อรรถกถา หัตถิปาลชาดก
ว่าด้วย กาลเวลาไม่คอยใคร
ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระศาสดาได้ทรงเล่าเรื่องการออกบวชอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่ท่านยังตรัสเสริมว่า ไม่ใช่แค่ชาตินี้ที่ตถาคตออกบวช ในอดีตก็เช่นกัน!
ย้อนกลับไปในอดีต ณ เมืองพาราณสี มีพระราชา "เอสุการี" ซึ่งมีพราหมณ์ปุโรหิตเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งสองแม้จะมีอำนาจและบารมี แต่กลับไม่มีโอรสสืบสกุล วันหนึ่งเมื่อพวกเขากำลังสนทนาในช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย ทั้งสองตกลงกันว่าหากใครมีลูกก่อน ลูกคนนั้นจะได้ครอบครองราชสมบัติของอีกฝ่าย!
ไม่นานนัก พราหมณ์ปุโรหิตกลับจากบ้านของตน และพบหญิงเข็ญใจชื่อ "พหุปุตติกะ" ที่มีลูกถึง 7 คน แต่ไม่มีสามี! พราหมณ์ได้ถามนางว่า "ลูกเหล่านี้มาจากไหน" นางตอบว่า "ได้บุตรเพราะบวงสรวงต่อเทพเจ้าต้นไทรที่นอกเมือง" พราหมณ์ได้ฟังจึงเกิดความหวัง จึงไปเขย่าต้นไทรขู่เทพว่า "ถ้าไม่ให้โอรสแก่พระราชาของเรา เราจะโค่นต้นไทรนี้!"
เทพรุกขเทวดาตื่นกลัว จึงวิ่งแจ้นไปหาท้าวจาตุมหาราช ขอความช่วยเหลือ แต่ท้าวจาตุมหาราชปฏิเสธ เทพเลยไปหายักษ์ และต่อมาถึงท้าวสักกเทวราช ท้าวสักกทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะมีเทพบุตรสี่องค์มาเกิดในโลกมนุษย์ ท้าวสักกจึงส่งเทพบุตรเหล่านั้นมาเกิดในเรือนของพราหมณ์ปุโรหิต กุมารทั้ง ๔ ได้แก่ หัตถิปาลกุมาร อัสสปาลกุมาร โคปาลกุมาร และอชปาลกุมาร ถูกมอบให้เลี้ยงดูโดยควาญช้าง คนเลี้ยงม้า นายโคบาล และนายอชบาลตามลำดับ เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขากลายเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรงและกล้าหาญ แต่ไม่ต้องการครองเรือน
ในที่สุดพระเจ้าเอสุการีและพราหมณ์ปุโรหิตได้ลองทดสอบกุมารทั้ง ๔ โดยแปลงกายเป็นฤาษี เมื่อหัตถิปาลกุมารเห็นเข้าเกิดความศรัทธาและอยากบวช บิดาของหัตถิปาลพยายามทัดทาน ชักชวนให้ครองสมบัติก่อน แต่หัตถิปาลกุมารกล่าวว่ากาลเวลาไม่คอยใคร ชราและมรณะย่อมรุกรานทุกคน จึงตัดสินใจออกบวชพร้อมพี่น้องทั้งสามและบริวาร
เมื่อหัตถิปาลกุมารและคณะเดินทางมาถึงแม่น้ำคงคา ท้องฟ้าสีครามแผ่กว้าง แสงอาทิตย์ส่องประกายระยิบระยับบนผิวน้ำดั่งเกล็ดเงิน หัตถิปาลกุมารมองดูผืนน้ำที่สงบนิ่ง และเริ่มเพ่งสมาธิเจริญกสิณ บรรลุสภาวะจิตที่สูงส่งขึ้น ในใจเขาผุดความคิดล้ำลึกขึ้นว่า "นี่คือการเริ่มต้นใหม่ของพวกเรา เมืองพาราณสีจะว่างเปล่าเมื่อทุกคนได้มาบวชพร้อมเรา บิดา มารดา น้องทั้งสาม และผู้คนที่ติดตาม ข้าจักรอพวกเขาอยู่ที่นี่ เพื่อเส้นทางแห่งการหลุดพ้น"
