ตักกชาดก  ชาดกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของหญิงเจ้าชู้

ตักกชาดก ชาดกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของหญิงเจ้าชู้ หน้า 3 จบ

หน้า 3 จบ

การ์ตูนนิทานชาดก

ตักกชาดก 


ชาดกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของหญิงเจ้าชู้

                  

จบ

   ตักกชาดก

 ชาดกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของหญิงเจ้าชู้

                 ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี เศรษฐีผู้หนึ่งมีธิดาสาวสวยหน้าตาคมคายน่าชม แต่ทว่านางเป็นคนเจ้าอารมณ์ โกรธง่าย ซ้ำยังปากร้าย มือไว บ่าวไพร่ของนางจึงมักถูกนางด่าว่า ทุบตีให้ต้องเจ็บต้องอายอยู่เสมอ แม้นางจะเป็นถึงธิดาเศรษฐีและมีความงามเพียงไร บ่าวไพร่ทุกคนก็ดีต่อนางเฉพาะต่อหน้าเท่านั้น    ลับหลังแล้วต่างขนานนามให้นางว่า "นางตัวร้าย"

                 วันหนึ่ง ธิดาเศรษฐีและบริวารพากันไปเล่นนํ้าในแม่น้ำคงคาตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งเย็น ขณะนั้นเอง เมฆฝนได้ตั้งเค้าขึ้นอย่างรวดเร็วลมพัดกรรโชกรุนแรง กิ่งไม้ต้นไม้โยกเอนไปมาพัดพาเอาใบไม้ร่วงกราวราวสายฝน แม้ผิวนํ้าก็ถูกลมพัดจนเป็นระลอกคลื่นบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลาย ต่างกุลีกุจอขึ้นจากน้ำ ครึ่งวิ่งครึ่งเดินกลับเรือนไม่มีใครห่วงใยนายสาวของตนซํ้าบางคนยังพูดว่า

                   "ดีล่ะ ปล่อยนางตัวร้ายให้ว่ายนํ้าหนีฝนซะให้เข็ด!"

                 "คอยดูนะ เดี๋ยวยายนั่นจะต้องสั่นเป็นลูกนกตกน้ำเลย  รู้ ๆ อยู่ว่าฝนจะตกแล้ว ยังเอ้อระเหยลอยคออยู่ได้ฉันเลยไม่อยากเรียกหมั่นไส้ "

                 แต่จนคํ่ามืดแล้ว ธิดาเศรษฐียังไม่กลับเรือนสักที  เศรษฐีซักถามก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น เพราะมัวแต่วิ่งหนีฝนมัน ต่างคิดมันว่าคงจะวิ่งตาม ๆ กันมา บางคนว่าเห็นหลังไว ๆ เข้าใจว่าคงขึ้นจากนํ้ามาก่อนแล้ว เมื่อสอบถามไม่ได้ความ เศรษฐีจึงระดมบ่าวไพร่ทั่งหลายออกค้นหานางด้วยความห่วงใย

               ไม่มีใครรู้ว่า ขณะนี้ธิดาเศรษฐีถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากพัดพามาติดกอหญ้า ไหลเรื่อยลงไปยังป่าแห่งหนึ่ง ยังดีที่นางว่ายนํ้าได้แข็ง แม้จะอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย แต่นางก็สามารถ พยุงกายรักษาชีวิตมาได้เป็นเวลาถึงครึ่งคืน

             ตลอดเวลาที่ลอยคออยู่ในน้ำ นางพยายามร้องเรียกให้คนช่วย แต่ไม่มีใครได้ยินเลย จนกระทั่ง นางลอยมาถึงบริเวณหน้าบรรณศาลาของฤๅษีหนุ่มตนหนึ่ง ขณะนั้นฝนได้หยุดตกแล้วฤๅษีได้ยินเสียงนาง จึงถือคบหญ้าออกมา เมื่อเห็นผู้หญิงลอยน้ำอยู่ ด้วยอาการที่สิ้นเรี่ยวแรง จึงร้องบอกนางว่า

                  "ทำใจดี ๆ ไว้ ฉันจะลงไปช่วยเดี๋ยวนื้"

                ฤๅษีเสียบคบหญ้าไว้กับง่ามไม้ แล้วว่ายนํ้าไปประคองนางเข้าฝั่ง ธิดาเศรษฐีขณะนั้นดูน่าสงสารนัก เนื้อตัวเย็นเฉียบ ปากคอสั่นเพราะความหนาว ผมเผ้ายาวสยายปกหน้าตา เสื้อผ้าไม่มีพันกาย

