวแม่จะบินไปดูนะว่าเกิดอะไรขึ้น ” นางนกไส้บินไปสังเกตการณ์ เมื่อเห็นที่มาของเสียงนั้นก็ตกใจ เพราะรังของนางอยู่บนเส้นทางของช้างโขลงใหญ่พอดี “ ฮ้า โขลงช้างนี่นา ทำไงดีละนี่ อีกนิดเดียวโขลงช้างก็จะเดินมาถึงรังของเรา ต้องเหยียบลูกของเราแบนแน่ๆ ลูกเราตัวยังเล็กบินไม่ได้เลย
นางนกไส้เฝ้าดูแลลูกของนางเป็นอย่างดี
โธ่ ลูกแม่ ไม่ได้เราจะยอมให้ลูกตายไม่ได้ เราต้องไปอ้อนวอนขอพญาช้าง ไม่ให้โขลงช้างเหยียบลูกๆ ของเรา ” นางนกไส้ไม่รอช้า ประคองปีกทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วบินไปหยุดอยู่หน้าจ่าโขลงช้าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขอร้องว่า “ หยุดก่อน ท่านพญาช้าง ” “ มีเหตุอันใดรึ นางนกไส้ ไฉนเจ้าถึงมาขวางทางเรา ” “ ข้าขอไหว้ท่านพญาช้าง ผู้มีพละกำลังมหาศาล ผู้เป็นจ่าโขลงช้างนี้
นางนกไส้และลูกน้อยตื่นตกใจเพราะพื้นดินสั่นสะเทือน
ข้าขอไหว้ท่านด้วยปีกอันน้อยนิดของข้า ขอให้ท่านโปรดเว้นทางที่จะผ่านไปนี้ เพื่อขอให้ท่านสงสารลูกน้อยๆ ของข้า ที่อยู่ในทางนั้นด้วยเถิด ” “ ลูกน้อยในรังเจ้า อยู่ในทางที่โขลงช้างของข้าจะผ่านงั้นรึ ” “ ใช่แล้วจ๊ะ ลูกน้อยของข้า ยังเล็กนัก ยังไม่สามารถขยายปีกบินได้ ท่านพญาช้างโปรดเมตตาด้วยเถิด ” “ ดูก่อน แม่นางนกไส้เอ๋ย เจ้าอย่าได้ร้องไห้คร่ำครวญไปเลย เราจักช่วยเจ้ารักษาลูกน้อยของเจ้าเอง
นางนกไส้ได้ขอร้องพญาช้างให้ปกป้องลูกน้อยของเธอ
โขลงช้างนี้จะไม่เป็นอันตรายแก่ลูกเจ้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องห่วง ” “ ขอบพระคุณท่านพญาช้างมาก ข้ากับลูกจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย ” พญาช้างเมื่อรับปาก กับนางนกไส้แล้ว ก็เดินเข้าไปยืนคร่อมรังของนางนกไส้ จนโขลงช้างทั้งแปดหมื่นเชือกเดินผ่านไป ลูกนกทั้งหลายจึงปลอดภัยไม่โดนเหยียบ “ ท่านพญาช้าง ตัวโตจังเลย อย่างนี้เราก็ไม่ต้องโดนเหยียบแล้ว ไชโย ” “ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเดียวพวกเจ้าก็จะปลอดภัย จะได้อยู่กับแม่ของเจ้าแล้วละ ”
พญาช้างได้รับปากที่จะปกป้องลูกน้อยของนางนกไส้
“ ขอบคุณท่านพญาช้างขอรับ โตขึ้นผมจะเอาอย่างท่านพญาช้าง ฮ่าๆๆๆ ” “ เจ้าเป็นลูกนกนะ โตขึ้นจะไปเป็นช้างได้ยังไง โตขึ้นก็ต้องเป็นนกสิ ถึงจะถูก ” เสียงลูกนกกู่ร้องด้วยความดีใจ นางนกไส้บินเข้าไปกอดลูกอย่างมีความสุข “ ขอบพระคุณท่านพญาช้างมาก เอาลูกๆ รีบขอบคุณท่านพญาช้างเร็ว ท่านช่วย
ชีวิตพวกเราเอาไว้ ” “ ขอบพระคุณท่านพญาช้าง ” “ เราต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า ที่โขลงช้างของเราเป็นภัยแก่เจ้าและลูก ” “ ถึงอย่างไรท่านพญาช้างก็มี เมตตา ข้ากับลูกจะไม่ลืมเลย ”