ในขณะเดียวกัน พระเจ้าเอสุการี ผู้พ่อที่ไม่ได้เต็มใจปล่อยให้ราชบัลลังก์ของพระองค์สูญเสียผู้สืบทอด คิดแผนการทดสอบบุตรคนรอง อัสสปาลกุมาร พระองค์พร้อมด้วยพราหมณ์ปุโรหิต จึงแปลงกายเป็นฤาษีด้วยความตั้งใจจะทดสอบว่าอัสสปาลกุมารจะยอมรับราชสมบัติหรือไม่ เมื่อไปถึงเรือนของอัสสปาลกุมาร พวกเขาพบว่าอัสสปาลกุมารกำลังต้อนรับอย่างดีและสนใจในคำสอนของฤาษีจอมปลอมทั้งสอง แต่ทว่า เมื่ออัสสปาลกุมารได้ยินว่าหัตถิปาลกุมารบวชแล้ว เขาก็กล่าวด้วยความแน่วแน่ว่า “ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาราชสมบัติ ซึ่งเปรียบดังก้อนน้ำลายที่พี่ชายข้าถ่มทิ้งไปแล้ว ข้าก็จะบวชตามพี่ชายเช่นกัน”
เมื่ออัสสปาลกุมารได้พูดจบ เขายังคงสอนธรรมแก่บิดาและพราหมณ์ด้วยคาถาที่สะท้อนถึงความทุกข์ยากและความเป็นมฤตยูของกิเลส เขาประกาศเจตจำนงที่จะบวช พร้อมกล่าวลาอย่างสงบ พระเจ้าเอสุการีพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายรั้งรอ แต่ก็ไม่เป็นผล อัสสปาลกุมารไม่ต้องการเสียเวลาทำดี และออกเดินทางไปหาหัตถิปาลกุมารด้วยความมั่นใจ
วันรุ่งขึ้น พระเจ้าเอสุการีและปุโรหิตยังคงไม่หมดความพยายาม พวกเขาเดินทางไปหาโคปาลกุมาร น้องชายคนรองหวังว่าจะได้ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่โคปาลกุมารกลับมีความมุ่งมั่นที่แน่วแน่กว่าเดิม เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าเปรียบดั่งคนที่ออกตามหาสิ่งที่สูญหาย พี่ชายทั้งสองได้บอกทางให้ข้าพเจ้าเห็นทางสว่างแล้ว ข้าก็จะตามพวกเขาไปเช่นกัน"
วันต่อมา พระราชาและพราหมณ์ยังคงมุ่งหวังที่จะทดสอบอชปาลกุมารน้องคนสุดท้อง ทว่าคำตอบของอชปาลกุมารกลับทำให้พวกเขาต้องตระหนักถึงความจริง "ธรรมดาชีวิตคนไม่รู้เวลาตาย ข้าพเจ้าจะไม่รอให้ความตายมาเยือนโดยไม่เตรียมพร้อม ข้าจะออกบวชเสียเดี๋ยวนี้"
ในฤดูที่ลมเริ่มเย็น ดรุณหงส์เหล่านั้น ตัดใยแมงมุมที่ขวางทางได้อย่างไม่ลังเล พวกมันแข็งแรงพร้อมออกบิน หงส์หนุ่มสาวสองตัวได้ทะยานขึ้นฟ้า นำฝูงไปสู่เส้นทางใหม่ หงส์ตัวอื่นๆ ที่เหลือไม่รอช้า บินตามไปในทิศทางที่พวกดรุณหงส์ได้บุกเบิก
พราหมณีมองเห็นภาพนั้นพลางครุ่นคิด นางกล่าวว่า “เหมือนดั่งนกกระเรียนที่บินไร้สิ่งขวาง เหล่าหงส์ก็พากันบินสู่เสรีภาพ ฉันใดก็ฉันนั้น บุตรของข้าได้ตัดข่ายกามแล้ว ข้าควรไปตามเส้นทางที่พวกเขาเลือกไว้” นางพราหมณีตัดสินใจแน่วแน่ และได้เรียกกลุ่มของนางมาประชุมกัน
"ท่านทั้งหลายจะทำอย่างไร?" นางถามเพื่อนผู้ติดตาม
"แล้วท่านล่ะจะทำอะไร?" กลุ่มของนางย้อนถาม
"เราจะออกบวช" นางตอบอย่างแน่วแน่ เพื่อนพราหมณีทั้งหลายได้พูดขึ้นพร้อมกัน "เราก็จักบวชเช่นกัน"
และเช่นนั้น พวกนางได้สละสมบัติและพากันไปสู่สำนักของหัตถิปาลกุมาร ในขณะเดียวกัน พระราชาได้สดับเรื่องราวของปุโรหิตที่ออกบวช จึงสั่งให้ขนสมบัติของปุโรหิตมา พระอัครมเหสีเห็นดังนั้นจึงคิดแผนหนึ่งขึ้น นางให้คนจัดเนื้อโคและเนื้อสุนัขมากองไว้หน้าพระลานหลวง จากนั้นแร้งก็พุ่งโผเข้าหาเนื้อเหล่านั้น แร้งฉลาดได้สำรอกเนื้อที่กินออกไปและบินหนีไปได้ แต่แร้งโง่กลับกินเนื้อจนหนักและติดอยู่ในข่าย นางจึงพาแร้งตัวหนึ่งเข้าไปถวายพระราชา ทูลให้เห็นบทเรียนนี้ พร้อมกล่าวว่า “ข้าแต่พระองค์ บุรุษผู้ฉลาดไม่ควรรับสิ่งที่ผู้อื่นละทิ้งไว้!”