                ฤๅษีหนุ่มรีบนำผ้าให้นางห่ม แล้วกองไฟให้นางผิง นำผลไม้ที่มีอยู่มาให้นางกิน นางรีบรับมากินด้วยความหิวกระหายแล้วนั่งผิงไฟ จนรู้สึกอบอุ่นขึ้น ฤๅษีหนุ่มจึงกล่าวกับนางว่า

                   "น้องหญิง เธอจงเข้านอนในศาลาเถิดนะ  ฉันจะนอนข้างนอกนี่แหละ จะได้ไม่เป็นที่ครหาแก่เราสองคน"

                    นางหันมามองฤๅษีหนุ่มอย่างเต็มตา แล้วเดินเข้าไปนอนในบรรณศาลาอย่างว่าง่าย

                   วันรุ่งขึ้น ฤๅษีหนุ่มจัดหาผลไม้ต่าง ๆ มาเลี้ยงนาง ด้วยคิดว่าเมื่อนางกินอิ่มมีกำลังแล้ว จะได้เดินทางกลับ แต่นางก็ยังนอนพักผ่อนด้วยอ้างว่า ยังไม่หายอ่อนเพลีย

                    จนกระทั่งวันที่สาม ธิดาเศรษฐีก็ไม่มีทีท่าว่าจะจากไปนางกลับคิดว่า

                "...ฤๅษีตนนี้ ทนอยู่ได้ยังไงนะ เราอุตส่าห์ไม่กลับ ก็ยังทนตากแดดตากนํ้าค้างอยู่นอกศาลาได้อยากจะรู้นักว่า คนที่ทนตากแดดตากน้ำค้างได้ จะทนมารยาหญิงของเราได้หรือเปล่า..."

                      นางบังเกิดความพึงพอใจฤๅษีหนุ่ม จึงเข้าไปพูดจาด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน แลดงอาการประเล้าประโลม ถูกเนื้อต้องตัวฤๅษีหนุ่ม แม้จะมีวิชาอาคม มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่ออำนาจของสตรี จึงได้ธิดาเศรษฐีเป็นภรรยา

                        ทั้งสองอยู่ด้วยกันในป่าไม่นาน ธิดาเศรษฐีทนความเงียบเหงาในป่าไม่ได้ จึงกล่าวว่า

                      "ท่านคะ ท่านมีความรู้มากมายสมเป็นบัณฑิต จะมาอยู่ป่าให้ลำบากลำบนทำไมคะ สู้ไปอยู่ในเมืองไม่ดีกว่าหรือ จะได้ใช้วิชาความรู้ให้เป็นประโยชน์"

                        ชายหนุ่มมีความเห็นคล้อยตามนาง จึงพากันไปปลูกกระท่อมอยู่ที่หมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง โดยยึดอาชีพเป็นพ่อค้าขายเปรียง นอกจากนั้นเขายังเอื้อเฟื้อต่อชาวบ้านด้วยการอบรมสั่งสอนให้ชาวบ้านผิดชอบชั่วดี อะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป ชาวบ้านทั้งหลายต่างให้ความเคารพยกย่องพากันเรียกเขาว่า ตักกบัณฑิต

                       ต่อมา ได้มีโจรป่าบุกเข้ามาปล้นละดมในหมู่บ้าน เมื่อปล้นทรัพย์สินเงินทองได้แล้ว พวกโจรยังบังคับให้ชาวบ้านช่วยกันขนทรัพย์ไปส่งที่ชายป่าอีกด้วย เมื่อโจรได้ของไปแล้ว ก็ไล่ชาวบ้านกลับ ชาวบ้านทุกคนต่างรีบวิ่งกลับเข้าหมู่บ้าน แต่ทันใดนั้น เสียงหัวหน้าโจรก็ดังขึ้นว่า

                       "นางคนนั้น หยุดก่อน"

                        ธิดาเศรษฐีหยุดวิ่ง ยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกมนต์สะกดด้วยความรักตัวกลัวตาย

                        นายโจรยืนเพ่งพินิจนาง พร้อมกับเอามือเชยคางนางขึ้น

                       "ฮ่ะ! ฮ่ะ! ฮ่ะ! อยู่เป็นเมียข้าที่นี่แหละ นางคนสวย"ว่าแล้ว นายโจรก็พานางไปด้วย

                      ธิดาเศรษฐีได้รับการบำรุงบำเรอจากนายโจรอย่างดี จนนางไม่ต้องการกลับไปเป็นเมียของบัณฑิตอีก นางบังเกิดความคิดว่า