พญาช้างยืนคร่อมรังนางนกไส้เพื่อป้องกันไม่ให้รังของนางถูกเหยียบจากบริวารของตน
“ ก่อนที่ข้าจะไป อยากให้เจ้าระวังลูกๆ เจ้าให้ดี เพราะใช่แต่โขลงช้างของเราเท่านั้นที่ผ่านมาทางนี้ แต่ยังมีช้างอีกเชือกหนึ่ง เที่ยวออกหากินเพียงลำพัง ช้างเชือกนี้ เป็นช้างเกเร ไม่ฟังคำผู้ใด เมื่อเค้ามาถึง เจ้าจงอ้อนวอนเค้าให้ให้เมตตาต่อเจ้าและลูกนะ ข้าไปแล้วละ ” “ ขอบคุณท่านพญาจ่าโขลงมาก แล้วฉันจะพูดขอร้องช้างเชือกนั้นเอง ” จริงอย่างที่พญาช้างว่า เพียงไม่นานนักก็มีช้างอีกเชือกเดินเที่ยวออกหากินตามป่าเชิงเขา ผ่านมาตามทางเพียงเชือกเดียว
นางนกไส้และลูกปลอดภัยรังไม่ถูกเหยียบจากบริวารของพญาช้าง
แม่นางนกไส้ก็ได้กระทำการต้อนรับช้างเชือกนั้น โดยเอาปีกทั้งสองข้างอัญชลีเหมือนที่กระทำกับพญาช้างจ่าโขลงที่ผ่านมา “ ช้าก่อน ท่านช้างพราย ” “ หนอยแนะ นางนกไส้น้อยกล้าดียังไงมาขวางทางช้างอย่างข้า ไม่กลัวตายรึไง ” “ ข้าแต่ ท่านช้างพรายผู้มีพละกำลังเป็นเลิศ ตัวข้านี้เป็นเพียงนกไส้เพียงน้อยนิด ไม่อาจหาญกล้า จะขวางทางท่านหรอก ” “ งั้นก็ดีแล้ว รีบๆ หลบไปอย่ามาขวางทางข้าให้เสียเวลา เดี๋ยวก็เหยียบซะหรอก ”
นางนกไส้ได้ขอร้องช้างเกเรไม่ให้ทำร้ายลูกของตน
“ ฟังข้าก่อน ท่านช้างพราย ข้าขอไหว้ท่านผู้มีกำลังมาก ด้วยปีกทั้งสองของข้า ลูกของข้า อยู่ในทางนี้ ขอท่านเมตตา อย่าได้ฆ่าลูกน้อยๆ ของข้าพเจ้า ซึ่งยังเล็กบินไปไหนไม่ได้ด้วยเถิด ” “ บังอาจมาสั่งข้างั้นเรอะ อย่ามาอ้อนวอนซะให้ยากเลย ข้าจะข้าลูกของเจ้าซะบัดนีแหละ ฮ่าๆๆๆ ” “ ท่านอย่าทำอะไรลูกของข้าเลยนะพวกเค้ายังบินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ข้าขอร้องละท่าน อย่าทำอะไรลูกของข้าเลย ”
เจ้าช้างเกเรไม่สนใจคำขอร้องอ้อนวอนของนางนกไส้แม้แต่น้อย
“ นางนกไส้ตัวน้อยๆ เอ๋ย ตัวเจ้าก็แค่นี้ จะมีปัญญาอะไรมาทำอะไรข้า ซึ่งเป็นช้างตัวใหญ่ได้ ฮ่าๆๆ ทีนี้เราจะขยี้ลูกของเจ้าทีละตัวๆ ด้วยเท้าซ้ายของเรานี้แหละ ฮ่าๆๆๆ นี่ๆๆ บี้ให้แหลกไปเลย ”เจ้าช้างเกเรใจหยาบช้า เดินตรงเข้าใช้เท้าบดขยี้ลูกน้อยของนางนกไส้ตายทีละตัวอย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี ยิ่งเห็นเลือดของลูกนกตัวน้อย มันก็ยิ่งส่งเสียงร้องด้วยความสะใจ แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าช้างเกเรบุกเข้าเหยียบรังและฆ่าลูกของนางนกไส้อย่าบ้าคลั่ง
“ ตายซะเถอะ เจ้านกไส้ตัวน้อย อยู่ไปก็เกะกะขวางทางข้า ฮ่าๆๆ ” “ ช่วยด้วยๆๆ ช่วยด้วยแม่จ๋าช่วยลูกด้วย ” “ อย่าทำอะไรพวกเราเลยนะท่านช้าง พวกเรากลัวแล้ว อย่าๆๆๆ ” “ อย่านะ อย่าทำลูกข้า ฮือๆๆๆ อย่าๆๆ ”