พระราชาทรงสดับคำของพระเทวี เกิดความสลดพระทัย เปรียบดังคนที่กำลังจมโคลนได้รับการช่วยขึ้นมา "เราควรละทิ้งสมบัติและบวชเสียในวันนี้!" ท้าวเธอประกาศออกมา และทรงถามอำมาตย์ว่า “ท่านทั้งหลายจะทำอย่างไร?” อำมาตย์ต่างตอบอย่างพร้อมเพรียงว่า “ข้าพระพุทธเจ้าก็จะบวชเช่นกัน”
พระราชาทรงสละราชสมบัติ พาบริษัทของพระองค์ออกไปยังสำนักหัตถิปาลกุมาร ขณะที่ประชาชนในพระนครก็พากันโกลาหล เมื่อทราบว่าพระราชาและพระนางเทวีสละราชสมบัติแล้ว ต่างคนต่างก็ละทิ้งบ้านเรือน มุ่งหน้าออกจากพระนครจนว่างเปล่า ที่อาศรม หัตถิปาลกุมารนั่งบนอากาศ แสดงธรรมแก่บริษัท ขณะที่ท้าวสักกะเทวราชได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และทรงดำริให้วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตอาศรมขนาดใหญ่ เพื่อรองรับผู้บวชทั้งหลาย
พระราชาองค์ใหม่เสด็จมาถึง และเมื่อได้เห็นความยิ่งใหญ่ของการสละราชสมบัติออกบวช พระองค์ก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับหัตถิปาลดาบส พร้อมให้บริษัททั้งหมดบรรพชาเป็นฤาษี เพื่อมุ่งสู่การบำเพ็ญเพียรที่หิมพานต์
ในวันถัดมา พราหมณ์ปุโรหิตเองก็ไม่อาจทนเห็นบุตรทั้งสี่ละทิ้งทางโลกไปโดยไม่เข้าร่วมได้ เขาจึงชักชวนเหล่าพราหมณ์ทั้งหมดเข้าบวชตาม ส่วนทางด้านนางพราหมณี ผู้เป็นแม่และภรรยาก็ได้ยินข่าวของลูกๆ และสามีที่ละทิ้งทุกสิ่งไปบวช นางจึงกล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ลูกและสามีของข้าได้ละทิ้งทุกอย่างไปหมด ข้าเองก็จะไม่ทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง” นางพาบริวารไปสมทบที่สำนักบุตรด้วยเช่นกัน
เมื่อพระเจ้าเอสุการีทรงได้ยินว่าแม้พราหมณ์ปุโรหิตและภรรยาของเขาก็ได้บวช พระองค์ทรงรู้สึกว่างเปล่า พระราชบัลลังก์ที่ทรงถือว่ามีค่า กลับไม่สามารถดึงผู้คนที่พระองค์รักให้อยู่กับพระองค์ได้ พระอัครมเหสีผู้รอบรู้ได้เห็นว่า สิ่งที่พระราชาสะสมไว้นั้นไม่ต่างจากทรัพย์ที่ไร้คุณค่า เมื่อพระราชามองดูทรัพย์สมบัติที่ขนมาเต็มพระลานหลวง พระองค์ทรงครุ่นคิดถึงความหมายแท้จริงของชีวิตและเริ่มเข้าใจเส้นทางแห่งการหลุดพ้น
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในปางก่อนตถาคตก็ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์อย่างนี้เหมือนกัน
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
พระเจ้าเอสุการีในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ในบัดนี้
พระเทวีได้มาเป็น พระนางมหามายา
ปุโรหิตได้มาเป็น พระกัสสป
นางพราหมณีได้มาเป็น นางภัททกาปิลานี
อชปาลกุมารได้มาเป็น พระอนุรุทธะ
โคปาลกุมารได้มาเป็น พระโมคคัลลานะ
อัสสปาลกุมารได้มาเป็น พระสารีบุตร
บริษัทที่เหลือได้มาเป็น พุทธบริษัท
ส่วนหัตถิปาลกุมารได้แก่ เราผู้ตถาคต นั่นเอง ฉะนี้แล.