                       "สักวันหนึ่ง ตักกบัณฑิตคงต้องมาชิงตัวเรากลับไปแน่ ๆ เพราะเขาเป็นคนมีฝีมือ แล้วยังฉลาดอีกด้วย เขาคงไม่ยอมให้เราเป็นเมียนายโจรได้นานนักหรอกทำอย่างไรดีนะ เราไม่อยากกลับไปอยู่ในหมู่บ้านนั้นเลย... ตราบใดที่ ตักกบัณฑิตยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องมาแน่ ๆ... อย่ากระนั้นเลย เราควรหาทางล่อลวงเขามาฆ่าทิ้งดีกว่า จะได้หมดสิ้นเสี้ยนหนาม"

                      คิดได้แล้ว นางจึงให้คนไปส่งข่าวแก่ตักกบัณฑิตว่า นางจำใจอยู่กับนายโจรในป่านี้ มีความทุกข์ใจแสนสาหัส จงรีบหาทางมาพานางหนีไปเถิด

                       ตักกบัณฑิตจึงลอบเข้าไปพบนางตามอุบายที่นางวางไว้ ให้นางพาเขาไปซ่อนตัวไนยุ้งข้าว ดังกล่าว

                        "ท่านรอฉันอยู่ในนี้นะคะ คํ่า ๆ เราค่อยหลบหนีออกไปด้วยกัน"

                        จากนั้น นางจึงเข้าไปหานายโจร ออดอ้อนออเซาะด้วย ความรัก แล้วพูดว่า

                        "นายเจ้าขา ถ้าเกิดมีศัตรูของนายลอบเข้ามาถึงบนนี้ นายจะทำอย่างไรคะ"

                    "ฆ่ามันน่ะซี้ ถามได้ แต่ก่อนฆ่า ก็จะต้องเฆี่ยนมันก่อนเป็นการสั่งสอน ในฐานะที่มันบังอาจบุกรุกเข้ามา แล้วค่อยฆ่าเพื่อเป็นการลงโทษ"

                        "จริงหรือเจ้าคะ"

                         "อ๊ะ! จริงซิ เป็นโจรพูดเล่นได้ไง"

                          "ถ้าอย่างนั้น นายเข้าไปดูในยุ้งข้าวซิคะ ว่าคนที่ซ่อนอยู่ในนั้นเป็นคัตรูของนายหรือเปล่า"

                  นายโจรจึงคว้าดาบเดินตรงเข้าไปในยุ้งข้าว เมื่อเห็นตักกบัณฑิต ก็กระชากตัวออกมา แล้วเหวี่ยงลงบนกลางลาน สั่งให้สมุน ๒-๓ คน ซ้อมจนสะบักสะบอม จากนั้น จึงให้นำแส้มาโบยอย่างชนิดไม่ต้องนับ   

                        "ควับ!"
                        "ขี้โกรธ"
                        "ควับ!"
                        "อกตัญญู"
                        "ควับ!"
                        "ชอบส่อเสียด"
                        "ควับ!"
                        "ประทฺษร้ายมิตร"

                     ทุกครั้งที่เสียงแส้แหวกอากาศ กระทบหลังของตักกบัณฑิต เขาจะกล่าวคำ 4 คำนี้ออกมา นายโจรกำลังโกรธจัด จึงไม่ใส่ใจฟังปล่อยให้สมุนเฆี่ยน ตนเองหันเข้าหาสุราดื่มจนหลับไป

                    ครั้นรุ่งเช้าพอสร่างเมาแล้ว จึงให้สมุนโบยตักกบัณฑิตอีก ตักกบัณฑิตก็กล่าวคำ 4 คำ เดิมอีก แม้ว่าบาดแผลจากรอยแส้จะบาดผิวหนังจนเลือดแดงฉานไปทั้งหลัง เขาก็ไม่ร้องโอดโอยขอชีวิตร้องแต่ "ขี้โกรธ อกตัญญู ชอบส่อเสียด ประทุษร้ายมิตร" เพียง 4 คำ นี้เท่านั้นจึงทำให้นายโจรรู้สึกแปลกใจมาก

                       "หยุด! ลากมันมานี่ซิ"

                   นายโจรสั่งให้หยุดโบย แล้วสอบถามความเป็นมาของคำทั้ง 4 คำ นั้น ตักกบัณฑิตจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นายโจรฟัง นายโจรจึงได้คิด

                        "...นางคนนี้ช่างเลวจริง ๆตักกบัณฑิตทั้งช่วยชีวิต ทั้งเลี้ยงดูนางนางยังคิดฆ่าได้ ต่อไปนางคงหาทางฆ่าเราได้เหมือนกันคนอย่างนี่อยู่ต่อไป ก็หนักแผ่นดิน..."

                        นายโจรจึงเข้าไปปลุกนางให้ตื่น แล้วกล่าวว่า

                       "ฉันจะฆ่าไอ้หนุ่มคนนั้นที่หน้าบ้าน เราไปด้วยกันเดี๋ยวนี่เถอะ"

                        เมื่อมาที่หน้าบ้านแล้ว นายโจรบอกให้นางจับมือตักกบัณฑิตไว้

                       "เธอจับมือมันไว้ให้ดีๆ นะ อย่าใหมันล้มลงไปนะ ฉันจะส่งมันไปลงนรกเดี๋ยวนี่แล้ว!"

                       นายโจรทำทีเหมือนจะฟันตักกบัณฑิต แล้วเงื้อดาบฟันนางขาดสองท่อนในนาทีนั้น

                      นายโจรให้สมุนเช็ดตัว ทำแผลให้ตักกบัณฑิตแล้วจึงขอขมา ตักกบัณฑิตให้อภัยใม่ถือโทษซ้ำยังสอนหลักธรรมให้นายโจรรู้ผิดชอบชั่วดีอีก นายโจรนำข้าวปลาอาหารอย่างดีมาเลี้ยงรับขวัญ แล้วเชิญให้นอนพักผ่อน ตักกบัณฑิตอยู่ฟักรักษาตัวได้ ๒-๓ วัน ก็เตรียมตัวออกเดินทาง

                      "ท่านจะกลับไปที่หมู่บ้านใช่ไหม ข้าจะไปส่ง" นายโจรถาม 

                     "เปล่าหรอก เราไม่ปรารถนาจะครองเรือนอีกต่อไปแล้ว เราจะไปหาที่สงบบวชเป็นฤๅษีบำเพ็ญเพียรภาวนาต่อไป" ตักกบัณฑิตตอบ

                       "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปกับท่านด้วย"

                  นายโจรตอบพร้อมกับเดินทางเข้าป่าไปบวชเป็นฤๅษีด้วยกันจนกระทั่งได้สำเร็จอภิญญา 5 สมาบัติ 8 เมื่อสิ้นชีวิตละโลกแล้วได้ใปเกิดในพรหมโลกทั่งคู่

  ข้อคิดจากชาดก

                    ๑) การเลี้ยงดูบ่าวไพร่ ควรให้ความเมตตา ตามสมควรความหยาบคายร้ายกาจข่มขี่บ่าวไพร่ตามอำเภอใจ อาจเกิดผลร้ายแก่ตนในภายหลัง

                    ๒) การดูคนว่าเป็นคนดีหรือชั่วนั้น ดูได้ยาก เพราะปกติของคนชั่วมักมีเล่ห์เหลี่ยมซุกซ่อน ปกปิดการทำชั่วไว้อย่างมิดชิด ถ้าไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ รับคนชั่วเข้ามาเลี้ยงดูแล้ว ภายหลังจะขับไล่ ออกไปโดยไม่ให้ผิดใจกัน ทำได้ยากยิ่ง

                  ๓) คนมักมากในกาม โดยทั่วไปมักมีเล่ห์เหลี่ยมมาก ถ้าจำเป็นต้องใกล้ชิด ต้องหมั่นสำรวมอินทรีย์ จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

                  ๔) มุ่งประพฤติธรรม เมื่อจะช่วยเหลือเพศตรงข้ามไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ต้องระวังอย่าใกล้ชิดนัก

 

               ๕) เมื่อตั้งใจฝึกสมาธิเพื่อบรรลุธรรม อย่าท้อถอยเบื่อหน่ายแม้เวลาจะผ่านไปเนินนานเพียงไรก็อย่าสินหวัง อย่าคิดว่าตนบุญน้อยหรือวาสนาไม่ถึง ไม่อาจบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะแม้แต่คนที่เคยเป็นโจรเมื่อกลับตัวตั้งใจประพฤติธรรมอย่างแน่วแน่ ก็ยังสามารถทำ สมาธิจนบรรลุฌานได้

 

                 ๖) ขึ้นชื่อว่าคนมีความรู้ความสามารถเป็นบัณฑิต ไปที่ใดย่อมมีผู้อุปถัมภ์คํ้าชูเสมอ ย่อมไม่ตกไปสู่ที่ชั่ว ตรงกันข้ามกับคนหยาบคาย ร้ายกาจ ถึงอยู่ที่สูงก็ย่อมตกลงสู่ที่ชั่วจนได้

  


                           

                                             

         

 

            

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * นิทานชาดก แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล