ฉบับที่ ๑๘๗ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑

พระรับเงินดีหรือไม่รับดี ?

เคลียร์ข่าววัด
เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
Line ID : natchy1972

พระรับเงินดีหรือไม่รับดี ?
พระรับเงินถือว่าไม่สละหรือเปล่า ?

รู้สึกสะดุดใจ e-card ในโลกโซเชียลที่บอกว่า
"...ทุกอย่างก็ใช้เงิน แล้วจะไม่ให้พระรับเงิน
แล้วรัฐบาลจะจัดการทุกอย่างฟรีให้ได้ไหม ?"

        จากนั้นก็มีคนเอาไปโพสต์โต้กลับว่า.. "อยู่เป็นพระไม่ได้ เชิญลาสิกขาครับ พระพุทธองค์สอนไว้ให้สละไม่ให้สะสม"

           จากโพสต์นี้เอง..ทำให้หลายคนรู้สึกเห็นด้วยว่า..ถ้าพระทำไม่ได้ก็ควรจะสึก ๆ ไปเสีย !!!

          แล้วถ้าจะให้พระสึกกันจริงๆ ก็คงหมดเกือบประเทศแหละค่ะ เพราะรับเงินกันส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้อีกไม่ช้าพระพุทธศาสนาก็คงสูญสิ้นไปจากแผ่นดินนี้จริง ๆ

         ดังนั้น การแก้ปัญหาด้วยการสึกพระไม่น่าใช่วิธีการที่ถูกต้อง  แล้วที่สำคัญพระก็ไม่ได้ผิดอะไรร้ายแรง ไม่ได้ปาราชิกเสียหน่อย

          ในอีกประเด็นที่มีคนเข้าใจผิดมาก จากประโยคที่โพสต์ว่า..พระพุทธองค์สอนไว้ให้สละคำว่า "สละ" ในที่นี้พระองค์ทรงให้สละกิเลส ไม่ได้ให้สละสิ่งที่เกื้อกูลต่อการบรรลุธรรม หรือไม่ได้ให้สละสิ่งที่ช่วยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
 

         เหมือนครั้งที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายวัดพระเชตวันอันใหญ่โตมโหฬารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือในครั้งที่นางวิสาขาถวายวัดบุพพารามที่สร้างด้วยโลหะปราสาทอันแสนอลังการ
 

        พระพุทธองค์ก็ทรงรับไว้  ไม่ได้สละหรือเอาวัดอันใหญ่โตนั้นไปบริจาคใครเลย ตรงกันข้ามพระองค์กลับทรงปักหลักใช้เป็นที่จำพรรษายาวนานหลายปี และทรงใช้วัดเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่คำสอนให้มั่นคงมาจนถึงยุคปัจจุบัน 
 

      ส่วนในเรื่องของการบวช  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็ไม่ทรงสนับสนุนให้บวช  แล้วต้องอยู่แบบแร้นแค้น ยากไร้ อดอยาก ไม่มีปัจจัย ๔  ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ไม่มียารักษาโรค จนร่างกายทรมาน ไม่มีสภาพที่เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม เพราะถ้าพระพุทธองค์ มีพระประสงค์ให้สละทุกอย่างอย่างที่หลายคนเข้าใจ พระองค์จะทรงปฏิเสธเรื่องครอบปฏิบัติ ๕ ประการที่พระเทวทัตขอทำไม

         ข้อปฏิบัติ ๕ ประการที่พระพุทธองค์ไม่ทรงยอมรับก็คือ

๑.  ให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ป่าตลอดชีวิตเข้าสู่บ้านมีโทษ 
๒. ให้ภิกษุถือบิณฑบาตตลอดชีวิตรับนิมนต์มีโทษ 
๓. ให้ภิกษุถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิตรับคฤหบดีจีวรผ้าที่เขาถวายมีโทษ 
๔. ให้ภิกษุอยู่โคนไม้ตลอดชีวิตเข้าสู่ที่มุงบังมีโทษ 
๕. ให้ภิกษุห้ามฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิตถ้าฉันมีโท

       การที่พระบรมศาสดาทรงปฏิเสธข้อปฏิบัติ ๕ ประการที่พระเทวทัตเสนอข้างต้น  เพราะสิ่งที่พระเทวทัตทูลขอนั้นออกแนว  อัตตกิลมถานุโยค  คือการประกอบตนเองให้ลำบากเกินไปซึ่งทำให้ยากต่อการบรรลุธรรม  เพราะพวกที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ก็คือ พวกที่เดินทางสายกลางเท่านั้น
 

ทำไมพระในพุทธกาลอยู่ได้โดยไม่ต้องรับเงิน 

      ในสมัยนั้นมีกษัตริย์  มีอนาถบิณฑิกเศรษฐี  มีนางวิสาขา  และมีทายกผู้เลื่อมใสศรัทธาจำนวนมากคอยดูแลจัดการถวายปัจจัย ๔ แด่คณะสงฆ์ทั้งหมด

      สมัยนั้นนิยมการแลกเปลี่ยน  ซึ่งมีทั้งการเอาของแรกของเอาแร่เงินแร่ทองไปแลกของ  ส่วนการใช้เงินซื้อของเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น  แต่สมัยนี้เราใช้เงินซื้อของเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยเป็นเหตุหนึ่งที่คนมาถวายเงินพระเพื่อความสะดวก

      ในสมัยนั้นใช้น้ำจากลำธาร  แม่น้ำ  และก่อไฟในการหุงต้ม  ให้แสงสว่างพระไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ  ค่าไฟ  เหมือนยุคปัจจุบัน
 

        การเดินทางส่วนใหญ่ใช้วัวเทียมเกวียน  ใช้ม้า ลา เป็นพาหนะ ไม่ใช้รถ ไม่ใช้น้ำมันพระจึงไม่ต้องจ่ายค่ารถเมล์ ค่าแท็กซี่

       คนในยุคนั้นมีศีลธรรมชอบเข้าวัด  ชอบดูแลอุปัฏฐากพระ  จึงมีอุบาสกอุบาสิกามากมายเข้ามาช่วยงานวัด แต่ในปัจจุบันคนไม่ยอมเข้าวัด  ไม่เคารพพระ  ดูถูกดูแคลน  คอยจับผิดด่าว่าพระ  เช่น  บอกว่า..พระห้ามรับเงิน  แต่ตัวเองกลับไม่เข้าไปช่วยเหลือจัดหาปัจจัย ๔ อะไรให้ท่านเลย แล้วก็มากล่าวโทษท่านอยู่ฝ่ายเดียว

        แต่พอสมัยพุทธกาลผ่านไป  จนมาถึงยุคปัจจุบัน  ในเมื่อสภาวะแวดล้อมทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด  ทำให้พระมหากษัตริย์ไทยเราตั้งแต่ยุคโบราณมีพระราชดำริให้มีการถวายนิตยภัต  (ถวายเงินค่าอาหาร)  แด่พระสังฆราชและพระภิกษุที่พระองค์ทรงอุปถัมภ์อยู่เป็นประจำ
 

        ดังนั้น  เรื่องการรับเงินของพระจะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่  ก็น่าจะขึ้นกับเจตนาของการรับว่าเอาไปเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างไร  เช่น เอาเงินไปสร้างโบสถ์  สร้างศาลา  เพื่อให้คนมาถือศีล ปฏิบัติธรรม  หรือรับเงินมาแล้วเพื่อเอามาจ่ายค่าน้ำ  ค่าไฟ  ค่ายารักษาโรค ค่าพิมพ์หนังสือธรรมะไว้สอนคน คือ  ถ้ารับมาแล้วมีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปอีก  ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลยมิใช่หรือ  เพราะถ้าจะปล่อยให้วัดวาอารามไม่มีเงินสนับสนุน  พระก็คงอยู่ไม่ได้  คำสอนของพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ  จนผู้คนขาดศีลธรรม  คดโกงกัน  ทะเลาะกัน  จนบ้านเมืองลุกเป็นไฟแล้วท้ายที่สุด  เราเองก็จะอยู่ในประเทศนี้อย่างหวาดระแวง ไม่มีความสุข

     ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ได้แต่ภาวนาว่า  อยากให้ความเจริญทางด้านจิตใจของมนุษย์กลับคืนมาเหมือนในสมัยพุทธกาล  ที่มีทายกเข้ามาอุปถัมภ์จัดหาปัจจัย ๔ ให้พระครบทุกสิ่งทุกอย่าง  ตลอดจนมีสวัสดิการให้พระไปหาหมอฟรี  ขึ้นรถฟรี  เรียนฟรี  เพื่อพระทุกรูปจะได้ไม่ต้องรับเงินเหมือนครั้งพุทธกาล

      ถ้าผู้เขียน จบบทความด้วยประโยคนี้  ผู้อ่านบางคนคงแอบว่าผู้เขียนว่า..อย่าโลกสวยนักเลย ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก  เพราะผู้คนไม่ได้เห็นคุณค่าของพระเหมือนในสมัยพุทธกาลแล้ว  ดังนั้นถ้าไม่เห็นคุณค่า ก็อย่าทำลาย  หรือมุ่งมาเอาเงินพระ ทั้งๆที่พระก็ไม่ได้เอาเงินไปลงทุนค้ายาเสพติด เปิดบ่อน  หรือซื้ออาวุธเพื่อรบกับใคร  หรือทำอะไรที่เลวร้ายเลย
 

        ดังนั้น  ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน  ก็ขอให้อยู่ด้วยกันโดยใช้จิตเมตตา เห็นอกเห็นใจกัน  ทำอะไรก็ให้อยู่บนรากฐานของความพอดี  ให้คิดเสียว่า  ถ้าเป็นญาติพี่น้องเรามาบวช  เราจะปล่อยให้ลูกของเรา  ให้พ่อที่อายุมากของเราไปบวชอย่างแร้นแค้นไหม  หรือเราจะอุปถัมภ์ให้ท่านมีปัจจัย ๔ โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องปลีกย่อยเหล่านี้  แล้วเอาเวลามานั่งสมาธิ  ศึกษาคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เต็มที่

       บทความนี้เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่เขียนขึ้นเพราะอยากจะให้พุทธบริษัท 4  เห็นใจกันอยู่กันอย่างเข้าใจ  ส่วนบทสรุปว่า  "พระรับเงินดีหรือไม่รับดี"  ก็ต้องสุดแล้วแต่ที่ผู้อ่านจะคิดตามวิจารณญาณ  เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมายาวนานอย่างไม่จบไม่สิ้น  ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็คงดี  เพราะพระองค์คือผู้ที่จะทรงให้ความกระจ่างที่เหมาะสมที่สุดกับยุคที่เปลี่ยนไป

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล